บันเทิง

‘อาจารย์ สมเถา’ ผู้จะบรรเลง ‘เพลงสรรเสริญฯ’ ให้กึกก้อง

‘อาจารย์ สมเถา’ ผู้จะบรรเลง ‘เพลงสรรเสริญฯ’ ให้กึกก้อง

21 ต.ค. 2559

สมเถา สุจริตกุล วาทยกรชื่อดัง เผยความรู้สึกในฐานะผู้นำวง "ออเคสตร้า" บรรเลงเพลงสรรเสริญพระบารมี ที่จะมีการบันทึกเป็นมิวสิควิดิโอเปิดในโรงหนัง วันเสาร์ที่ 22 ต.ค

         กิจกรรมร้องเพลงสรรเสริญพระบารมี เพื่อแสดงความอาลัยแด่ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช มหิตลาธิเบศรรามาธิบดี จักรีนฤบดินทร สยามินทราธิราช บรมนาถบพิตร ในวันที่ 22 ตุลาคม เวลา 13.00 น. ร่วมกับวงออเคสตร้าจาก วงดุริยางค์สยามฟิลฮาโมนิคออเคสตร้า (The Siam Philharmonic Orchestra) นำโดย วาทยกร อ.สมเถา สุจริตกุล ณ บริเวณท้องสนามหลวง บันทึกเสียงสดพร้อมถ่ายทำเป็นภาพยนตร์เพลง โดยทีมของ “ท่านมุ้ย” ม.จ.ชาตรีเฉลิม ยุคล เพื่อนำไปฉายในโรงภาพยนตร์ทั่วประเทศ และสถานีโทรทัศน์ต่างๆ 

 

‘อาจารย์ สมเถา’ ผู้จะบรรเลง ‘เพลงสรรเสริญฯ’ ให้กึกก้อง

อ.สมเถา สุจริตกุล

 

         ทั้งนี้ ผู้สื่อข่าวบันเทิงหนังสือพิมพ์ “คม ชัด ลึก” ได้มีโอกาสสัมภาษณ์ อ.สมเถา ถึงที่มาของกิจกรรมดังกล่าว 

         “จุดเริ่มต้นของงาน คือ เมื่อสองวันที่แล้ว (19 ต.ค.) ท่านมุ้ยได้รับชมคลิปวิดีโอจากยูทูบที่มาจากงานนิวเยียร์คอนเสิร์ตทุกปี ที่ผมชวนประชาชนคนดูคอนเสิร์ต มาร่วมร้องเพลงด้วยกัน ซึ่งเป็นไอเดียของผมเองที่อยากจะให้คนที่มาดูดนตรีคลาสสิกไม่ได้แค่มานั่งดูกันเฉยๆ และมีวิดีโอหนึ่งที่คนดูร่วมกันร้องบทเพลงสรรเสริญพระบารมี ซึ่งเป็นคลิปที่มีการเข้ามาชมและถูกแชร์ออกไปเยอะมา จนเมื่อสองวันก่อนก็มีโทรศัพท์สายตรงมาจากท่านมุ้ยว่า จะขอเอาคลิปนี้มาใช้ ซึ่งผมได้อนุญาตแล้ว แต่ปรากฏว่าท่านมุ้ยได้กลับมาคิดอีกครั้งหนึ่ง เพราะว่าคลิปวิดีโอนั่นคุณภาพของภาพและเสียงยังไม่เพียงพอ ท่านเลยคิดว่า ทำไมเราถึงไม่สร้างสิ่งนี้ขึ้นมาใหม่ และใช้โอกาสที่ชาวไทยมารวมอยู่ในสถานที่เดียวกันเพื่อแสดงความรู้สึกที่มีต่อพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช โดยให้วงดุริยางค์มาบรรเลงเพลงสรรเสริญพระบารมี พร้อมกับให้ประชาชนมาร่วมร้องในพื้นที่ที่มันกว้างใหญ่มากขึ้น ณ ท้องสนามหลวง นับว่าเป็นนาทีที่ยิ่งใหญ่มากๆ สำหรับประวัติศาสตร์ของเรา” 

          อ.สมเถา กล่าวต่อว่า  จึงตอบตกลงและยินดีทำ โดยใช้เวลาเรียบเรียงบทเพลง 3 วัน ส่วนปัญหาแรกที่ตามมา คือ ปกติแล้ววงดุริยางค์นั้น จะมีนักดนตรีปรมาณ 70 คน แต่พอตัวเองเริ่มเรียกนักดนตรีที่อยู่ในเครือข่าย กลับมีคนสมัครใจเข้าร่วมงานนี้ถึง 200 คน จะปฏิเสธความตั้งใจเหล่านั้นก็คงลำบาก เพราะทุกคนล้วนแต่เป็นนักดนตรีมืออาชีพ หากเป็นงานปกติก็จะเลือกใช้งานกันตามจำนวนกี่คนก็ว่ากันไป แต่ครั้งนี้ทุกคนพร้อมใจมากันเยอะมาก 

