
ยอดหญิงปันซู 9
ปันซูไม่เข้าใจว่าทำไมหลันจือ ถึงไม่อยากให้เธออยู่ที่นี่นัก
ทุกวันจันทร์-อังคารเวลา18.25น.ทางช่องNOW26
BanShuLegendEp.9
    ปันซูจะเข้าไปหาหนังสือที่สภาบัณฑิต แต่คนเฝ้าไม่ยอมให้เข้า อ้างนั่นนี่ จนสุดท้ายปันซูยอมกลับไป คนเฝ้าหันไปมองเป่ยเย้ ที่มอบเงินให้เขา เพื่อขวางไม่ให้ปันซูได้เข้าไป
    เหยาเจวียนนำซุปมาให้ฮั่วเหิง พลางบ่นว่าเดือนหนึ่งแล้ว น่าจะหายได้แล้ว ฮั่วเหิงแกล้งทำเลือดไหลแล้วโวย
    “เจ้าทำให้ข้าโกรธจนกระอักเลือด”
    เหยาเจวียนตาไม่ดีขอดูใกล้ๆ “อ๊ะ ไหนให้ข้าดูสิ”
    “เจ้าไม่ต้องดูแล้ว มันออกไปหมดแล้ว ข้าโกรธเจ้าจนขนตาหลุดออกมาหมดแล้ว”
    เหยาเจวียนงง “ห๊ะ โกรธจนขนตาหลุดเหรอ”
    เหยาเจวียนพยายามมองที่ตาของฮั่วเหิง ขณะที่ฮั่วเหิงก็จะจูบ พอดีปันซูเข้ามาเรียกเหยาเจวียนก่อน โวยวายว่าเข้าสภาพบัณฑิตไม่ได้แล้ว ฮั่วเหิงจำต้องแยกตัวออกไปอย่างเสียดาย ปันซูก็บ่นกับเหยาเจวียน
    “เขาบอกว่าข้าเป็นแค่ผู้ช่วย เข้าสภาบัณฑิตไม่ได้ และยังมีห้องหนังสือห้องประกาศ ข้าก็ไม่มีสิทธิ์เข้าไปเข้าไปหาหนังสือก็ไม่ได้”
    “ไม่ต้องกลัวข้าช่วยเจ้าหาเอง”
    “แต่ว่าพี่สายตาไม่ดี ทำอะไรก็ช้า ถ้าเป็นแบบนี้ต่อไปชาติหน้าก็หาไม่เจอ”
    “ใต้เท้าเจียงก็ช่วยหาไม่ใช่เหรอ ถ้าไม่ยอมแพ้จะต้องหาเจอแน่ แต่รู้สึกมีอะไรผิดปกติในวังมีกฎมาก แต่หลายปีที่ผ่านมาดูเหมือนไม่มีคนดูแลเรื่องนี้นะ ตอนที่มาเป็นผู้ช่วยก็เคยเข้าไปนะ ทำไมตอนนี้ถึง....”
    “ต้องเป็นโค่วหลันจือแน่ เมื่อก่อนข้าเคยทำนางโกรธ จะต้องเป็นคนของนางทำแน่”
    “ห๊ะเป็นแบบนี้นี่เอง เอางี้มั๊ยข้าจะพาเจ้าไปขอร้องไทเฮา ให้เห็นแก่ตระกูลเชาแน่นอนว่า”
    ปันซูสวน “ไม่ๆๆๆ ถ้าทำอย่างนี้ หลันจือจะหัวเราะเยาะข้าแน่ ว่าข้าใช้บารมีของท่านป้า ข้าต้องใช้ความสามารถตัวเอง และกลับไปสภาบัณฑิตอย่างภาคภูมิ คนเฝ้าประตูบอกว่าถ้าข้าได้กลับไปเป็นอาจารย์ เขาก็จะว่าข้าไม่ได้ ศิษย์พี่ตอนนั้นท่านทำยังไงถึงได้เลื่อนจากผู้ช่วยเป็นอาจารย์ยากรึเปล่า”
    “ยากจากผู้ช่วยเป็นอาจารย์ไม่เพียงแค่อ่านจนคล่อง ทั้งกลอนหนังสือกฎระเบียบยังต้องมีผู้อาวุธโสสองท่านคอยสนับสนุน และต้องพูดฝึกในห้องสอนต้องได้รับการยอมรับจากบัณฑิตถึงเจ็ดในสิบ และยังต้องมีอาจารย์หญิงอีกหนึ่งท่านสนับสนุน ต้องทำแบบนี้ไทเฮาถึงจะอนุมัติ”
    “ท่านเป็นอาจารย์เป็นคนสนับสนุนข้าได้ สำหรับการยอมรับจากบัณฑิตห้องสองไม่มีปัญหา ยกเว้นหลิวเอี้ยน ส่วนบัณฑิตคนอื่นยอมรับข้าอยู่แล้ว ส่วนห้องหนึ่งถึงจะเป็นห้องที่หลันจือสอน แต่ถ้าดูความสามารถของข้าไม่น่าจะเป็นเรื่องยากอะไร”
    “เอ๊ะๆ ทางด้านฝั่งกรมวังยุ่งยากนะครั้งที่แล้ว เจ้าก็ท่องกลอนผิดไป หลันจือหามาแต่ละคนเป็นอาจารย์ระดับสูงของกรมวังทั้งนั้น ครั้งนี้ชื่อเสียงของเจ้าไม่ดีคนพูดไปถึงไหนแล้ว”
    “ไม่เป็นไรพวกนั้นโดนหลันจือซื้อหมดแล้ว คงไม่ใช่อาจารย์ระดับสูงอะไร อีกอย่างข้าก็ไม่ได้บังคับให้เขาพูด ข้าจะตั้งใจทบทวนจะท่องทั้งกลอนหนังสือกฎระเบียบให้คล่องเลย แค่พูดได้ก็พอแล้วนี่เรื่องนี้ข้าเรียนมาหมดแล้วแค่ต้องทบทวบให้มาก ศิษย์พี่ครั้งนี้ต้องช่วยข้านะภายในสามเดือนข้าต้องกลับไปเป็นอาจารย์ให้ได้”
