
มาทำความรู้จักกับ“เจมส์ มาร์”พระเอกที่ไม่ได้มีดีแค่หน้าตา
คอลัมน์... บันเทิงวันเสาร์ / เรื่อง... เสาวลักษณ์ ปึงทมวัฒนากูล
ระยะทางพิสูจน์ม้า กาลเวลาพิสูจน์คน คำกล่าวนี้ยังใช้ได้ในทุกยุคทุกสมัย โดยเฉพาะกับนักแสดงรุ่นใหม่ๆ ที่เข้าสู่วงการบันเทิง และกาลเวลาได้เป็นเครื่องพิสูจน์แล้วว่า เจมส์ มาร์ เด็กปั้นของ “เอ” ศุภชัย ศรีวิจิตร สามารถอยู่รอดในวงการบันเทิงอย่างสง่างาม แม้จะผ่านผลงานการแสดงมาไม่กี่เรื่อง แต่ทุกเรื่องกลับได้กระแสตอบรับที่ดี และในวันนี้เขาได้แสดงภาพยนตร์เป็นครั้งแรก ใน “MIND MEMORY 1.44 พื้นที่รัก” โดยเรื่องนี้ได้แสดงร่วมกับ ฮัมอึนจอง นักแสดง-นักร้องวงทีอารา ชาวเกาหลี วันนี้ “บันเทิงคม ชัด ลึก” ได้พูดคุยเกี่ยวกับผลงานเรื่องล่าสุดของเขา
**ภาพยนตร์เรื่องแรก**
@ อะไรคือสิ่งที่ทำให้ตัดสินใจรับแสดงภาพยนตร์เรื่องนี้
ตอนนั้นคิดว่าเป็นโอกาสที่ดีที่เราจะได้เล่นภาพยนตร์ เพราะเป็นงานชิ้นใหม่ที่เราไม่เคยทำ แฟนๆ จะได้เห็นเราในจอใหญ่ เราก็ดีใจ และรู้สึกว่า เป็นอะไรที่น่าประทับใจ เพราะบทที่ได้มาเป็นบทที่น่าสนใจ ตรงที่ได้ใช้หลายภาษา ได้เจอกับนักแสดงที่หลากหลายอาชีพ และหลากหลายประเทศ และเป็นการนำเสนอคาแรกเตอร์ที่น่ารักดี ก็เลยรับ จริงๆ เป็นหนังที่ไม่มีอะไรมาก เป็นเรื่องเกี่ยวกับความเหงาและความรักเท่านั้นเอง
@ คาแรกเตอร์ที่ได้รับในเรื่องเป็นอย่างไร
เรื่องนี้ผมรับบทเป็นภัทร เป็นเด็กอัจฉริยะ ที่ทำเรื่องโปรแกรมเกี่ยวกับหุ่นยนต์ และเป็นคนที่ไม่ค่อยมีเพื่อน เหงาอยู่คนเดียว ซึ่งมันคล้ายๆ กับผมนะ เราก็เลยรู้สึกว่า มันเป็นคาแรกเตอร์ที่ไม่ไกลตัวมาก เราก็อยากนำเสนอคาแรกเตอร์แบบนี้ออกมา เพราะมีหลายอย่างที่เหมือนกับผม ไม่ว่าจะเป็นไลฟ์สไตล์หลายๆ อย่าง คือผมเป็นคนที่ชอบทำอะไรคนเดียว เพื่อนก็มีเฉพาะที่เราไว้ใจ ซึ่งมันตรงข้ามกับนางเอก ที่มีเพื่อนเยอะ มีสังคม มีทุกอย่าง แต่พออยู่คนเดียวกลับไม่มีใคร พอคน 2 คนมาเจอกัน ก็เลยเกิดความรู้สึกดีๆ ขึ้นมา ผมเชื่อว่าความรักมีหลายแบบ แต่ผมรู้สึกว่า การที่เราจะรักใครสักคน เราต้องรู้จักกันสักพักก่อน ต้องมีความทรงจำดีๆ ต้องมีสิ่งที่ทำให้เรารับข้อดีข้อเสียของเขาได้ มันเป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อน ที่ต้องใช้เวลาไม่ใช่เรื่องที่เราจะรีบได้ ตอนนี้ผมก็ยังไม่มีไง คือผมรู้สึกว่าเรื่องนี้ซับซ้อน คิดไปคิดมาก็เลยรู้สึกว่าไม่มีดีกว่า (หัวเราะ) อย่าเพิ่งคิดดีกว่า