
บอกเล่าทุกความท้าทายของผู้ชายชื่อ “เต๋า” เศรษฐพงศ์
"เต๋า" เศรษฐพงศ์ เปิดใจทุกเรื่อง ทุกมุมมองของตัวเอง
ได้รับบทบาทที่ท้าทายมากในเรื่องซีรีส์ “Princess Hours รักวุ่นๆ เจ้าหญิงจอมจุ้น” ทางช่อง ทรู โฟร์ยู งานนี้ทำให้ “เต๋า” เศรษฐพงศ์ เพียงพอ นักแสดง-นักร้องจากค่าย “ทรู แฟนเทเชีย” กลายเป็นที่จับตามองว่า จะสามารถเป็นองค์ชายในเวอร์ชั่นนี้ได้ดีเท่ากับเวอร์ชั่นของเกาหลีไหม วันนี้ “บันเทิง คม ชัด ลึก” ได้มีโอกาสพูดคุยกับหนุ่มเต๋าแบบหมดเปลือกถึงซีรีส์เรื่องนี้ รวมถึงชีวิตและความรักของเขาด้วย
@@ Princess Hours เวอร์ชั่นไทย
พูดถึงการมารับบท “องค์ชายอินทร์” ในซีรีส์ “Princess Hours รักวุ่นๆ เจ้าหญิงจอมจุ้น”
ตอนแรกก็กังวลเหมือนกันที่มารับบทเจ้าชาย เพราะเราเองก็เคยดูซีรีส์เรื่องนี้ เป็นซีรีส์ที่ดีมาก แล้วก็โด่งดังมากๆ ในไทยด้วย แต่ก็เป็นโอกาสหนึ่งของเราในการเป็นนักแสดงที่จะได้มารับบทแบบนี้ และการได้มาร่วมงานกับเฮโล ซึ่งเรื่องโปรดักชั่น เขาดีมากอยู่แล้วจริงๆ ผมเคยร่วมงานกับเฮโล มาแล้วในเรื่อง Kiss Me ตอนนั้นเรารับบทเป็นวัยรุ่นธรรมดา ซึ่งมันก็ใกล้เคียงกับเรา แปลบทนี้ เราต้องใช้จินตนาการสูงมาก และเราก็เชื่อว่ามีคนคาดหวังเยอะว่าเราจะเล่นได้ หรือเราจะแสดงออกมายังไงให้เป็นองค์ชายอย่างที่หลายคนคิดไว้
มีการไปเรียนเรื่องบุคลิกลักษณะของความเป็นเจ้าชายเพิ่มขึ้นไหม
พี่เจี๊ยบ (นภัสริญญ์ พรหมพิลา) โปรดิวเซอร์เรื่องนี้ ส่งไปเรียนเพิ่มเติม จริงๆ ส่วนใหญ่ในเรื่องของพื้นฐานการแสดงก็ไปเรียนพื้นฐานการแสดงใหม่ ไปเข้าถึงคาแรกเตอร์ไปตีบทวิเคราะห์บทเรื่องวางแบล็กกราวนด์ของตัวละครนี้ ซึ่งเขาก็มีตัวอย่างของซีรีส์เรื่องนี้ให้เราดู แต่ถ้าเราดูของเราทั้งหมด เราก็จะจำเอามาเล่น มันก็จะไม่ใช่ทางของเรา ผมว่าการแสดงของแต่ละประเทศ มันก็แตกต่างกัน อย่างของฝรั่งก็เป็นอีกแบบ แบบเกาหลีก็อีกแบบ ญี่ปุ่นก็อีกแบบ แบบของเราเองก็มีของเราที่คนไทยน่าจะสัมผัสได้ ซึ่งผมก็ไปเรียนเรื่องการแสดงตรงนั้นมาเดือนหนึ่ง แล้วก็ไปเรียนขี่ม้า เพราะว่าในเรื่องเราจะต้องขี่ม้า แล้วก็มีเรื่องของบุคลิกภาพในเรื่องการเดิน การนั่ง วิธีพูด ก็เอามาปรับใหม่ทั้งหมด ทำให้เราต้องอยู่กับตัวละคร องค์ชายอินทร์อยู่ตลอดเวลา แล้วก็เป็นโชคดีของเราที่ว่าช่วงนั้นเราไม่มีถ่ายละครเรื่องอื่นด้วย มีเรื่องนี้เรื่องเดียว ทำให้เราได้ใช้ชีวิตร่วมกับตัวละครนี้จริงๆ