    “เจ้า เจ้าหมายความว่าภายในสามเดือน เจ้าจะให้ข้าสอนท่องทั้งกลอนหนังสือกฎระเบียบและก็สอนเจ้าพูด”
    “ใช่แล้วคิดว่าได้มั้ย”
    “ได้ ได้แน่นอนแต่เจ้าต้องเตรียมตัวให้ดี ถ้าข้าเอาจริงขึ้นมาข้าไม่แพ้ใครทั้งนั้น”
    เหยาเจวียนทำจริงตามที่นางพูด วันรุ่งขึ้นมาปลุกและสอนปันซูแต่เช้า เตรียมหนังสือมาให้
 
        
    แม้แต่ตอนที่เหยาเจวียนสอนในห้อง ปันซูก็ต้องอ่านตำราอยู่หน้าห้อง ปันซูท่องตำราจนเผลอหลับไป เว่ยอิงผ่านมาเห็นก็ปัดดอกไม้ที่ล่วงลงมาให้ พร้อมเอาเสื้อคลุมให้ เว่ยอิงไปแล้วปันซูถึงตื่น รีบไปหาเหยาเจวียน
    “ศิษย์พี่ ศิษย์พี่ ศิษย์พี่ ข้าไม่ได้จงใจจะหลับนะ ข้าแค่ง่วงมาก”
    “อาอาชูเจ้าพูดเองนะ ว่าเจ้าไม่อยากให้ตระกูลปันเสียหน้า จะต้องกลับไปเป็นอาจารย์ให้ได้ในภายสามเดือน ถ้าคิดจะทำเรื่องยากแบบนี้ เจ้าต้องมีความพยายามให้มาก เจ้านะเจ้ากลับมานอนหลับซะนิ ทำให้ข้าโดนน้องเหวยด่าเอา บอกว่าในเมื่อเจ้าความสามารถไม่พอไม่ควรจะบังคับเจ้ามากเกินไป”
    “ใครความสามารถไม่พอตระกูลเขานะสิที่ความสามารถไม่พอนะสิ เอ๊ะ ไม่ใช่สิเว่ยอิงมาเมื่อไรอ่ะ”
    “ก็เมื่อกี้ไงเขากลัวเจ้าจะหนาวก็เลยเอาเสื้อคลุมให้เจ้าไงเขานะปากไม่ดีแต่ใจอ่อน”
    “เสื้อนี้ของเขา” ปันซูยิ้ม
    “เอ๊ะ เว่ย เว่ย เว่ย เจ้าเหม่ออะไรนะ”
    “ไม่ ไม่ ไม่มีศิษย์พี่ ข้าเพิ่งนึกได้มีเรื่องจะถามท่าน ให้ข้าท่องหนังสือมากมาย แต่ว่ามันช่วยได้จริงหรือ”
    “ช่วยได้แน่นอนอ่านหนังสือไว้ยิ่งมากยิ่งดี”
    “ท่านไม่ต้องตกใจไป ข้าไม่ได้หมายความอย่าที่ท่านคิด ท่านคิดดูนะตอนที่พวกเราสอนบัณฑิตนะ เราสอนอะไรไม่ใช่การท่องกลอนเหรอ หรือหนังสือที่ท่านให้มานะข้าอ่านหมดแล้วทุกเล่ม ถึงแม้ว่าจะท่องได้ไม่คล่อง แต่ก็พูดได้ว่าเคยอ่านแล้ว”
    “ไม่ได้นะ ถึงแม้จะอ่านแล้ว แต่ยังท่องจำไม่ได้จะสอนบัณฑิตได้ไงละ”
    “แต่วันนั้นไทเฮาตรัสว่า ตอนสอนไม่จำเป็นต้องสอนแต่บทกลอนข้า ก็สอนบทกลอนแม่น้ำภูเขาอื่นได้ บทกลอนแม่น้ำภูเขาข้าท่องได้คล่อง คนเรานะต้องเลือกเวลาที่เหมาะสมและแสดงความสามารถออกมาถึงจะได้รับชัยชนะ”
    “ที่เจ้าพูดก็มีเหตุผลนะ”
    ปันซูนำเรื่องนี้ไปปรึกษากับหลันจือ แต่หลันจือไม่เห็นด้วย
    ปันซูว่า “เจ้ามีเหตุผลหน่อยสิ ข้าแค่ต้องการลองสอนหนังสือบัณฑิตห้องหนึ่งและสองเท่านั้นเอง ไม่ได้ทำไรให้เจ้าลำบากเลย”
    “ผู้ช่วยปันเจ้าพูดอย่างนี้ได้ไง ถึงแม้ว่าไทเฮาจะให้เจ้าดูแลการสอนห้องสอง แต่ไม่เคยพูดว่าให้เจ้ามายุ่งกับการสอนห้องสองได้ จะว่าไปเรื่องสำคัญแบบนี้ ข้าจะให้เจ้าซึ่งเป็นแค่ผู้ช่วยทำได้ยังไงกันละ ข้าคิดว่าตอนนี้เจ้ายังไม่มีสิทธิ์ทำแบบนั้น”
    “โค่วหลันจือพวกเราสองคนไม่มีความแค้นอะไรต่อกัน ทำไมเจ้าถึงชอบทำให้ข้าลำบากนะ ก็แค่สอนหนังสือเอง ทำไมเจ้าต้องเอาตำแหน่งผู้ช่วยมาทำให้ข้ากดดันด้วย อ๋อ ข้ารู้แล้วเป็นเพราะวันนั้นหรือเปล่านะ ที่ข้าเห็นเจ้าลับๆ ล่อๆ กับใครก็ไม่รู้ ทำให้เจ้ารู้สึกเสียหน้า”
