“ลูดี้ หลิน”นักแสดงสายเลือดใหม่รับบทนำ“POWER RANGERS (2017) | คมชัดลึก

          หลังจากที่เคยฝากผลงานบทตัวร้าย ในหนังจีนแฟนตาซีฟอร์มยักษ์ ทำเงินเรื่อง “Monster Hunt” และร่วมแสดงซีรีส์ “Marco Polo” ทางช่องเน็ทฟลิกซ์ ล่าสุดนักแสดงดาวรุ่งพุ่งแรงอย่าง ลูดี้ หลิน ลูกครึ่งจีน-แคนาดาก็กำลังมีผลงานภาพยนตร์เรื่องใหม่ โดยมารับบทเป็นแซค หรือแบล็คเรนเจอร์ ในภาพยนตร์เรื่อง “POWER RANGERS (2017)” ภาพยนตร์ที่บอกเล่าเรื่องราวของกลุ่มของนักเรียนธรรมดาในไฮสคูล ค้นพบว่าเมืองแองเจิล โกรฟ ที่พวกเขาอาศัยอยู่นั้น กำลังถูกคุกคามด้วยภัยร้ายจากต่างดาว ซึ่งการรุกรานครั้งนี้ อาจนำไปสู่การล่มสลายของโลกและมวลมนุษยชาติ ในเวลาต่อมาพวกเขากลายเป็นผู้ถูกเลือกจากโชคชะตา กลายเป็นเพียงคนกลุ่มเดียวที่จะช่วยโลกนี้ไว้ได้ ในนามของขบวนการ Power Rangers โดยเขาได้ให้สัมภาษณ์ถึงการมาแสดงในภาพยนตร์เรื่องนี้ว่า

@ คุณเข้ามาร่วมโปรเจกท์นี้ได้อย่างไร
          ผมได้งานนี้เพราะเพื่อน และผู้จัดการผมเลย คือตอนนั้น ผมกำลังถ่ายเรื่อง Marco polo อยู่ ซึ่งใกล้กับที่สิงคโปร์ ผมนั่งอยู่ในร้านกาแฟแล้วผู้จัดการก็บอกว่า “นายต้องไปออดิชั่นเรื่องนี้ คืนนี้” เราก็เลยไปที่สถานีโทรทัศน์ในสิงคโปร์ แล้วก็ออดิชั่นผ่านมือถือ หลังจากที่ส่งเทปไป สองสัปดาห์ต่อมา ก็ได้ยินมาว่าผู้กำกับสนใจ ก็เลยได้คุยกับผู้กำกับผ่านทางสไกป์ ก็เลยออดิชั่นผ่านสไกป์ กลายเป็นผมก็ได้งาน โดยที่ยังไม่ได้เห็นผู้กำกับตัวเป็นๆ ด้วยซ้ำ (หัวเราะ) ในฐานะนักแสดงหลายครั้งที่ออดิชั่นไปก็ไม่ได้บท แต่ถ้ามันได้พอดีกับตัวคุณยังไงมันก็ได้

@ บทที่ได้รับในเรื่องนี้เป็นอย่างไร
          ผมเล่นเป็น แซค คือ Black Ranger ผมชอบตัวละครนี้มากนะ ผมเข้าใจความรู้สึกความเป็นแซค เขาเป็นวัยรุ่นที่กำลังจะเติบโตเป็นผู้ใหญ่ ตัวผมเอง มีหลายอย่างเหมือนแซค คือเป็นเด็กซน ชอบผจญภัย เป็นพวกเสพติดอะดรีนาลีน ทำให้เขารู้สึกตัวเองแตกต่างกว่าคนอื่น คุณจะได้เห็นว่าตอนแรกของเรื่องแซคจะเป็นพวกสันโดษเข้ากับใครไม่ได้ เขาเลยต้องทำอะไรบ้าคลั่งเพื่อให้เขาตื่นเต้นอยู่เสมอ เพื่อปิดบังความเปราะบางข้างใน ภายนอกจะพยายามให้ดูเหมือนว่าแข็งแกร่ง แต่จริงๆ แล้วข้างใน มีประเด็นที่ต้องแอบซ่อนเอาไว้ พอเขาได้เจอคนที่มีปัญหาเหมือนกัน เขาเลยเริ่มเปิดใจ เลยได้รับในมิตรภาพนี้ มิตรภาพนี้แหละที่ทำให้เขาได้รับความกล้าหาญแล้วก็ได้พลังที่จะได้ทำอะไรเพื่อคนอื่น ได้ทำอะไรที่ต่างออกไป

 

 

