
นักแสดง 3 วัย บทเดียวกันในภาพยนตร์เรื่อง “Moonlight”
อเล็กซ์ ฮิบเบิร์ต แอชตัน แซนเดอร์ส และ เทรวานเต้ โรดส์ นักแสดง 3 วัย บทเดียวกันในภาพยนตร์เรื่อง “Moonlight”
ในหนังเต็งรางวัลออสการ์ประจำปีนี้ ภาพยนตร์เรื่อง “Moonlight” ผลงานการกำกับโดย แบร์รี่ เจนกิ้นส์ เล่าเรื่องของชายหนุ่มผิวดำคนหนึ่งชื่อว่า ไชรอน ตั้งแต่เด็กจนกระทั่งตอนโต โดยใช้นักแสดง 3 คนมารับบทเดียวกัน ใน 3 ช่วงวัย คือ อเล็กซ์ ฮิบเบิร์ต แอชตัน แซนเดอร์ส และ เทรวานเต้ โรดส์ ซึ่งตลอดการถ่ายทำ พระเอกทั้ง 3 คนไม่เคยเจอหน้าหรือพูดคุยกันเลย ครั้งแรกที่เขาเจอกัน คือตอนฉายรอบปฐมทัศน์ที่เทศกาลหนังโตรอนโต อะไรคือสิ่งที่ทำให้ทั้ง 3 คนมาเล่นบทเดียวกันได้อย่างกลมกลืน เรามาลองคุยกับพวกเขาดู
@ พวกคุณรับบท ไชรอน ในช่วงเวลาไหนกันบ้าง
ฮิบเบิร์ต : ผมรับบทเป็น ไชรอน ตอนเด็ก ซึ่งใครๆ เรียกเขาว่า ลิตเติ้ล ไม่มีใครเรียกเขาด้วยชื่อจริง นอกจากแม่ของเขา หนังเรื่องนี้เป็นหนังเรื่องแรกของผม ผมอายุ 12 ปี
แซนเดอร์ส : ผมเล่นเป็น ไชรอน ช่วงวัยรุ่นเรียนไฮสคูล แต่ผมอายุ 20 แล้ว ก่อนหน้านี้ผมเคยเล่นหนังมา 2-3 เรื่องครับ แต่ Moonlight ถือเป็นงานที่เป็นชิ้นเป็นอันที่สุด และสำคัญกับตัวผมมากๆ
โรดส์ : ผมเล่นเป็น ไชรอน ตอนเป็นผู้ใหญ่ อายุใกล้เคียงกับบท คือ 26 ปี เป็นคนที่ภายนอกดูเข้มแข็ง อันที่จริงผมมาทดสอบบทเป็น เควิน (เพื่อนสนิทของไชรอน) นะ แต่กลายเป็นว่า พวกเขาอยากให้ผมเล่นเป็นไชรอนซะงั้น
@ มีส่วนไหนยากสำหรับพวกคุณไหม ตอนที่รู้ว่าต้องมาเล่นบทนี้แน่ๆ แล้ว
ฮิบเบิร์ต : ตอนแรกผมมัวแต่ดีใจ เพราะเป็นหนังเรื่องแรกของผม ตอนผมอ่านบท ผมไม่ค่อยเข้าใจเลยว่า ทำไมไชรอนตอนวัยรุ่นและตอนโตถึงทำแบบนั้น แล้วเกย์คืออะไร แม่ผมบอกว่า โตขึ้นผมก็จะค่อยๆ เรียนรู้ได้เอง ผมเล่นเฉพาะตอนไชรอนเป็นเด็ก เพราะฉะนั้นผมไม่จำเป็นต้องเข้าใจไชรอน ตอนเป็นผู้ใหญ่หรอก
แซนเดอร์ส : มันมีทั้งส่วนที่ผมตื่นเต้น และส่วนที่ผมรู้สึกว่าท้าทาย ไชรอนมีอะไรเหมือนๆ กับผม ผมเป็นคนตัวเล็ก ตัวผอม และโดนเพื่อนที่โรงเรียนแกล้งเป็นประจำ ผมเป็นเด็กหงิมๆ อย่างนั้นเลยครับ ผมเลยเข้าใจเขามาก ว่าเขากำลังเจอกับอะไร นอกจากนั้น ผมมีแม่ที่ติดยา ผมเครียดตลอดเวลาตอนเป็นวัยรุ่น ผมเคยเข้ารับการบำบัดนานถึง 7 เดือน ทว่ามันกลับไม่ช่วยอะไรผมเลย แต่การมาถ่ายหนังเรื่องนี้เพียง 2 สัปดาห์ มันกลับให้ผมหลุดพ้นจากความเครียด การเล่นหนังเรื่องนี้ เป็นเหมือนการบำบัดจิตใจผมอีกทางหนึ่งครับ
@ ตอนถ่ายทำ แบร์รี่ เจนกิ้นส์ (ผู้กำกับ) ไม่ให้พวกคุณคุยกันเลยเหรอ
แซนเดอร์ส : ใช่ครับ เราเจอกันก็ตอนเทศกาลหนังโตรอนโตเลย