    “เหลวไหลที่ข้าไม่ให้เจ้าสอน ไม่ใช่ด้วยเรื่องส่วนตัว แต่มันเป็นกฏ อะไรกันก็แค่สอนหนังสืองั้นเหรอ ปันซูข้าไม่รู้เหรอนะว่าเจ้าทำไมต้องการอยู่ในราชสำนักนี้ แต่ข้าบอกได้ว่าสาเหตุที่เจ้าอยากอยู่นั้นไม่ใช่เพื่อสอนหนังสือหรอก อาจารย์ที่พูดเหลวไหลอย่างเจ้าจะสอนอะไรบัณฑิตได้ วันนี้เจ้ารู้แค่ไฟเดือนเจ็ดแปลว่าอากาศร้อนมาก ถ้าบัณฑิตเชื่อล่ะก็ นั่นเป็นสิ่งที่ผิดมากแล้ววันนั้นเจ้าก็วางแผนผิดบ้านเมืองเรา ทำการเกษตรอะไรเจ้ายังชั่งไม่รู้อะไรเลย การเป็นอาจารย์จะต้องระวังคำพูดยิ่งกว่านั้น เจ้าไม่รู้ความหมายการเป็นอาจารย์จริงอยู่ว่าเจ้าเป็นคนที่ไทเฮาชื่นชอบ คิดจะมาก็มาคิดจะไปก็ไป แต่ว่าข้าในฐานะที่เป็นอาจารย์คนนึงจะไม่ยอมให้เจ้ามาสอนที่ห้องเรียนหนึ่งได้ ข้านั่นมีสิทธิ์โดยชอบธรรม ถ้าเจ้าไม่พอใจก็เชิญไปกราบทูลไทเฮาได้เลย ถ้าเจ้าได้รับอนุญาติละก็ข้าก็ไม่ขัดข้อง”
    “เจ้านะมีอคติต่อข้า มันก็ใช่ แต่ก่อนนั้นข้าอ่านหนังสือไม่พอ อ่านยังไม่เข้าใจท่องแท้ เป็นเพราะเหตุผลนี้นะเหรอเจ้าถึงไม่ยอมให้ข้าได้พยายามทำนะ ข้าสามารถบอกกับบัณฑิตว่าการเรียนครั้งนี้ ข้าแค่ฝึกสอนถ้ารู้สึกว่าข้าสอนไม่ดีพอ พวกเจ้าก็จงลืมไปให้หมดก้อแค่นั้นเองเจ้ายกเอาเหตุผลมากมาย ทำไมข้าว่าเจ้านั่นและที่ไม่มีเหตุผล”
    เหยาเจวียนเข้ามาหา “ปัน ปัน ปันซูพูดถูก อาจารย์โค่วเจ้าบอกว่าผู้ช่วยจะสอนบัณฑิตห้องหนึ่งได้ไม่ดี เจ้าหมายความว่ายังไง หมายถึงบัณฑิตห้องสองสู้บัณฑิตห้องหนึ่งไม่ได้รึไง แต่เจ้าอย่าลืมนะองค์หญิงเหวินสี่และองค์หญิงเป่ยเซียงก็เรียนอยู่ห้องสอง เจ้าจะบอกว่าผู้ช่วยปันเหมาะสมที่จะสอนองค์หญิงทั้งสองเหรอ แต่ไม่เหมาะจะสอนบัณฑิตห้องหนึ่งรึไง เจ้าหมายความว่า องค์หญิงทั้งสองไม่มีความสำคัญเท่าบัณฑิตห้องหนึ่งละสิ”
    “รึว่าเจ้าหมายความว่า องค์หญิงทั้งสองไม่มีค่าเท่าบัณฑิตของท่านเหรอ” ปันซูเสริม
    หลันจือว่า “เอาล่ะเจ้ายอมพูดได้แล้วหรอ”
    “จะพูดไม่พูด แล้วยังไง แค่พูดมีเหตุผลก็พอไม่มีปัญหา”
    “ถ้าเจ้าต้องการจะสอนก็ได้ แต่ว่าก่อนที่จะเริ่มสอนเจ้าจะต้องยอมรับเงื่อนไขหนึ่งข้อ”
    “เงื่อนไขอะไร”
    “หลังจากเจ้าสอนเสร็จถ้าบัณฑิตบอกว่าเจ้าสอนไม่ดี เจ้าจะต้องลาออกจากที่นี่ด้วยตนเอง ถ้าการสอนครั้งนี้จบลง มีบัณฑิตที่เห็นว่าเจ้าสอนดีถึงครึ่งหนึ่ง ต่อไปเจ้าจะสอนอะไรก้อแล้วแต่เจ้าเลย ข้าจะไม่ว่าอะไรเจ้าอีก แต่ถ้ามีบัณฑิตไม่ถึงครึ่ง เจ้าก็จะต้องเขียนใบลาออก บอกว่าเจ้ามีความรู้ไม่พอไม่สามารถเป็นอาจารย์ได้ แล้วเจ้าก็ออกไปซะว่าไงล่ะ กล้ารึเปล่า”
    “ทำไมข้าจะไม่กล้าล่ะ”
    “ดีงั้นเรามาแปะมือสามครั้งทำสัญญากัน”
    “แปะก็แปะสิปันซูและโค่วหลันจือ” ปันซูทำทันที
    เหยาเจวียนร้องห้าม “อย่าอย่าอย่าอย่า”
    หลันจือไม่สน “กล้าหาญเด็ดเดี่ยวมาก อาจารย์เหยาในเมื่อตกลงกันแล้ว เรื่องนี้เป็นเรื่องที่รอไม่ได้ พรุ่งนี้ตอนเช้าให้เริ่มสอนเลย ข้าจะคอยต้อนรับเจ้าเองผู้ช่วยปัน”
    “ได้เลยอาจารย์โค่ว เมื่อถึงตอนนั้นเจ้าคอยดูให้ดีก็แล้วกัน ศิษย์พี่เราไปเถอะ”
    เหยาเจวียนบ่นปันซูที่ตกลงท้ากันแบบนั้น 
    “เอาละๆ ข้าผิดไปแล้ว แต่ว่าตอนนั้นข้าทนไม่ไหวศิษย์พี่ ทำไมโค่วหลันจือถึงอยากให้ข้าออกไปจากที่นี่นัก นอกจากเรื่องที่ข้าทำรถของนางเสียแล้ว ก็เคยเถียงกับนาง ข้าก็ไม่เคยทำอะไรนางอีกเลย”
