‘จูน’ ปลื้มได้ลูกสาวคนที่4 'เปิ้ล' ทำหมัน

         เมื่อวันที่ 14 พฤศจิกายน เวลา 09.09 น. “จูน” กษมา ภรรยาของพิธีกรชื่อดัง “เปิ้ล” นาคร ศิลาชัย ได้คลอดลูกสาวคนที่ 4 ตั้งชื่อว่า “ออเกรซ” หรือ ด.ญ.ศิรีกร ศิลาชัย น้ำหนักตัว 3,190 กรัมด้วยวิธีผ่าคลอด ต้อนรับวันลอยกระทง โดยน้องออเกรซ ร่างกายสมบูรณ์ ปลอดภัยแข็งแรงดี

         โดยในวันที่ 15 พฤศจิกายน เวลา 13.00 น. ณ ห้องแกรนด์ฮอลล์ชั้น 5 โรงพยาบาลพระราม 9 เปิ้ล พิธีกรชื่อดัง และจูน ภรรยา พร้อม “ออกัส” ด.ญ.ศิศิรา ลูกสาวคนโต “ออก้า” ด.ช.นครา ลูกชายคนที่ 2 “ออกู๊ด” ด.ช.นครินทร์ ลูกชายคนที่ 3 และ “ออเกรซ” ด.ญ.ศิรีกร ลูกสาวคนสุดท้อง ออกมาแถลงข่าวดี พร้อมสีหน้ายิ้มแย้มว่า 

         “ก่อนอื่นต้องขอขอบคุณพี่ๆ สื่อมวลชนที่ให้เกียรติมาในวันซูเปอร์มูนของเรา วันที่น้องออเกรซคลอด ด้วยน้ำหนัก 3,190 กรัม เวลา 09.09 น. โดยวิธีการผ่าคลอด เพราะจูนเขาเคยผ่ามาก่อนแล้ว ซึ่งฤกษ์นี้ คือฤกษ์ที่เราดูเอาไว้กับอาจารย์ที่นับถือ แต่วันผ่าเป็นวันที่คุณหมอกำหนดให้ ซึ่งเราได้มารู้ทีหลังว่าเป็นวันที่ดีมากๆ เลย ก็ขออนุญาตคุณหมอเข้าไปตัดสายสะดือ แต่ว่าคุณแม่เขาจะเป็นคนตัดให้ก่อน และผมจะตัดตรงปลายที่แยกออกมา ก็มีพยาบาลที่เชี่ยวชาญช่วยดูแลทุกขั้นตอน ซึ่งจริงๆ ผมก็ตัดทุกครั้งเลยนะ ส่วนชื่อศิรีกร แปลว่า มือแห่งความมงคล มือผู้สร้างความมงคล เป็นมือที่ดี มือแห่งความยิ่งใหญ่ และเอาจริงๆ ก็คล้องกับคำว่าศิลาชัยด้วย” เปิ้ลกล่าว

         นอกจากนี้พิธีกรชื่อดังยังกล่าวต่อว่า จะขอเป็นคนทำหมันด้วยตัวเอง

         "อย่างที่ผมเคยพูดว่า ยังไงก็ต้องทำหมัน แต่ใจจริงๆ อยากมีลูกอีก อยากมีอีกสัก 10 คน (ยิ้ม) อยากให้มีสิ่งมีชีวิตอย่างเปิ้ลนาครเดินเพ่นพล่านบนโลก แต่ทีนี้พอมาเห็นจูนเขาตั้งท้องลูกแต่ละคน แล้วเขาน่าสงสาร เขาเหนื่อยมาก ผมเลยรู้สึกว่าควรสิ้นสุดดีกว่า ปิดอู่ตระกูล “ออ” ก็ได้ สรุปก็คือทำหมัน ผมยอมเจ็บดีกว่า เพราะจูนเขาเจ็บมาเยอะแล้ว ตอนนี้ศึกษาข้อมูลอยู่ และก็ตั้งใจว่า หลังจากจบการแข่งขันเจ็ตสกีชิงถ้วยพระราชทานคิงส์คัพ ชิงถ้วยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 ใบสุดท้ายของโลก ในต้นเดือนธันวาคม ก็จะตัดสินใจทำหมันทันที

         ถามว่าเตรียมใจขนาดไหน คุณหมอเขาก็คงชำนาญแล้วแหละ ไม่ต้องเตรียมตัวอะไรมาก หลายคนบอกว่ามีลูกมากจะยากจน แต่ผมเลี้ยงลูก 4 คน ไม่เห็นเหนื่อยเลย เพราะผมไม่เคยเลี้ยง คุณแม่เขาจะเป็นคนเลี้ยงมากกว่า (หัวเราะ) หน้าที่ของผมคือเล่น เล่านิทาน และก็หาเงินให้เขา หาเงินให้เขาพอดี เท่าที่เขาจะสามารถอยู่ต่อได้ เลี้ยงให้เขาเป็นเด็กดีกว่า เลี้ยงให้เขาเป็นเด็กอารมณ์ดี เมื่อเขาโตขึ้นเขาจะได้มีเรื่องดีๆ นำไปเล่าต่อไป ทำให้เขาเป็นเด็กที่ดี ส่วนแฟนๆ ก็ตื่นเต้นไปกับเราด้วย เหมือนทุกคนเข้ามาอยู่ในบ้านเราหมดแล้ว บ้านเราเหมือนบ้านสาธารณะ บ้านเราไม่มีความลับกลายเป็นพื้นที่สาธารณะไปหมดแล้ว ทุกคนเป็นเหมือนครอบครัวเดียวกันเลย" เปิ้ลกล่าวอย่างอารมณ์ดี

