
eat play life/ อาทิตย์ที่ 19 ก.พ. 60
The Salesman ไม่ควรพลาดหนังเรื่องนี้
โดย นันทขว้าง สิรสุนทร
เวลามีใครมาถามว่า คณะกรรมการของ “ลูกโลกทองคำ” ใช้ “เครื่องมือ” ในการเลือกหนังเยี่ยม ในแบบเดียวกันกับคนทำงานส่วนนี้ของ “ตุ๊กตาทองอเมริกัน” เลือกให้ “ออสการ์” ไหม ผมมักจะบอกว่า มันมีความต่างกันอยู่ในระดับหนึ่ง
เหมือนเวลากรรมการลงคะแนน 6-7 พันคน เลือกสาขา “หนังเยี่ยม” กับ "หนังต่างประเทศ" มันก็ไม่เหมือนกันอีก การเลือกอย่างแรก ขึ้นอยู่กับ ทัศนคติ, อารมณ์ของสังคมขณะนั้น, กระแสร่วมสมัย, การนำเสนอตัวเองของ product ก่อนการประกาศรางวัล
ขณะที่สาขาหนังต่างประเทศ... เวลาเรื่องใดเป็นตัวเต็ง มันมีการพลิกล็อกน้อยมาก (แต่ทุกเรื่องที่เข้าชิง มักดีหมด)
“ถ้า” เราเอาสมมุติฐานข้างต้นนี้เข้าไปจับ The Salesman ของ อัสการ์ ฟาร์ฮาดี โอกาสที่หนังอิหร่านจะชนะสาขาหนังต่างประเทศ มีมากกว่า 90% (เพราะมันไม่เกี่ยวกับสูตร 91% กรรมการออสการ์เป็น “ผิวขาว”, 73% เป็น “ผู้ชาย” และ 63 ปี คืออายุ “เฉลี่ย” ของคนลงคะแนนปีนี้, อ้างอิงจากนิตยสาร GQ ของเดือนมีนาคม
อัสการ์ ฟาร์ฮาดี เป็นจอมยุทธ์คนหนึ่งของวงการหนังอิหร่าน งานของเขาทุกเรื่อง ได้รางวัล 100% จะได้ที่เวทีไหนนั้นอีกเรื่องหนึ่ง โดยมี A Seperation(2011) เป็นสุดยอดโปรไฟล์กวาด 70 รางวัลทั่วโลก
โดยหลักๆ จุดร่วมในหนังของเขามักพูดเรื่องประเด็นของครอบครัว และความสัมพันธ์ของชนชั้นกลางยุคใหม่ เน้นที่ “บท” และ “การแสดง” มากกว่าโปรดักชั่นดีไซน์
เอมัด (ซาฮาบ ฮอสเซบี) กับรานา (ทาเรเนห์ อลิดูสตี) เป็นสามีภรรยาในสังคมยุคใหม่ พอห้องหับของเขาและทุกคนได้รับผลกระทบจาก “แผ่นดินไหว” ทั้งสองคนจึงต้องหาที่อยู่ใหม่ และเขากับเธอก็ไม่รู้เลยว่า “ห้องหับใหม่” ที่ไปเช่าอยู่ เคยเป็นพื้นที่มั่วผู้ชายของสาวเจ้าของห้องคนเก่า...