@ ได้ข่าวว่าตอนคุณมาไทย คุณได้ฝึกมวยไทยด้วย คุณเอามาประยุกต์ใช้ในการแสดงอย่างไร
          จริงๆ แล้วมวยไทย เป็นตัวจุดประกายให้ผมเรียนศิลปะป้องกันตัวเลยล่ะ ผมเคยมาอยู่ที่เชียงใหม่ 1 ปี หลังจากเรียนจบมหาวิทยาลัย เพื่อที่จะมาฝึกมวยไทย หลังจากนั้นก็ได้เรียนกีฬาคาโปเอร่า พอผมเรียนไปเรื่อยๆ ผมเริ่มรู้สึกว่าศิลปะป้องกันตัวจริงๆ แล้วเป็นวิธีการสื่อสารแขนงหนึ่ง และก็เหมือนการเต้น ถ้าจังหวะมันถูก หรือจังหวะมันได้ ก็จะไปด้วยกันได้ ถ้าเกิดจังหวะผิดพลาด โดนชกหน้าขึ้นมามันก็เจ็บ ส่วนการนำไปปรับใช้กับการแสดงนั้น ผมปรึกษากับผู้กำกับว่าทำยังไงถึงจะปรับเทคนิคของผมให้เข้ากับตัวละครได้ เขาบอกว่าอยากจะให้ดูผจญภัยแล้วก็ดูมีพละกำลังมากที่สุด เขาก็เลยใส่พวกกายกรรม หรืออะไรทำนองนี้เข้าไปด้วยในการดีไซน์ตัวคาแรกเตอร์

@ Power Rangers เวอร์ชั่นนี้จะแตกต่างกับฉบับก่อนๆ อย่างไรบ้าง
          เมื่อเป็นการรีเมก ทุกอย่างจะทันสมัยมากขึ้น เราพยายามทำให้เวอร์ชั่นนี้ มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว เรื่องนี้คือการเดินทางเหมือนทุกคนกลายมาเป็นฮีโร่ได้ยังไง รับรองเลยว่าเนื้อเรื่องส่วนนี้จะทำให้หนังสนุกแน่นอน แต่อย่างไรก็ตามเสน่ห์ของความเป็น Power rangers ยังอยู่ครบถ้วน สิ่งที่ทำให้ขบวนการ 5 สีต่างออกไปจากฮีโร่คนอื่นๆ ก็คือว่า เขาทำงานเป็นทีม ผมจำได้ว่ามีแฟนๆ มาพูดกับผมว่า “รัก power ranger มากเลย เพราะว่า power ranger ได้ช่วยโลกกับเพื่อน” คือช่วยโลกเฉยๆ ก็ดีอยู่แล้ว แต่การได้ช่วยโลกกับเพื่อนจะดีขนาดไหน

@ แล้วตัวคุณเองให้ความสำคัญกับคำว่า “ทีมเวิร์ก” ในการทำงานมากแค่ไหน
          สำหรับผมแล้ว ทีมเวิร์กเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด เพราะมนุษย์เป็นสัตว์สังคม คุณต้องมีครอบครัว ต้องมีเพื่อน คนเราไม่ควรอยู่คนเดียว ยกตัวอย่างเด็ก ถ้าเราทิ้งไว้เด็กก็ตาย ดังนั้นเป็นเรื่องสำคัญมากเลย ที่ต้องมีคนอื่นมาแชร์ความรู้สึกร่วมกัน อย่างตัวผม ผมไม่สามารถมาแสดงหนังเรื่องนี้ได้เลย ถ้าไม่มีเพื่อนบอกเราว่า เรื่องนี้เปิดออดิชั่น หรือผู้จัดการผมที่หาสถานที่ถ่ายคลิปออดิชั่นให้ ถ้าไม่มีผู้กำกับไม่มีทีมนักแสดงก็ไม่มีภาพยนตร์เรื่องนี้ ผมเองคงไม่มาอยู่จุดนี้ด้วยซ้ำถ้าปราศจากทีมคอยสนับสนุนผม

 

 

@ อีกสิ่งหนึ่งที่แฟนๆ เฝ้ารอจะได้เห็น คือหุ่นซอร์ดไดโนเสาร์ คุณช่วยพูดอะไรถึงมันหน่อยได้ไหม
          ผมไม่รู้จะบรรยายยังไง คือยิ่งใหญ่อลังการมาก ผมเห็นครั้งแรกนี่ถึงกับอ้าปากค้างไปเลย ในวันปิดกล้องผมขึ้นไปถ่ายรูปบนหัวหุ่น คุณเชื่อไหมผมมองลงมาสามารถเห็นทีมงานทั้งกองได้เลยครับมันสูงจริงๆ ผมหวังว่าคนดูจะปลื้มมันแบบที่ผมปลื้มมาก