ดูจะมุ่งมั่นกับตัวละครตัวนี้มาก
ใช่ เพราะค่อนข้างเป็นบทที่ยาก ที่เราจะทำให้คนเชื่อว่า เราเป็นองค์ชายและผมเชื่อว่าคนที่ดูละครผมมาก็จะติดคาแรกเตอร์กับการเป็นวัยรุ่น เฮ้วๆ หน่อย ซึ่งมันเป็นโจทย์ที่ยากที่เราจะทำให้คนที่ติดภาพเราเป็นแบบนั้น แล้วมาเปลี่ยนเป็นอีกแบบอย่างสิ้นเชิง มันเป็นอีกหนึ่งความท้าทาย เพราะเราเองก็เพิ่งเข้ามาในวงการได้ไม่นานนัก ก็ต้องมารับบทที่แตกต่างกับความเป็นตัวเองไปเลย เราก็ต้องทำให้ได้
กลัวการเปรียบเทียบกับเวอร์ชั่นเกาหลีไหม เพราะเวอร์ชั่นเกาหลีดังมาก
เรื่องของการเปรียบเทียบมันต้องมีอยู่แล้ว ส่วนตัวผมเองเล่นละครรีเมก และซีรีส์รีเมกมาหลายเรื่อง โดยเฉพาะของเกาหลีทั้ง Coffee Prince Kiss Me จนมาถึงรื่องนี้ ก็ต้องยอมรับว่าซีรีส์เรื่องนี้ได้รับการตอบรับที่ดี ทั้งในเกาหลีและในประเทศไทย พอมาทำความคาดหวังของคนก็ต้องสูงขึ้น อย่างผมเองก็ติดภาพองค์ชายชินเวอร์ชั่นแรกอยู่ จำได้ว่า Princess Hours ถูกมาทำเป็นอีกเวอร์ชั่นหนึ่ง ซึ่งเซเว่น (ศิลปินชื่อดังของเกาหลีเล่น) แต่ทุกคนก็ยังจดจำในเวอร์ชั่นแรกที่ จู จีฮุน เล่นไว้ แต่ตอนนี้เวลาผ่านมา ประมาณ 10 ปีแล้ว พอเอามาทำเป็นเวอร์ชั่นไทย ด้วยเวลาด้วยวัฒนธรรม แต่ในส่วนของบทก็ยังยึดโครงเรื่องเดิม ผมว่าการเปรียบเทียบก็น่าจะน้อยลง ในส่วนของความคาดหวัง เราก็คาดหวังว่าอยากให้คนดูเปิดใจ ลองดูเวอร์ชั่นของเรา ดูทางโปรดักชั่นทั้งหมด ที่ปรับให้กระชับมากขึ้น ในส่วนตัวของเราตอนที่อ่านบท รู้สึกว่าเนื้อหาของเรื่องนี้มันเข้มข้นดี ซึ่งตลอดการทำงานเรื่องนี้ผมจะคุยกับผู้กำกับ แอ็กติ้งโค้ช รวมถึงพี่เจี๊ยบอยู่ตลอด ว่า อยากได้องค์ชายอินทร์แบบประมาณไหน เราอยากทำให้เต็มที่ อยากแสดงออกมาให้คนดูเชื่อว่าเราเป็นองค์ชายจริงๆ”
ร่วมงานกับ “แพตตี้” เป็นยังไง
แพตตี้เป็นคนเก่งมากๆ และอึดมากๆ เรื่องนี้เป็นการร่วมงานกันครั้งแรก แต่เรารู้จักเขามาก่อนหน้านี้ว่า เขาเป็นนักแสดงที่มีความสามารถ พอมาร่วมงานกันก็พยายามจะคุยทำความรู้จักกัน เขาเป็นคนเลี้ยงหมา เราก็เลี้ยงหมาเหมือนกัน ก็คุยกันจากเรื่องนี้ แล้วค่อยๆ สนิทกันมากขึ้น แล้วเราค่อยมาเรียนรู้ หาเคมีของเราสองคน ที่จะทำให้คนดูจิ้น คนดูฟิน หรือแบบที่พี่เจี๊ยบ และผู้กำกับต้องการ พี่อนันดา (อนันดา เอเวอร์ริ่งแฮม) เคยบอกว่าอยากทำซีรีส์ที่ดราม่าด้วย แต่ก็มีความจิ้นด้วย ก็พยายามจูนหาเคมีที่เข้ากันของเราสองคน ซึ่งตอนนี้ถ่ายทำเสร็จไปแล้ว เราก็รู้สึกว่าคู่ของเราก็น่าจะพาแฟนๆ ฟินได้อยู่ (ยิ้ม)