เพราะเราไม่ได้รีบ แต่ไม่ได้หมายความว่าเราไม่ได้ชอบใคร คือเจอคนน่ารักเราก็มองนะ แต่เราไม่ได้คิดว่าจะต้องไปขอเขาเป็นแฟนหรือต้องชอบเขาทันที (เคยมีคนที่เราเกือบชอบไหม) ก็มีตอนเด็กๆ เป็นป๊อปปี้เลิฟ ซึ่งเรื่องในครั้งนั้น ก็ทำให้เราได้เรียนรู้ว่า การที่เราจะรักใคร มันเป็นเรื่องละเอียดอ่อนและต้องใช้เวลากับมันว่าต้องใช่จริงๆ เราถึงจะคบกันหรืออะไรก็ว่ากัน
@ โดยส่วนตัวของเจมส์มีสเปกสาวที่ชอบไหม
ใครๆ ก็ชอบคนหน้าตาดี ซึ่งผมก็เป็นแบบนั้น ผมชอบผู้หญิงไว้ผมยาวหน้าตาน่ารักๆ แต่ที่แตกต่างจากคนอื่นน่าจะเป็นเรื่องนิสัย ผมชอบคนที่มีความเป็นตัวของตัวเองสูง และชอบคนเก่ง นั่นคือสิ่งที่จะทำให้เราประทับใจในคนคนนั้น มันอาจจะเป็นเรื่องเล็กๆ น้อยๆ แต่มันเป็นเสน่ห์ของผู้หญิงแต่ละคน เพราะผู้หญิงแต่ละคนต่างมีเสน่ห์ในตัวเอง ส่วนเรื่องอายุไม่ใช่สิ่งสำคัญ ไม่ใช่เรื่องใหญ่ในมุมมองของผมนะ คือถ้าเขาอายุมากกว่าเราก็ดีอีกแบบ เพียงแต่เรื่องนี้ มันต้องใช้เวลาเท่านั้นเอง
@ บรรยากาศในการถ่ายทำหนังเรื่องนี้เป็นอย่างไร
มันสบายมากเลย ตอนไปถ่ายมันสนุกทุกฉากไม่ใช่บทสนุกเว่อร์ แต่หมายถึงบรรยากาศในกองถ่ายมันสนุก เราได้ทำงานกับนักแสดงนักร้องที่เก่งมากและเป็นศิลปินต่างประเทศด้วย ทำให้เราได้ประสบการณ์ในการทำงานอีกแบบหนึ่ง ซึ่งเราก็ชื่นชมและชอบในการทำงานของเขา กับใบเฟิร์น (พัสกร พลบูรณ์) เขาก็เป็นคนตลก แต่ผมก็ตบมุกเขาทันนะ เพราะตอนถ่ายหนังก็เจอกันมาแล้วหลายคิว หลายเดือน หลายช่วง ก็เลยได้รู้จักกันและสนิทกัน กับอึนจองเราก็ได้แชร์ประสบการณ์ในการทำงาน เพราะเขาเป็นคนน่ารัก ทุกครั้งที่เขากลับมาเมืองไทยเขาต้องมีของฝากให้ทุกคนไม่ว่าจะเป็นทีมงาน นักแสดง อย่างครั้งนี้เขาก็มีพ็อกเกตบุ๊กของเขาชื่อ smile นอกจากนี้เขาก็เป็นคนน่ารัก เอาใจใส่คนรอบข้างและจิตใจดี ที่สำคัญคือเขาสู้ในเรื่องการทำงานเขาเป็นคนที่ทำงานละเอียดมาก บทของเขาจะมีการโน้ตการเขียนไว้เยอะมาก ในเรื่องไม่มีเลิฟซีน เพราะเรื่องนี้เป็นเรื่องราวการเริ่มต้นของความรักมากกว่า เป็นเรื่องฟิลกู๊ด ขอใช้คำว่าน่ารักซีนก็แล้วกัน พอได้ดูแล้วก็จะยิ้ม เพราะมันเป็นการเริ่มต้นที่ดี
@ ในเรื่องนี้ต้องถ่ายทำต่างประเทศ มีอุปสรรคในการทำงานอะไรบ้าง