    “ข้าว่าอาจจะเป็นเพราะว่าเจ้าแซ่ปัน นิสัยของอาจารย์โค่วนะ เรียกได้ว่าสมบูรณ์แบบที่เดียว แต่จิตใจนางนะเหรอรู้สึกว่า นั่นและสรุปว่าเจ้ารู้ไว้เรื่องหนึ่งก็พอ เมื่อสามปีก่อนผู้หญิงที่สมบูรณ์ที่สุดในเมืองหลวงก็คือศิษย์พี่เซวียน ต่อมาญาติของศิษย์พี่เซวียนตายไป ศิษย์พี่ก็ป่วย แล้วก็ออกจากวัง ไทเฮาจึงเรียกอาจารย์โค่วเข้าวัง มาเป็นอาจารย์ แล้วตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาทุกคนก็เรียกนางแบบนี้”
    “เจ้าหมายถึงโค่วหลันจือไม่ชอบพวกเราตระกูลปัน”
    “ก็บอกไม่ได้ว่าไม่ชอบรึเปล่า เจ้าลองคิดดูนะ ตระกูลโค่วเป็นตระกูลที่ทำเพื่อบ้านเมือง เป็นตระกูลที่สืบทอดต่อกันมา และทำคุณประโยชน์ไม่น้อย แต่ในราชสำนักเมื่อพูดถึงตระกูลนักปราชญ์อันดับหนึ่งก็คือตระกูลปันของเรา ดังนั้นโค่วหลันจือถึงได้อิจฉาละมั้ง”
    “อ๋อมิน่าละ ตอนข้าเข้าวังครั้งแรก นางดูไม่พอใจข้าเอามากๆ”
    “ดังนั้นครั้งนี้ก็เห็นได้ชัดเลยว่า นางวางแผนไว้แล้ว”
    “เหาะ ข้านี่มันโง่จริงๆ ตกหลุมพรางนางเข้าแล้ว”
    “เอาละเอาละ เจ้าอย่าเป็นแบบนี้สิ ในเมื่อเรื่องมันเป็นแบบนี้ไปแล้ว พวกเรากลับบ้านไปอ่านหนังสือ คิดกันว่าพรุ่งนี้จะสอนอะไรดี สอนวิทยานิพนธ์ขงจื้อ วิทยานิพนธ์ขงจื้อง่ายๆ จะพูดยังไงก็ได้ไม่มีผิด”
    “ศิษย์พี่ ท่านรู้สึกหรือไม่ว่า ข้านั้นมันโง่เขลาได้แต่พูดไร้สาระไปวันๆ”
    “ไม่ ไม่ ไม่ข้าไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้น”
    “เอาล่ะเอาล่ะ ถ้างั้นก็สอนวิทยานิพนธ์ขงจื้ออย่างที่ท่านบอกละกัน แต่ตอนนี้ข้ายังไม่อยากกลับบ้าน ข้าอยากใช้เวลาที่ไม่มีใครอยู่ที่นี่ลองฝึกสอนดู”
    “งั้น งั้นข้าจะอยู่เป็นเพื่อนเจ้า”
    “ไม่ต้องไม่ต้องศิษย์พี่ ท่านกลับไปก่อนเถอะ ข้าอยากอยู่คนเดียวซักพัก รีบไปเถอะนะไปเถอะ”
 
        
    ปันซูลองท่องกลอนสอนเหมือนมีบัณฑิตอยู่ แต่สักพักก็ถอนใจ รู้สึกว่านักเรียนคงทนฟังไม่ได้แน่
    “ถ้าพรุ่งนี้สอนได้ไม่ดีละก็ข้าก็ต้องออกไปจาที่นี้จริงๆนะสิเฮ่อถ้าท่านน้ารู้ละก็จะต้องโกรธข้ามากแน่ๆ เอ๊ะ เวยอิง”
    “เจ้าอย่าเพิ่งพูดข้ากำลังยุ่ง”
    ปันซูนิ่งไปและรอ จนเว่ยอิงเดินมาหา
    “ดึกแล้วทำไมเจ้ายังอยู่ในวังละ”
    “นิเจ้าพูดกับข้าใช้น้ำเสียงดีๆ หน่อยสิ ทีเจ้ายังอยู่ในวังเลย ในสายตาของเจ้า ข้ามันเป็นตัวปัญหาใช่มั๊ย ข้าอยู่ที่นี่จะพยายามให้เต็มที่ไม่ได้หรือไง”
    “พยายามให้เต็มที่ ถ้างั้นพระอาทิตย์คงขึ้นทางทิศตะวันตกแล้วละมั้ง เกิดอะไรขึ้นกันแน่ เกิดเรื่องยุ่งยากอะไร โดยปกติเจ้าไม่เป็นแบบนี้นิ”
    “พี่เขยข้าจำได้ แต่ก่อนท่านเป็นนักรบ แล้วทำไมถึงได้เปลี่ยนมาเป็นอาจารย์กรมวังได้ละ เหล่าบัณฑิตระดับสูงไม่เคยทำให้ท่านลำบากเลยเหรอ ดูถูกท่านรึเปล่า”
    “ตั้งแต่เด็กทั้งการเรียนและการรบข้าทำได้ทั้งสองอย่าง ข้าเริ่มจากเป็นนักรบแล้วถึงมาเป็นบัณฑิตไม่มีใครกล้าดูถูกข้า”
    “ข้ารู้แล้ว แต่ว่าก็ไม่ได้เกิดมาแล้วเป็นอาจารย์ได้เลยนิ ครั้งแรกที่ท่านสอน ท่านสอนอะไรเหรอ สอนแล้วทำให้บัณฑิตสนใจได้ ทำยังไงให้บัณฑิตอยากจะฟังท่านสอน”
    “ข้าสอนใครกล้าไม่ฟัง”