@@ วิถีนักแสดงเต็มตัว
เป็นคนที่รับงานแสดงเยอะมาก
เพราะว่าเราสนุกไง จากร้องเพลงเราชอบอยู่แล้ว พอมาแสดงทั้งละคร ทั้งภาพยนตร์ เราสนุก ได้ออกไปเจอคน ได้ออกมาเจอผู้ใหญ่ ได้ทำงาน ทำให้เราอยากจะออกกองทุกวัน อยากไปเจอผู้คน เวลากลับบ้านไปจะนอนคิดตลอดว่า พรุ่งนี้เราจะเล่นแบบนี้ แบบนั้น มันสนุก เพราะเราได้ครีเอทการแสดงด้วยตัวเอง ผมเคยรับละครในช่วงเดียวถึง 3 เรื่อง ซึ่งเป็นอะไรที่หนักมาก แต่ตอนนี้ก็เพลาๆ แล้ว เพราะเราคิดแล้วว่า รับเยอะมันไม่ค่อยดีเท่าไหร่ในเรื่องของสมาธิ ได้แจ้งทางค่ายแล้วว่า ถ้าเป็นไปได้ ไม่อยากให้มาชนกัน อยากได้ทีละเรื่อง หรือถ้าสองเรื่อง ก็ไม่แบบที่ติดกัน 7 วัน อยากพักบ้างนิดหนึ่ง ที่จะทำการบ้าน และทำสมาธิกับตัวละครนั้น แต่ว่าก็ยังรับอยู่นะ
“เต๋า” ไม่ได้จำกัดว่าต้องเล่นเป็นพระเอกเท่านั้น
ส่วนใหญ่ผมดูที่บทว่า บทนี้น่าเล่น บทนี้เราแสดงไปแล้วได้อะไรกลับมา คีือถ้าเราไปจำกัดว่าจะต้องเล่นบทพระเอกอย่างเดียวมันก็เหมือนตัดโอกาส การได้ลองแสดงในแบบอื่นๆ เราอยากเป็นนักแสดงที่เล่นได้ทุกบทบาท เป็นนักแสดงจริงๆ ไม่ได้อยากแค่มาปุ๊บ แล้วหายไป เราอยากที่จะลองในทุกบท แต่สิ่งที่ผมจะคิดเสมอคือ เราเล่นแล้วเราได้อะไร เราได้พัฒนาตัวเองไหม และอีกอย่าง คือเราต้องมั่นใจด้วยว่า เราเล่นบทนั้นได้จริงๆ คือด้วยประสบการณ์ การแสดงของเราไม่ได้สูงมาก และต้องพัฒนาอีกเยอะ การได้โอกาสในบทที่ท้าทายมากๆ มา แต่เรารู้ตัวว่าความสามารถในวันนี้เรายังไม่ถึง เราก็ต้องยอมปล่อยบทนั้นไป ไม่อยากจะให้บทดีๆ ต้องมาเสียเพราะวัยวุฒิของเราที่ยังไม่ถึง แต่ถ้าบทท้าทายที่เรามั่นใจว่าเราจะพัฒนาตัวเองเพื่อเล่นบทนี้ได้ ก็จะรีบคว้าโอกาสนั้นทันที
หันมาเอาดีทางการแสดงเต็มตัวแล้ว ทิ้งงานเพลงเลยไหม
เรียกว่ามาเอาดีทางการแสดงก็ได้ ส่วนเรื่องการร้องเพลงก็มีบ้าง แต่เรื่องที่จะมาเดินสายโปรโมท ทำเพลง เราคงไม่มีเวลาทำ แต่ว่าก็รอโอกาสเหมาะๆ อยู่กับทางค่ายทรู มิวสิค ตอนนี้ที่จะมีออกมาก็น่าจะเป็นเพลงประกอบละคร หรือมาเป็นโปรเจกท์ๆ มากกว่า แต่ในส่วนของเพลงตัวเอง ถามว่าคิดถึงงานเพลงไหม คิดถึงการทำเพลงมากกว่า เพราะว่าเรายังมีโอกาสได้ร้องเพลงอยู่ตามงานอีเวนท์ต่างๆ