โรดส์ : มันเป็นกลยุทธ์ของเขา ปล่อยให้พวกเขาตีความตัวละครตามความเข้าใจของเรา เขาคิดว่า คนเราแต่ละช่วงวัยนั้นไม่เหมือนกันอยู่แล้ว เพราะเราต่างต้องเจอประสบการณ์ที่หล่อหลอมให้เราเปลี่ยนไปตลอดเวลา
@ เขาอนุญาตให้คุณอ่านบททั้งเรื่องหรือเปล่า หรืออ่านแค่เฉพาะของตัวเอง
แซนเดอร์ส : อ่านทั้งเรื่องครับ แต่โฟกัสไปแค่ในส่วนของตัวเอง ไม่ต้องคิดว่าอนาคตจะต้องเจออะไร
@ ฮิบเบิร์ต นี่เป็นหนังเรื่องแรกเลยนะ ยากไหมกับการแสดง
ฮิบเบิร์ต : มันยาก เพราะว่าบทพูดน้อยมากครับ ไชรอนตอนเด็กเป็นคนไม่พูด แล้วเวลาไม่พูด หน้าผมจะเฉยและนิ่งมาก ผมแสดงสีหน้าไม่ออก แบร์รี่ (ผู้กำกับ) บอกกับผมว่า แค่รู้สึกไปกับบท แค่คิดไปกับบท หลังจากนั้น ทุกอย่างก็ออกมาแบบไม่รู้ตัว
@ โรดส์ คุณเล่นเป็นไชรอนตอนโต แต่คุณต้องแสดงด้านที่อ่อนไหวออกมาเยอะเหมือนกัน ทั้งๆ ที่หุ่นคุณกำยำเสียขนาดนั้น
โรดส์ : ผมถึงว่ามันท้าทาย อันที่จริง ถึงภายนอกผมจะดูแข็งแกร่ง ผมก็เป็นคนที่โรแมนติกสุดๆ ไปเลยล่ะ ผมคล้ายไชรอนตรงที่ผมโตมากับแม่ และไม่เคยอยู่กับพ่อเลย ที่บ้านผมก็ไม่ร่ำรวย ผมต้องพยายามฝึกกีฬาเพื่อจะได้ทุนเรียนฟรี ชีวิตต้องดิ้นรนเหมือนๆ กัน
@ แซนเดอร์ส คุณต้องมาเล่นบทที่คล้ายกับตัวคุณเองมากๆ คุณเครียดไหม
แซนเดอร์ส : มากครับ เหมือนภาพเก่าๆ มันฉายซ้ำ และบทของไชรอนตอนวัยรุ่น ก็ค่อนข้างหนักหน่วง บางฉากทำเอาผมเครียดมากๆ เลย แต่เมื่อได้เล่นและลองปลดปล่อยอารมณ์ออกมา มันก็โล่ง
@ ตอนพวกคุณเจอกันครั้งแรก พวกคุณรู้สึกอย่างไร
โรดส์ : เราเข้ากันได้ดีนะ แต่ตอนยังไม่ดูหนัง ผมก็นึกไม่ออกว่า เฮ้ย เราเล่นบทเดียวกันจริงๆ เหรอ
ฮิบเบิร์ต : ผมมองดูแซนเดอร์ส แล้วก็คิดว่า ผมจะต้องโตมาเป็นคนรูปร่างแบบนี้หรอกเหรอ (หัวเราะ)
แซนเดอร์ส : แต่หลังจากได้ดูหนังแล้ว ผมว่าทุกคนน่าจะประหลาดใจ ที่พวกเรามีส่วนคล้ายกันมาก โดยเฉพาะบุคลิก ท่าทางการแสดงออก ผมไม่รู้ว่าแบร์รี่กำกับพวกเราอย่างไร พวกเราถึงได้ออกมาดูเป็นคนเดียวกันขนาดนั้น
@ ตอนนี้พวกคุณก็ถือว่าเป็นนักแสดงอาชีพกันแล้ว
ฮิบเบิร์ต : ไม่รู้สิครับ ผมยังเด็ก ก็อาจจะเป็นนักแสดงต่อไป เพราะผมเห็นตัวเองบนจอใหญ่แล้วรู้สึกดีชะมัด
แซนเดอร์ส : ผมตัดสินใจดร็อปเรียน เพื่อมาเป็นนักแสดง ตอนแรกผมยังทำใจไม่ได้ที่ต้องหยุดเรียน แต่หลังจากตระเวนทัวร์โปรโมท Moonlight ผมก็เริ่มทำใจได้บ้างแล้ว เพราะเสียงตอบรับมันดีมาก
โรดส์ : ผมอยากให้หนังเรื่องนี้มันเปลี่ยนแปลงอะไรในสังคมบ้าง หนังมันพูดถึงความรัก นั่นคือสิ่งที่คนเราควรจะรักษาและมอบไว้ให้แก่กันมากๆ
ติดตามการแสดงที่จับหัวใจผู้ชมได้อยู่หมัดของทั้ง 3 คนได้ใน Moonlight ฉายเมืองไทยแน่นอน 9 กุมภาพันธ์นี้เป็นต้นไป จัดจำหน่ายโดยมงคลเมเจอร์