    “เฮ่อ เอาเถอะถือว่าข้าถามผิดคนละกัน”
    “เจ้าคิดว่าข้าตั้งใจแกล้งเจ้าหรือเปล่า ชีวิตคนเรานั้นไม่เหมือนกัน ถ้าเจ้าคิดว่ามันเป็นแค่การแสดง ไม่ว่าเจ้าจะพยายามมากแค่ไหน แต่ก็ยังไม่เป็นผล แต่ว่าเพียงแค่พยายามจนสุดความสามารถของตัวเองก็พอ ดึงความสนใจจากทุกคนมารวมไว้ที่จุดดีของเจ้า ถึงแม้จะมีจุดด้อยก็จะถูกกลบหายไป” เว่ยอิงทุบก้อนหิน ปันซูตกใจ
    เว่ยอิงอธิบาย “ก็เหมือนกับว่า คนอื่นจะสนใจเฉพาะตอนข้าทุบก้อนหิน ใครจะสนใจว่าใช้ค้อนหรือดาบ”
    “แสดงความสามารถที่มีออกมาเหรอ ทำให้คนอื่นเห็นแต่จุดดีของตัวเอง ข้าเข้าใจแล้ว ขอบคุณมากพี่เขย ท่านช่วยข้าได้มากทีเดียว” ปันซูเข้าไปด้านใน หยิบของกินมาให้ “พี่เขยดึกแล้ว ท่านยังไม่กลับต้องหิวแน่ๆ เลยนี่คือเนื้อที่อาซิ่วให้ข้ามา อร่อยมากเลยนะ ห้ามเอาไปทิ้งละ ข้ายังไม่ได้กินนะพี่เขยสบายใจได้ พรุ่งนี้ข้าจะทำให้เต็มที่ จะไม่ทำให้ตระกูลปันขายหน้าแน่นอน” ปันซูกลับไป
    “เป็นคนตรงไปตรงมาจริงๆ” เว่ยอิงกินเนื้อ
    เช้าวันรุ่งขึ้น เหยาเจวียนมารอด้านหน้าอย่างร้อนใจ บัณฑิตทยอยกันเดินมา จิ่นซูเข้ามาบอกว่าไม่เห็นปันซูเลย ทั้งสองยืนรอกังวล 
    “ใกล้จะถึงเวลาสอนแล้วทำไมถึงยังไม่มานะนางควรจะมาแล้วนิ”
    จินซูกังวลไปด้วย “จะทำยังไงดีละ”
    หลันจือกับเป่ยเย้เดินเข้ามา เป่ยเย้ว่า “กลัวแพ้เลยยังไม่มา ถือว่าฉลาดดีนิ”
    เหยาเจวียนไม่พอใจ “บัง บังอาจ ถึงแม้ว่าอาปันจะไม่ใช่อาจารย์แล้ว แต่ก็ไม่ใช่คนที่เจ้าจะ..เอามาพูดให้เสียหายได้นะ อาจารย์โค่วข้าจำได้ว่าเป่ยเย้ไม่ใช่นางกำนันในวัง เป็นแค่คนสนิทที่ท่านพาเข้าวังมาด้วย เพียงแค่ไทเฮาอนุญาตเจ้าให้พาคนสนิทเข้ามาได้ ในเมื่อเป็นแบบนี้ น่าจะรู้ที่ต่ำที่สูงบ้างนะ”
    หลันจือหน้าชาไป “เป่ยเย้นางเป็นคนปากไวไปหน่อย อาจารย์เหยาอย่าใส่ใจเลย”
    “อาจารย์โค่วหมายความว่าเป่ยเย้แค่ปากไว แต่ไม่ผิดใช่มั๊ย ดีล่ะข้าจะเอาเรื่องนี้ไปบอกทุกคน ดูสิว่าคนอื่นจะว่ายังไง อาจารย์ที่มีชื่อเสียงอันดับหนึ่งของเมือง ดูแลคนในปกครองไม่ได้”
    หลันจืออึ้งไป สั่งเป่ยเย้ “ตบปากตัวเองซะ เป่ยเย้ตบปากตัวเอง”
    เป่ยเย้ตบปากเสร็จ หลันจือค้อนแล้วพากันเดินไป เหยาเจวียนยังคงรอปันซู อาหลิงเห็นเหยาเจวียนเอาจริงก็กลัวเหมือนกัน ปันซูมาถึงหอบตำรามาด้วย เหยาเจวียนถาม ปันซูว่านางทำกับเพ่ยหวนทั้งคืน แล้วรีบพากันเข้าไป
    เหล่าบัณฑิตจะพากันเข้าห้อง อาหลิงตื่นเต้นเพราะวันนี้เรียนรวมสองห้อง ก่อนเข้าห้องก็เห็นภาพ พากันแวะดู บัณฑิตห้องหนึ่งพูดจาดูถูกห้องสอง อาหลิงไม่พอใจนัก
    ขณะที่หลิวเอี้ยนก็บอกองค์หญิงเหวินฉี ให้คอยดูสีหน้าเธอ แล้วทำตาม ถ้าบอกให้ออกก็ออกมา แต่เหวินฉีว่าปันซูเป็นคนห้องเรานะ
    “คนของเราของเขาอะไรกันละ ข้ากับเจ้าน่ะคือพวกเดียวกัน ถ้าปันซูออกไปเป็นการดีต่อเรา ไม่มีข้อเสีย หรือว่าเจ้าอยากให้นางสอนหรือไง” 
    หลันจือถามปันซูว่า
    “เมื่อว่าเจ้าบอกจะสอนนิพนธ์ขงจือทำไมถึงเปลี่ยนมาสอนดินแดนแห่งภูเขาทะเลล่ะ”
    “ข้าเปลี่ยนหัวข้อไม่ได้หรือไง ตอนที่เราสัญญากัน พูดแค่ว่าถ้าข้าสอนไม่ดี ไม่ได้บอกแน่นอนว่าจะต้องสอนอะไร”