อยู่วงการมา 6 ปี เรียนรู้อะไรจากตรงนี้บ้าง
เรียนรู้จากการทำงานและความรับผิดชอบ รู้จักผู้คนมากขึ้น รู้จักว่าวงการนี้เป็นยังไงบ้าง จากเด็กที่คิดแค่ด้านเดียว ก็ได้เรียนรู้ว่าต้องทำตัวอย่างไร เริ่มเรียนรู้กับมัน ไปตามอายุด้วย วงการนี้สอนเรา ให้รู้ว่าชีวิตจะต้องทำยังไงต่อไปในการทำงาน ผมว่าการอยู่ตรงนี้เรื่องของความรับผิดชอบเป็นสิ่งสำคัญ และการรู้จักกาลเทศะ ผมว่าถ้ามี 2 อย่างนี้ก็สามารถที่จะอยู่ในวงการบันเทิงได้ ส่วนเรื่องฝีมือคงต้องอยู่ที่ความสามารถของแต่ละคนแล้วว่าพรสวรรค์ของแต่ละคนเป็นยังไง
@@ รักไม่เปิดเผย
ความรักตอนนี้เป็นยังไง
ก็ดีนะ (ยิ้ม) ถามว่าผมเก็บเรื่องความรักเป็นความลับไหม ผมไม่ได้ปิดบัง แต่เพราะเขาเป็นคนนอกวงการ เขาก็ไม่ได้อยากจะมาเปิดตัวมามีด้านที่จะต้องออกสื่อ แต่เวลาไปไหนมาไหนก็ไปเป็นปกติ ก็ได้เจอทุกๆ คนอยู่แล้ว แค่ว่าไม่ได้มาออกสื่อ หรือโซเชียลอะไรแบบนี้
ที่ไม่ได้เปิดตัวเต็มที่ เพราะว่าห่วงกลัวเขาจะถูกจับตามองหรือเปล่า
จริงๆ ผมเองยังไงก็ได้ แต่เขาอยากเป็นส่วนตัวมากกว่า เราก็โอเคแล้วแต่เขา ถามเรื่องแฟนคลับ เขาก็รู้แหละ เพราะผมก็บอกตลอด และพูดทุกครั้ง เพราะเราไม่อยากที่จะโกหก เพราะโกหกยังไงเขาก็จับได้อยู่ดี (หัวเราะ) เพราะฉะนั้นบอกความจริงไปตรงๆ เลยดีกว่า ถามว่ามีผลต่อความรู้สึกของแฟนคลับไหม ก็คงต้องมีแหละ แต่เราก็บังคับทุกคนไม่ได้อยู่แล้ว แต่เราก็ไม่ได้ทำให้หน้าที่ของเราเสียหาย เราไม่ได้โดนใครว่า มีแฟนแล้วเสียงานเสียการ ตั้งแต่เข้าวงการมาก็บอกตลอดว่ามีแฟน แต่ก็ไม่เคยมีเรื่องเสียหายในเรื่องของงาน หรือผลกระทบ เราก็อยากจะให้แฟนคลับของเราเข้าใจ”
ชัดเจน ตรงไปตรงมาแบบ “เต๋า” เศรษฐพงศ์
เรื่อง : ณัฏฐิรา หลอดแก้ว
ภาพ : วริศรา วุฒิกุล
ล้อมกรอบ
ชื่อจริง : เศรษฐพงศ์ เพียงพอ
ชื่อเล่น : เต๋า
การศึกษา : กำลังศึกษาคณะนิเทศศาสตร์ หลักสูตรนานาชาติ มหาวิทยาลัยรังสิต
ผลงาน : ซีรีส์ Coffee Prince (Thailand), ภาพยนตร์ ยอดมนุษย์เงินเดือน, ประโยคสัญญารัก, ฟินสุโค่ย, The Couple รัก ลวง หลอน - ละคร คู่ปรับสลับร่าง, แสนดี เดอะซีรีส์, สุดแค้นแสนรัก, I Wanna Be Sup'Tar วันหนึ่งจะเป็นซุปตาร์, Kiss Me รักล้นใจนายแกล้งจุ๊บ, เวลาในขวดแก้ว, Kiss The Series รักต้องจูบ นารายณ์
ผลงานล่าสุด : Princess Hours รักวุ่นๆ เจ้าหญิงจอมจุ้น