เรื่องอากาศมากกว่า เพราะตอนถ่ายทำเป็นช่วงหน้าหนาว แต่เรื่องความหนาวไม่ใช่ปัญหาสำหรับผม เวลาไปถ่ายทำที่เกาหลีในอากาศหนาวๆ มันก็ได้บรรยากาศอีกแบบหนึ่ง ไม่เหมือนถ่ายทำที่กรุงเทพฯ ที่จะชิลมากกว่า ส่วนเรื่องภาษาที่ใช้สื่อสารก็ไม่ใช่ปัญหาสำหรับผม เพราะโดยส่วนตัวผมพูดภาษาอังกฤษได้อยู่แล้ว อาจจะมีแค่เราอาจจะต้องคิดนิดหนึ่งว่าเราจะนำเสนอภาษาอังกฤษในรูปแบบไหนเท่านั้นเอง เราก็ต้องเปลี่ยนวิธีการพูดนิดหนึ่ง คือผมเป็นคนพูดเร็ว เวลาพูดก็ต้องดึงให้ช้าลงมาหน่อย ถ้าผมพูดเร็ว ปกติคงไม่มีใครฟังรู้เรื่อง เรารู้สึกว่าเราต้องนำเสนอให้คนดู อึนจองเองก็เหมือนกัน เขาก็นำเสนอภาษาอังกฤษในรูปแบบของเขา นี่คือความน่ารักของหนังเรื่องนี้ คือทุกอย่างมันจริงไปหมด ไม่มีการพากย์
@ ไปถ่ายทำที่เกาหลีเจอแฟนคลับต่างชาติบ้างไหม
คือผมเจอแต่คนไทย อย่างตอนไปกินข้าวก็เจอคนไทย คนเกาหลีเขาก็มองงงๆ เขาคงคิดว่าใครวะ (หัวเราะ) แต่คนเกาหลีเขารู้จักอึนจอง ก็มีถ่ายรูป บรรยากาศการทำงานก็เหมือนไปเที่ยว ถ่ายเสร็จก็ไปเที่ยว ไปกินโน่นกินนี่ คือที่โน่นอาหารปิ้งย่างมันอร่อยอยู่แล้ว แต่พอกินไป 3-4 วัน ผมก็จะนึกถึงผัก ผลไม้ แต่ถ้าให้เลือกระหว่างอาหารเกาหลีกับอาหารไทยผมก็ขอเลือกอาหารไทยดีกว่า
@ นอกจากงานภาพยนตร์ งานละครก็แน่น
ตอนนี้มีละคร 2 เรื่องที่ถ่ายไปแล้ว คือเรื่อง “อาคม” ที่ปิดกล้องไปแล้ว กับเรื่อง “สายธารหัวใจ” ที่ใกล้ปิดกล้อง แล้วก็มีเรื่อง “ชาติเสือพันธ์ุมังกร” ส่วนเรื่อง “ดวงใจในไฟหนาว” ของพี่คิง (สมจริง ศรีสุภาพ) จริงๆ เรื่องนี้เป็นงานที่หนักที่สุด ตั้งแต่ผมได้แสดงมา ถือเป็นการพลิกบทบาท เพราะเปิดฉากมา เราก็ร้ายเลย เป็นพ่อมดทางการเงิน ที่คิดแต่จะล้างแค้น และคิดแต่จะเอาสิ่งที่เคยเป็นของเราคืนมา โดยที่ไม่มีจิตใจ ที่รู้สึกว่าตัวเองทำผิดเลย ผมเชื่อว่าบทนี้เป็นอะไรที่ยาก คือเราก็ต้องทำการบ้านดีๆ และต้องปรึกษาพี่คิงเยอะ ต้องเรียนแอ็กติ้งเยอะๆ เรียกว่าเป็นเรื่องที่ท้าทายที่สุด ส่วนเรื่องนี้จะได้เป็นป๋าดันหรือเปล่า ผมขอดันตัวเองก่อนดีกว่า คือเราก็ต้องทำในส่วนของตัวเองให้ดีที่สุด ช่วยใครได้เราก็ช่วย คือผมก็อยากให้คนดูดูแล้วมีความสุขในสิ่งที่เรานำเสนอ ผมหวังว่าเขาจะชอบการแสดงของเรา อาจจะไม่ถึงขั้นการันตีอะไรได้ แต่ก็อยากให้ถูกจริตคนดู
@ ดูเหมือนจะเน้นเรื่องงานแสดงจนไม่ค่อยออกงานอีเวนท์สักเท่าไหร่
อีเวนท์ก็มีนะ ก็ได้ออกบ้าง แต่ส่วนใหญ่ไปต่างจังหวัด จริงๆ เราก็ทำหมดแหละ แต่เราก็ทำแบบพอดีๆ เพราะสิ่งที่สำคัญตอนนี้ คืองานละครและเรื่องเรียนต้องมาก่อน นอกนั้นค่อยๆ ว่ากันไปตามระดับความเหมาะสม ถ้าเราว่างเราค่อยทำ