    “ไม่ได้ในห้องเรียนชั้นใน จะสอนเรื่องไร้สาระได้ยังไง”
    “ไร้สาระท่านน้าบอกข้าว่า ทั้งองค์ชายคนในราชสำนักมากมายก็อ่านดินแดนแห่งภูเขาทะเล อ๋อ ข้าลืมไป ข้าลืมไปตระกลูโค่วนั้นเริ่มจากการเป็นตระกลูที่เริ่มจากการสู้รบจนสร้างเป็นตระกูลขึ้นมาได้ ส่วนเรื่องในวังหลวงคงไม่รู้สินะ ไม่เป็นไร ไม่เป็นไรนะ” ปันซูท่าทางเยาะเย้ย
    หลันจือแค้น “เจ้า”
    “ทำไมเหรอ อย่านึกนะว่าเจ้าพูดประชดคนอื่นได้ แล้วคนอื่นเขาจะไม่มีวิธีต่อสู้กลับ อาจารย์โค่ว ข้าว่านะ ท่านควรเปิดใจให้กว้างหน่อยดีมั๊ย ข้าเป็นลูกสาวตระกูลปัน ถ้าข้าจะอยู่ในวังหลวงมันอันตรายต่อเจ้ามากนักหรือไง ศิษย์พี่เคยบอกว่ามีแต่คนทีไม่มั่นใจเท่านั้นและ ที่กลัวถึงได้หาวิธีกำจัดคนอื่นให้พ้นทาง”
    “เอาละเจ้าอยากสอนอะไรก็สอนไป แต่จำไว้นะบัณฑิตมีทั้งหมดยี่สิบสี่คน เมื่อถึงเวลาเลิกเรียน ถ้ามีบัณฑิตอยู่ไม่ถึง 12 คนข้าจะเป็นคนส่งเจ้าออกไปด้วยตัวเอง”
    “ได้”
    ในห้องเรียน ปันซูเริ่มสอน โดยใช้ภาพ
    “บัณฑิตทุกคน วันนี้เรื่องที่เราจะเรียนคือดินแดนภูเขาทะเลทางตะวันตก หนังสือเล่มนี้คนส่วนมากคิดว่าเป็นแค่หนังสืออ่านเล่น แต่จริงๆ แล้วสามารถพูดได้ว่า จากอดีตถึงปัจจุบันนับว่าเป็นหนังสือที่ดีเล่นหนึ่ง บอกถึงสิ่งต่างๆ ที่เราไม่รู้และเรื่องแปลกๆ มากมาย และยังอธิบายถึงธรรมเนียมประเพณีของที่แห่งนั้นด้วย ทะเลอยู่ระหว่างตกและใต้มีทราย มีน้ำ มีความหมายว่าอะไรนะ เราจะมาดูไปพร้อมกันพื้นที่เขตดินแดนภูเขาทะเลน่ะดังรูปนี้ แต่ประเทศของเรานั้นที่จริงแล้วเหมือนกับแท่นหมึก โดยรอบทั้งสี่ด้านล้อมด้วยทะเล ทะเลตะวันออกทะเลใต้ ทุกคนคงรู้ดีถ้างั้นทะเลเหนือกับทะเลตะวันตกอยู่ที่ไหนกัน ข้าจะบอกให้น่ะ ที่จริงแล้วมันไม่ใช่ทะเลจริงๆ แต่เป็นแม่น้ำที่ใหญ่มากๆ คนทางตะวันตกก็เลยเรียกว่าทะเล ส่วนทะเลเหนือจะอยู่ใกล้กับเขตตุนหวงแม่น้ำนี้ มีพื้นที่กว้างใหญ่มากแม้ว่าจะขี่ม้าแบบไม่หยุดเลยยังต้องใช้เวลาถึงห้าวัน”
    อาหลิงตื่นเต้น “ว้าวใหญ่จังเลย”
    อาเฉินบัณฑิตคนสนิทของหลันจือเรียก “ผู้ช่วยปัน”
    “ว่ายังไง”
    “ลำบากท่านแล้วเรื่องดินแดนภูเขาทะเล เป็นเรื่องที่แปลกประหลาด ไม่ใช่เรื่องที่ข้าอยากเรียน ต้องขอโทษด้วย”
    บัณฑิตทั้งห้องลุกตามออกไป “ขออภัยด้วยผู้ช่วยปัน”
    หลันจือเยาะ “ผู้ช่วยปัน ในเมื่อเป็นอย่างนี้ ข้าก็มีเรื่องต้องทำ คงไม่อยู่รบกวนการสอนของเจ้าแล้วล่ะ”
    บัณฑิตห้องสองที่เหลือทั้งหมดมองหน้ากัน “ไปกันแล้วทำไมไปกันหมดเลย”
    “พวกนางไปกันหมดเลยถ้าบัณฑิตมีบัณฑิตออกไปอีกแค่คนเดียวงั้นผู้ช่วยปันก็แย่นะสิจะทำไงละ”
    “จริงด้วย”
    ปันซูว่า “ไม่มีอะไรไม่มีอะไร พวกนางไปแล้ว เราก็สอนของเราเถอะ บัณฑิตห้องหนึ่งไม่อยู่แล้ว งั้นเราจะได้สอนได้ง่ายขึ้น เมื่อกี้เจ้าบอกว่าอยากจะฟังเรื่องของเทพเจ้ามู่และพระราชาของเรา ว่าเคยพบกับราชินีตะวันตกที่สวยมากหรือไม่ ข้าบอกพวกเจ้าได้ว่าไม่เคยพบแน่นนอน จริงๆ แล้วราชินีตะวันตกหน้าตาเป็นยังไงพวกเจ้ารู้หรือไม่”
    “ไม่รู้ ไม่รู้”
    “เอาละทุกคนดูนี่มีหน้าเหมือนคนตัวเป็นเสือ มีหางลายจุดอยู่ในถ้ำ คือราชินีตะวันตก ทุกคนเห็นแล้วใช่มั๊ย ใช่คนหรือเปล่า มีฟันเหมือนกับเสือ มีหางเป็นลายจุด เหมือนเสือดาวอยู่ในถ้ำทั้งวัน ไม่ออกมาเห็นตะวัน พวกเจ้าว่าคนแบบนี้เป็นคนสวยหรือไม่”