แล้วมันจะเป็นอย่างไรเล่า... ถ้าวันหนึ่ง “บรรดาตัวผู้” มาที่ห้องนี้อีก โดยไม่รู้ว่าคนเก่าสาวมั่ว ย้ายออกไปแล้ว
เรื่องราวที่อยู่หลังจากนี้ ไม่สมควรเล่าด้วยประการทั้งปวง แต่ควรปล่อยให้ทุกคนไปสัมผัสเอาเอง เพราะข้อดีหลายอย่างในหนังเรื่องนี้ สิ่งหนึ่งของ The Salesman ก็เหมือนกับ A Seperation นั่นคือ มันเปิดกว้างให้คนดู “เลือก” คำตอบกันเอาเอง หมายความว่า เมื่อคุณอายุยังน้อยและเป็นผู้หญิง ก็เลือกคำตอบแบบหนึ่ง และแม้ว่าเราเป็นผู้ชาย “วันเดียวกับตัวละคร” เราก็เลือก คำตอบแตกต่างกันไป
เพราะเราถูก “ครอบคลุม” ด้วยทัศนคติ ความเชื่อ คนละสังคมกัน
สำหรับใครก็ตามที่คลุกคลีกับวัฒนธรรมสังคมวรรณกรรมศิลปะอะไรมาบ้าง เราก็คง “สะกิดตัวเอง” อยู่ในทีว่า ชื่อหนังคงต้องเกี่ยวข้องกับบทละครคลาสสิกในปี 1949ของ อาเธอร์ มิลเลอร์ อย่าง Death of a Salesman
หรือชื่อคุ้นๆ อย่าง “อวสานของเซลส์แมน” (ในบ้านเรา เรื่องนี้ดังมาก ตอน พิศาล อัครเศรณี เอามาทำเป็นละครทีวี โดยมี ศรัณยู วงศ์กระจ่าง และ พงษ์พัฒน์ วชิรบรรจง นำแสดง, แต่ก่อนหน้านั้น มันเคยถูกนำมาแสดงอย่างโด่งดังในปี 1970 ที่ม.ธรรมศาสตร์ โดย Gary Carkin ที่เป็นยุคแรกๆ ของกลุ่ม “พระจันทร์เสี้ยว”
ผู้กำกับ อัสการ์ คงชื่นชอบบทละคร Death of a Salesman มาก เขาจึง “ย้ายร่าง” ของ วิลลี โลแมน เซลส์แมนขายวิญญาณและศักดิ์ศรีของ มิลเลอร์ มาอยู่ในร่างคนถึงสองคน ในหนัง The Salesman
คนแรกคือ เอมัด เอง ที่แม้โดยอาชีพจริงๆ จะเป็นครูสอนหนังสือ แต่เขามีจ๊อบพิเศษคือการเล่นละครเวทีกับเพื่อนๆ และภรรยา ที่ตลกคือ เขาเล่นเป็น วิลลี ใน Death of a Salesman นั่นแหละ นั่นหมายความว่า เอมัด จึง “เข้าๆออกๆ” กับ “ชีวิตจริง” และ “ชีวิตร่างทรง” ระหว่างงานจริงกับงานพิเศษ
หรือนัยหนึ่ง, ความเหน็ดเหนื่อยในชีวิตจริง อาจพูดบำบัดเยียวยาด้วยชีวิตการแสดง...
โดย “ลักษณะสำคัญ” ของตัวละครอย่าง วิลลี โลแมน ที่ อาเธอร์ มิลเลอร์ เสกสรรปั้นแต่งขึ้นนั้น (จนได้รางวัลพูลิตเซอร์ และโทนี อวอร์ดส์) ก็คือ แม้เซลส์แมนจนๆ อย่าง วิลลี จะขายวิญญาณ ยอมเสียศักดิ์ศรี วิ่งหาลูกค้าแค่ไหน แต่ในท้ายที่สุด... เขาเลือกฆ่าตัวตายเพื่อ “กอบกู้” ศักดิ์ศรีตัวเอง จากลูกและภรรยา...
“ชั้นเชิง” ของหนังนี้ ถูกวางสลับทับซ้อนอย่างคมคายเข้าไปอีก เมื่อ คนเล่นเป็น “เซลส์แมน” ในละครเวที ต้องมาเจอและรู้จักกับ “เซลส์แมน” ในขีวิตจริงๆ ที่ดูจะไม่มีศักดิ์ศรีอะไรเอาเสียเลย ไม่เหมือนที่เขาแสดง และไม่เหมือนที่ อาเธอร์ มิลเลอร์ เขียนไว้ในปี 1949
The Salesman ไม่แข็งแรงทุกส่วนแบบ A Separation แต่ก็ต้องยอมรับว่า มันมีข้อดีหลายๆส่วนที่ยังทำให้หนังเรื่องนี้อยู่ในระดับ “ยอดเยี่ยม” ไม่ว่าจะเป็นการแสดง การคุมบรรยากาศของหนัง แม้แต่ฉากหลังที่หนังไม่เน้นมาก ก็ยังมีลักษณะพื้นที่คับแคบ ห้องหับลับตา... สะท้อนนัยของความกดดันบีบเค้น และการลับทางจิตใจต่อกัน
แต่ดีที่สุดของ The Salesman คือ “บทหนัง” ที่สมบูรณ์มาก
เป็นร่างทรงของหนังกับบทละคร แต่ถูก “ครอบไว้” ด้วย Tragic
ไม่ว่าใครจะรอดไม่รอด ไม่ว่าแผ่นดินไหวกับการเสียศักดิ์ศรีมนุษย์ อะไรจะเลวร้ายกว่ากัน... แต่ดูเหมือนทุกวันนี้ ใครหลายคนต่างต้องเป็น “เซลส์แมน” กันไปหมด
และ - แบกรับ “ความเสียหายทางจิตใจ” อย่างแสนสาหัส กันถ้วนหน้า..