**ไลฟ์สไตล์ของเจมส์**
@ เวลาว่างพักผ่อนแบบไหน
คือถ้าว่างแค่วันเดียว ผมก็จะอยู่บ้านนี่แหละ คือตื่นเช้าไปตีกอล์ฟ กลับมาออกกำลังกายนิดหน่อย ตกเย็นก็เล่นเกม แต่ถ้ามีเวลาหลายวันหน่อย ก็ไปเที่ยวตามต่างจังหวัดต่างๆ ไปเชียงใหม่ หัวหิน แล้วก็ไปตีกอล์ฟ เรียกว่าไปเปลี่ยนบรรยากาศสนามกอล์ฟ พอตกเย็นก็เล่นเกมเหมือนเดิม คือผมจะพกเกมไปด้วย แค่นั้นผมก็รู้สึกสบายใจแล้ว กอล์ฟเป็นกีฬาที่ผมเล่นจริงจังที่สุด เหมือนพี่เกรท (วรินทร ปัญหกาญจน์) ชอบเตะบอล พี่ณเดชน์ (คูกิมิยะ) ชอบยกเวท เราก็จะตีกอล์ฟ แต่ไม่คิดเป็นโปร แต่อยากเก่งแบบโปร เพราะเราไม่มีเวลาไปแข่ง เพราะการเป็นนักกีฬาอาชีพ มันต้องทุ่มเทมันเหมือนการถ่ายละคร ที่ต้องไปถ่ายทุกวัน นักกีฬาก็ต้องซ้อมทุกวัน ซึ่งเราทำไม่ได้ขนาดนั้น ถามว่าเป็นกีฬาลงทุนสูงไหม ก็ไม่นะ ผมว่าลงทุนไม่สูงเท่าดำน้ำ ดำน้ำสูงกว่า
@ มีสิ่งไหนที่ฝันไว้แล้วยังอยากทำอยู่
ตอนนี้ ผมคิดแค่อยากเล่นละครเล่นหนังไปเรื่อยๆ อยากเล่นหนังแอ็กชั่นบ้าง อยากบู๊บ้าง คือมันก็เป็นความฝันแบบเด็กๆ ได้เล่นก็โอเค แต่ถ้าไม่ได้ ก็ไม่เป็นไร เป้าหมายตอนนี้แค่เรียนปริญญาโทให้จบ และทำงานให้ดีที่สุด ส่วนอนาคตจะเป็นอย่างไร เราก็แค่รอจังหวะที่จะเข้ามาในอนาคต แต่ผมไม่คิดเรียนจบดอกเตอร์ ทุกวันนี้ผมเรียนการท่องเที่ยว เราก็ชอบประมาณหนึ่งเป็นความรู้ เรียนไปเพื่อบอกต่อคนอื่นได้หรือเรียนไปใช้ในงานละครก็ได้ อย่างเรียนการโรงแรมมาตอนช่วงป.ตรี ก็นำมาใช้ได้ในละคร “สายธารหัวใจ” เพราะเรื่องนี้เราต้องบริหารโรงแรม ผมมองว่ามันเป็นความรู้รอบตัว
@ เรียกว่า 2 ปีที่ผ่านมาเป็น 2 ปีทองของเจมส์ เพราะงานค่อนข้างแน่น
ดีใจ ต้องขอบคุณทุกคนที่สนับสนุน คือทุกปีที่ผ่านมา เป็นปีที่ดีในเรื่องของงาน ไม่มีปีไหน ที่เรารู้สึกว่าเป็นปีไม่ดีเลย ในมุมมองของผมนะ เพราะตั้งแต่ละครเรื่องคุณชายรณพีร์ จนมาเรื่องข้าบดินทร์ ต่อด้วยละครเรื่องเพียงชายคนนี้ไม่ใช่ผู้วิเศษ ส่วนปีนี้ก็ได้ถ่ายละครทั้ง 2 เรื่อง และมีงานภาพยนตร์ ผมสามารถทำงานได้เต็มที่ขึ้น ก็ต้องขอบคุณและดีใจกับโอกาสที่ได้รับ
@ เล่นละครมานางเอกไม่ค่อยซ้ำเลย
ใช่แล้ว มีมิ้นต์ ชาลิดา คนเดียวที่เล่นด้วยกัน 2 เรื่อง พอได้มาแสดงร่วมกันในเรื่องที่ 2 การทำงานก็ง่ายขึ้น คือรู้จังหวะ รู้สไตล์เขาได้ง่ายขึ้น คือเราเป็นเพื่อนที่สนิทกันมากขึ้น ได้เจอกันได้คุยกันมากขึ้น คือเรื่องแรกเราอาจจะเกร็งๆ กัน ในเรื่องนี้ (สายธารหัวใจ) เราก็ได้พูดคุยได้รู้จักกันมากขึ้น ทำให้ตัวละครที่เล่นคู่กันมันใช่กันมากขึ้น ก็เป็นอะไรที่คนดูน่าจะชอบ