         ด้าน “จูน” กษมา เปิดเผยว่า สุขภาพของน้องออเกรซแข็งแรงดี ส่วนการผ่าคลอดยังเจ็บเหมือนเดิม

         “สุขภาพน้องก็แข็งแรงปกติ ส่วนคุณแม่ยังเจ็บเหมือนเดิม แค่รู้ขั้นตอนมากกว่าว่าจะต้องเจอกับอะไร เลยทำให้เตรียมตัวมาพร้อม ถามว่าตื่นเต้นไหม เฉยๆ แล้วนะ เป็นลูกๆ มากกว่าที่จะตื่นเต้น ส่วนพี่ๆ อย่าง ออกัส ออก้า เขาก็ยังเห่ออยู่ อยากเห็นน้อง อยากเห็นว่าหน้าตาน้องเป็นยังไง แต่ออกู๊ดยังไม่รู้เรื่องหรอก ส่วนเรื่องทำหมัน เดี๋ยวพี่เปิ้ลจะเป็นฝ่ายทำหมันเดือนหน้า ส่วนของรับขวัญ ไม่มี เราก็ใช้ชีวิตปกตินี่แหละ แค่วางแผนให้เขาดีกว่า วางแผนให้เขาให้ดี ส่วนตัวเราต้องเตรียมรับมือกับลูกๆ แต่ในเมื่อเราอยากมี 4 คน เราก็ต้องทำให้ได้” จูนบอก

         พร้อมกล่าวเสริมต่อว่า ลูกๆ ทั้ง 4 คน มีแฟนคลับติดตามเยอะขึ้นมาก ขอบคุณทุกคนที่เอ็นดูลูกๆ

         “แฟนคลับก็เยอะขึ้น เพราะเขาก็เห็นน้องเป็นเหมือนลูกหลาน เขาช่วยกันตั้งชื่อให้ เขาซื้อขนมซื้อของกินมาฝากหลานๆ ต้องขอบคุณทุกคนมากที่เอ็นดู เอ็นดู 4 ออ ของเรา ถามว่าเรื่องดวงตาของน้องออกู๊ด ที่เพิ่งผ่าตัดแก้โรคเลซีอายส์ไป เป็นอย่างไรบ้าง ดวงตาของน้องออกู๊ดตอนนี้ ก็ถือว่าจบแล้ว หายปกติทุกอย่าง แต่อาจจะต้องไปหาคุณหมอเรื่อยๆ เนื่องจากเขาผ่าตัดมา ดังนั้นจึงจำเป็นต้องการมีเช็กแผล เช็กองศาตา ตอนนี้ก็ถือว่าโล่งแล้ว หมดห่วงทุกอย่างเลย เหลือแค่เลี้ยงเขาอย่างเดียว” จูนกล่าว

         ผู้สื่อถามต่อถึงหนังสือ “ชาตินี้ยังไงกูก็ไม่ยอมบวช” ที่พิธีกรชื่อดัง จัดทำขึ้นแล้วรายได้หลังหักค่าใช้จ่ายจะถวายเป็นพระราชกุศลแด่พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช เปิ้ลกล่าวว่า

         "สำหรับหนังสือก็ตื้นตันใจมาก ขอบคุณทุกๆ คนมาก เพราะอย่างที่ทราบเศรษฐกิจช่วงนี้ก็อาจจะไม่ค่อยดี แต่เล่มนี้พอเปิดจอง หมดเกลี้ยงเลย จนต้องทำออกมาจำหน่ายเพิ่มในร้านสะดวกซื้อทั่วประเทศ และเงินทั้งหมดที่ได้จากการจำหน่ายหนังสือเล่มนี้หลังหักค่าพิมพ์ค่าใช้จ่ายแล้ว จะยกให้วัดเทพศิรินทร์ ตามความประสงค์ของสมเด็จพระธีรญาณมุนี ซึ่งท่านบวชให้แก่ประชาชนเพื่อถวายเป็นพระราชกุศลแด่พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอุลยเดช ฉะนั้นผมจึงตั้งใจมอบเงินที่ได้จากหนังสือเล่มไปใช้กับการบวชทั้งหมด

         ในส่วนของเนื้อหาจะเกี่ยวกับเรื่องราวตอนที่ผมไปบวชที่อินเดีย เพราะก่อนหน้านี้ผมไม่เคยเชื่อเรื่องนี้เลย สงสัยมาตลอดว่ามีพระสงฆ์ไว้ทำไม มองพุทธศาสนาแย่มาก ผมเหมือนตะกวดตัวหนึ่งยังเถียงต่างๆ นานา ไม่เชื่อว่ามีพระพุทธเจ้า จนสุดท้ายได้มีโอกาสคุยกับพระพม่ารูปหนึ่ง ซึ่งเขาก็ได้อธิบายให้ผมฟังด้วยคำคำเดียว ซึ่งคำคำนั้นก็อยู่ในหนังสือเล่มนี้" เปิ้ลกล่าว