    “ไม่สวยไม่สวยไม่สวย”
    “ถูกต้องแล้วพระราชาของเรานั้น จะแต่งงานกับหญิงงามเท่านั้น จะไปสนใจผู้หญิงที่เหมือนเสืออย่างนี้ได้ไง”
    “พอทีองค์หญิงเหวินฉีนางชั่งกล้ามากที่ลบหลู่พระราชา ท่านยังจะทนฟังต่อไปได้ยังไง” หลิวเอี้ยนว่า
    องค์หญิงเหวินฉีว่า “แต่ว่า นางยังไม่เห็นได้พูดอะไรเลย”
    “พวกเราไปเถอะ” หลิวเอี้ยนฉุดองค์หญิงเหวินฉีออกไป
    บัณฑิตอีกคนก็ขอตัว อาหลิงว่า “พวกเจ้าหมายความว่ายังไงอาจารย์ปันสอนกำลังสนุกเลยจะไปก็ไป”
    ปันซูปราม “อาหลิงนั่งลง ทุกคนอยู่ในความสงบ วันนี้ไม่ว่าจะมีบัณฑิตกี่คน เหลืออยู่ข้าจะตั้งใจสอนจนจบ”
    “บ้าจริงเป็นบัณฑิตห้องสองแท้ๆ ทำไมถึงไม่สามัคคีกัน” อาหลิงบ่น
    อาซิ่วว่า “อาจารย์ท่านสอนดีมาก ข้าชอบฟังที่ท่านสอน”
    บัณฑิตคนหนึ่งว่า “อาซิ่วพูดถูก อาจารย์ปันสอน ท่านสอนได้น่าสนใจมาก พวกเราชอบฟัง ข้ายังอยากจะฟังตอนจบว่าเป็นยังไงนะ”
    “ดี งั้นพวกเราฟังต่อดีกว่า ราชินีตะวันตกอ่ะอาศัยอยู่ที่ภูเขาคุนหลุนทุกคนคิดว่านางเป็นเทพของที่นั้นแต่ที่จริงแล้วข้าคิดว่านางเป็นคนครึ่งหนึ่งเพราะเห็นเป็นหน้าคน”
    ออกมาด้านนอก องค์หญิงเหวินฉีก็ต่อว่าหลิวเอี้ยน
    “เจ้าทำอะไรเนี่ยข้าจะกลับไปเมื่อครู่ข้าฟังกำลังสนุกเลยเจ้าก็ลากข้าออกมา”
    “เจ้าลืมที่ข้าบอกแล้วหรือไง ข้าจะใช้โอกาสนี้ทำให้ปันซูออกไปจากที่นี่ เจ้าต้องเชื่อฟังข้านะ”
    “เจ้าปล่อยข้านะหลิวเย่น ตลอดมาข้าจะเรียกเจ้าว่าพี่ แต่เจ้าอย่าลืมนะข้าเป็นลูกสาวของพระราชา ข้าอยากจะฟังใครสอน ข้าก็จะฟังเจ้าอย่ามายุ่ง” องค์หญิงเหวินฉีเดินกลับเข้าห้องไป
    องค์หญิงเหวินฉีกลับเข้ามาในห้อง ฟังปันซูเล่าต่อ
    “ภูเขาคุนหลุนจริงๆ แล้วตอนนี้ก็คือภูเขาฉีเหลี่ยน ทำไมถึงเปลี่ยนชื่อนะเหรอ เป็นเพราะภูมิประเทศไม่เหมือนกัน ภาษาก็ไม่เหมือนตามหลักเมืองทางตะวันตก คุนหลุนก็คือฉีเหลี่ยน งั้นพระราชินีตะวันตกไม่แน่อาจจะคือไทเฮาก็ได้ ก็เหมือนข้าที่ก็สามารถเปลี่ยนชื่อเป็นปันซี่ชือ ปันจาวจุนก็ได้ พวกเจ้ามองที่ข้าจะต้องกลายเป็นคนสวยด้วยมั๊ย ดังนั้นก่อนหน้านี้ที่พวกเจ้าได้ยินเรื่องของราชินีตะวันตกครึ่งหนึ่ง เป็นเรื่องไม่จริง อย่างเช่นแต่ก่อนข้าอ่านหนังสือเล่มหนึ่ง ลุงข้าเป็นคนเขียนเองอ่านกันเฉพาะในราชสำนัก ส่วนใหญ่เกี่ยวกับพระราชาและราชินีตะวันตก กว่าจะเขียนได้ก็ยากลำบากมาก สุดท้ายข้าตั้งใจไปถามเชาต้ากู พวกเจ้าทายสิว่าเกิดอะไรขึ้น น้าของข้าบอกว่าท่านลุงกลัวท่านป้า กลัวมากๆ เลยเขาจะกล้าเขียนให้นางฟ้าสวยได้ไง คำว่าน่าเกลียดก็ไม่กล้าเขียน”
    บัณฑิตห้องหนึ่งอยากกลับไปฟังปันซู ก็แอบย่องกลับไป หลันจือถึงกับอึ้ง อาเฉินว่า
    “อาจารย์ข้าขอโทษด้วย ที่ข้าห้ามพวกนางไว้ไม่ได้ มีบัณฑิตห้องเราที่ไม่ยอมฟัง กลับไปที่ห้องเรียนแล้ว”
    หลันจือสั่งเป่ยเย้ให้รีบไปตีระฆังเลิกเรียน
    ที่ห้องปันซูยังคงสอนอยู่
    “วันนี้ที่สอนเรื่องนี้เพราะว่าเพื่อทุกคนจะได้สนุกสนานกันเอาละใครสามารถบอกข้าได้ดินแดนตอนเหนือและใต้ทำไมถึงรบกัน”