@ คนมองเป็นพระเอกเคมีสาธารณะเพราะเข้ากับนางเอกได้แทบทุกคน
ถ้าเป็นอย่างนั้นจะดีมาก (หัวงเราะ) ผมเชื่อว่าบางเรื่อง มันอาจจะไม่ถูกใจคนดูเท่าเรื่องอื่น เราก็ต้องยอมรับ ผมมองว่ามันเป็นมุมมองของคนดู
** สิ่งที่อยากทำในอนาคต**
@ มีนักแสดงคนไนที่เราอยากเล่นบ้าง
ก็มีนะจริงๆ ในช่อง 3 ก็มีใครหลายคนที่ผมอยากแสดงด้วย เอาเป็นคนใกล้ตัว ก็พี่ญาญ่า (อุรัสยา เสปอร์บันด์) พี่แอน (แอน ทองประสม) จริงๆ แสดงกับใครก็ได้นะ เพราะการแสดงกับนางเอกหลายๆ ท่านทำให้ผมได้เรียนรู้อะไรหลายๆ อย่างจากการทำงาน ยกตัวอย่างอึนจอง เราก็ไม่เคยคิดว่าจะได้แสดงร่วมกับเขา พอได้เจอเราก็ได้เรียนรู้ เรื่องความขยัน วิธีในการทำงาน ยิ่งได้เห็นมากขึ้นก็ทำให้เรารู้มากขึ้น ได้รู้มากขึ้นก็ทำให้เราพัฒนามากขึ้น
@ คิดว่าเราพัฒนาจากจุดแรกมามากน้อยแค่ไหน
ผมทำงานมาแล้ว 3-4 ปี ตอนนี้การทำงานก็ค่อยๆ ไต่ขึ้นไปเรื่อยๆ ส่วนเรื่องงานละคร ผมไม่เคยให้เต็มร้อย เพราะรู้สึกทุกเรื่องคือการเริ่มงานใหม่ พอเริ่มใหม่ก็เริ่มจากศูนย์ใหม่ มันก็เลยไม่มีอะไรเป็นตัววัด ถ้าพูดถึงความชอบของคนดู ในแต่ละเรื่องนั้น มีไม่เหมือนกัน ผู้ใหญ่อาจชอบข้าบดินทร์ วัยรุ่นอาจจะชอบเพียงชายฯ มากว่า ส่วนผมชอบหนังแอ็กชั่น ส่วนละครที่เล่นมา ผมชอบคุณชายรณพีร์ เพราะว่าได้ขับรถ แต่ปีนี้มันโอเคนะ เพราะผมได้เล่นแอ็กชั่นสลับดราม่า ถ้ามีโอกาสก็อยากเล่นคอมเมดี้บ้าง และจะทำให้ดีที่สุด
@ ฝากอะไรถึงภาพยนตร์เรื่องแรกบ้าง
หนังเรื่องนี้ ให้ความรู้สึกดีๆ กับคนดู เพราะว่าเป็นหนังที่โชว์คนสองขั้ว ที่ไม่มีทางได้รู้จักกัน แต่วันหนึ่งมาเจอกัน แล้วเกิดความรัก ใครคิดว่าตัวเองเป็นคนเหงาเป็นคนที่ไม่มีคู่ ก็อยากให้มาดูเรื่องนี้ คุณอาจจะมีความหวัง และอาจจะเจอแฟนในวันรุ่งขึ้นก็ได้
..........................................
เขาคนนี้ชื่อ เจมส์ อัศรัสกร ชื่อในวงการ เจมส์ มาร์
เกิดวันที่ 3 กรกฎาคม พ.ศ.2536
การศึกษา ปัจจุบันกำลังศึกษาระดับปริญญาโท คณะบริหารธุรกิจ สาขาการจัดการการท่องเที่ยว มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ
ผลงานที่ผ่าน “คุณชายรณพีร์” ข้าบดินทร์ เพียงชายคนนี้ไม่ใช่ผู้วิเศษ
ผลงานตอนนี้ ภาพยนตร์เรื่อง "MIND MEMORY 1.44 พื้นที่รัก" ผลงานละครเรื่อง อาคม สายธารหัวใจ ชาติเสือพันธ์ุมังกร ดวงใจในไฟหนาว