    องค์หญิงเหวินฉีตอบ “เพราะพวกเขาต้องการแย่งพื้นที่ที่ดีที่สุด”
    “ถูกต้องพวกเราตบมือให้องค์หญิงเหวินฉีข้าจะให้นกกระดาษสองตัวเป็นรางวัลนะ”
    “ขอบคุณค่ะอาจารย์”
    “เอาละวันนี้เราพอแค่นี้ก่อน ทุกคนต้องจำไว้เรื่องดินแดนภูเขาทะเลไม่ได้เป็นเรื่องที่ไร้สาระ พวกเจ้าต้องขยันหมั่นเพียรจะได้มีความรู้มากมาย เอาละเลิกเรียน”
    “ไปเถอะเลิกแล้วน่าสนใจจริงๆ”
    ปันซูว่า “หยุดก่อน หยุดก่อน อาจารย์โค่วท่านจะลองนับดูมั๊ย ดูสิตอนนี้มีบัณฑิตอยู่ที่นี่ทั้งหมดกี่คน”
    เหยาเจวียนตอบแทน “ข้านับให้แล้ว 15 คน สายตาข้าไม่ดี อาจารย์โค่วท่านนับหรือยังละ”
    หลันจือค้อน “ถูกต้อง 15 คน ยินดีด้วยผู้ช่วยปัน หลังจากนี้เจ้าจะสอนอะไรก็ตามใจเจ้า ข้าจะไม่ว่าอะไรเจ้าอีก”
    อาหลิงดีใจ “อาจารย์ปันเก่งที่สุดเย้เย้”
    “ศิษย์พี่” ปันซูกระโดดกอดกัน
    เหยาเจวียนไปเล่าให้ฮั่วเหิงฟังอย่างดีใจสุดๆ 
    “เจ้าไม่รู้หรอกว่า ตอนนั้นพวกเราดีใจขนาดไหน แม้แต่องค์หญิงเหวินฉีที่เป็นคนเงียบๆ ยังเรียนอย่างสนุกสนานเลยอิอิอิ”
    ฮั่วเหิงค้าน “หยุดก่อน เจ้านะตาไม่ดีไม่ใช่เหรอ มองเห็นได้ยังไง”
    “ข้าจะมองไม่เห็นได้ไงละ แม้ว่าตาข้าไม่ค่อยดี มองเห็นหน้าไม่ชัด แต่ว่าข้าสอนพวกนางมานาน รูปร่างก็ดูคุ้นเคยกว่าคนอื่น เจ้านะไม่รู้อะไร ตอนนั้นนะนางหน้าเสียไปเลยละ ไม่อย่างนั้นอาซูคงไม่ดีใจขนาดนี้”
    “เอาละ เอาละ เอาละอาซูนั่น อาซูนี่อยู่ได้ เรื่องแค่นี้เองพูดอยู่ได้ตั้งนาน”
    “ข้าเอาซุปมาให้เจ้าทุกวัน ข้าก็แค่ดีใจอยากจะเล่าให้เจ้าฟังบ้าง ไม่ได้หรือไง”
    ฮั่วเหิงล้อเล่น “มิน่าละเจ้าถึงได้เป็นยอดหญิงของเมืองหลวง อารมณ์โกรธรุนแรงใช้ได้นิ”
    “แน่สิเจ้าอย่าได้คิดรังแกข้าล่ะ ปันซูบอกว่าช่วงนี้เจ้าแกล้งล้อเล่นกับข้า ข้าเห็นว่าเจ้าน่าสงสาร อยากจะดื่มน้ำซุป ถึงได้ทำมาให้ทุกวัน” ทันใดนั้นฮั่วเหิงจูบเหยาเจวียนแบบไม่ทันตั้งตัว
    ฮั่วเหิงว่า “เหล่าเติ่งพูดถูกจริงๆ ตอนที่ผู้หญิงนั้นพูดมาก ใช้วิธีนี้นั้นได้ผลจริงๆ”
    “เจ้าจูบข้าทำไม”
    “ข้าไม่ได้จูบแค่ใช้ปากข้าอุดปากเจ้าไว้”
    “เจ้า เจ้า เจ้า นี่มันบ้าบอจริงๆ ย๊าาาาา” เหยาเจวียนกระทืบเท้าเสยหน้าซัดหน้าอก
    ฮั่วเหิงล้มลง “เจ้า เจ้าตีข้าอีกแล้ว”
    เหยาเจวียนกลับไปที่โรงเรียน ยังใจเต้นเร็ว ปันซูเข้ามาเห็นก็รีบเอาชาให้ดื่มและถามว่าเป็นอะไร พอรู้ว่าโดนฮั่วเหิงจูบก็หัวเราะชอบใจ เพราะฮั่วเหิงว่าแค่อุดปาก
    “ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่าฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า เขากำลังหลอกท่านตะหากละ เป็นเพราะเขาชอบท่าน ถึงจูบท่านก็เหมือนกับทุกครั้ง ที่ท่านเจอเขาใจจะสั่นเหงื่อออก”
    “เขาชอบข้า แล้วข้าก็ชอบเขาเหรอ”
    “ถูกต้อง แบบนี้เขาเรียกว่าผู้หญิงที่สวย ผู้ชายจึงอยากได้ ท่านลองต้มซุปไปให้เขา ดูสิว่าจะเป็นยังไง ศิษย์พี่บอกข้าสิตอนเขาจูบท่าน ท่านรู้สึกยังไง”
    “ตอนนั้นข้าตกใจมาก ก็จำไมค่อยได้เหมือนว่ากัดเนื้อนิ่มก้อนหนึ่ง”
    “เนื้อนิ่มๆ ถึงว่าล่ะคนเราถึงชอบจูบแล้วจูบอีก เนื้อนิ่มๆ เหรอน่าตื่นเต้นดีนะ”
จบตอน9
 