         “สรุปงานนี้มีนักดนตรีในวงดุริยางค์ที่บรรเลงเพลง 200 ชีวิต นับเฉพาะนักดนตรี และในส่วนของบทเพลงสรรเสริญพระบารมีในเวอร์ชั่นนี้มีการเรียบเรียงขึ้นมาใหม่ โดยจะมีทีมนักร้องประสานเสียงร่วมด้วยอีก 350 ชีวิต เป็นผู้ร้องนำประชาชนที่มาร่วมร้องเพลง เพื่ิอให้ท่วงทำนองการร้องเป็นไปในแนวทางเดียวกัน ซึ่งผมคาดเดาไม่ได้ว่าจำนวนประชาชนที่มาร่วมร้องเพลงจะมีมากขนาดไหน เพราะก่อนหน้านี้มีการบอกข่าวออกมาเป็นไวรัลโพสต์ ซึ่งยอมรับเลยว่ามีทั้งความปลาบปลื้ม และความหวาดระแวงว่าจะจัดการอย่างไร เพราะมีทั้งการแชร์วันที่และเวลาผิดออกไปด้วย แต่สุดท้ายได้รับยืนยันตรงกันที่ชัดเจนแล้ว ด้วยอะไรก็แล้วแต่ การจัดงานอาจจะมีอุปสรรคบ้าง แต่ขอให้เชื่อเถอะว่าทุกคนทำด้วยใจจริงๆ และขออภัยคนที่ได้รับวันและเวลาผิดด้วย” อ.สมเถา กล่าว

         ถามว่าสถานที่ในท้องสนามหลวงจะมีการรับมือกับจำนวนคนที่มาร่วมกิจกรรมนี้อย่างไรบ้าง อ.สมเถาอธิบาย เอาไว้ว่า ในส่วนของตนเมื่อวานนี้ (20 ต.ค.) ได้ไปดูสถานที่จริงมาแล้วว่า จะมีการจัดให้วงดุริยางค์อยู่จุดไหน และนักร้องประสานเสียงอยู่ตำแหน่งใด ส่วนประชาชนจะยืนในจุดใด ซึ่งมีการแบ่งเอาไว้เรียบร้อยแล้ว และในเรื่องการถ่ายทำมิวสิกวิดีโอ จะเป็นในส่วนของท่านมุ้ยเป็นผู้จัดการทั้งหมด นอกจากนี้เรื่องจำนวนคนที่จะมาร่วมร้องเพลง 

         “ผมอยากให้คิดตามว่า ในท้องสนามหลวงจะสามารถจุคนได้ทั้งหมดเท่าไหร่ และมีหลายคนบอกว่าอยากจจะผลักดันกิจกรรมนี้ให้ไปอยู่ในบันทึกของ “กินเนสส์บุ๊ก” ด้วย แต่ผมคิดว่าเรื่องปริมาณคนเป็นสิ่งที่ไม่ได้สำคัญมากเท่าไหร่ แต่การที่ทุกคนมารวมตัวกันแล้วมีจุดมุ่งหมายอันเดียวกัน ความรู้สึกข้างในมากกว่าที่สำคัญที่สุด สำหรับการเตรียมงานในส่วนของนักดนตรี ต้องบอกก่อนว่า  นักดนตรีส่วนมากจะเป็นบุคคลที่คุ้นเคยกับเพลงสรรเสริญพระบารมีในเวอร์ชั่นนี้ซะส่วนใหญ่ เราจะซ้อมนักดนตรีในวงช่วงเช้าของวันที่ 22 ตุลาคม เลย ส่วนคนที่จะร้องประสานเสียง เราเริ่มซ้อมกันในคืนวันที่ 21 ตุลาคม  เพราะว่าจะมีผู้คนจากหลายๆ แห่ง รวมถึงชาวต่างชาติที่คุ้นเคย และรับรู้ถึงความรู้สึกของคนไทย ณ เวลานี้ เคยอยู่ในเมืองไทยมานาน เขาจะมาร่วมร้องด้วย ทั้งคนญี่ปุ่นหรือจะเป็นชาวอเมริกันก็มี รวมไปถึงบุคคลที่มาจากทุกภาคส่วนในสังคมจะมารวมตัวกัน” อ.สมเถา กล่าว

         ผู้สื่อข่าวถามต่อว่า กิจกรรมการเล่นดนตรีวงดุริยางค์ขนาดใหญ่ในพื้นที่กลางแจ้ง และมีผู้คนมาร่วมร้องเพลง ถือว่าเป็นครั้งแรกที่จะเกิดขึ้นใช้หรือไม่ อ.สมเถากล่าวว่า ถ้าหากรวมต่างประเทศด้วยอันนี้ไม่แน่ชัด แต่หากนับในเมืองไทย นี่คือครั้งแรก ถามว่า ณ ตอนนี้สัมผัสได้ถึงความตื่นเต้นมากน้อยแค่ไหน เรื่องความตื่นเต้นตอนนี้ยังไม่มีเวลาจะตื่นเต้นเท่าไหร่ แต่หวังว่าภาพที่จะออกมาสู่สายชาวโลกนั้นจะยิ่งใหญ่ และผู้คนที่มาร่วมอยู่ในคลิปนี้ คงจะเป็นภาพประวัติศาสตร์และจดจำไปตราบชั่วชีวิตของเขาเลย ทั้งนี้ที่ผ่านมา อ.สมเถาได้พานักดนตรีชาวไทยไปร่วมสร้างชื่อเสียงมาบนเวทีโลกนับครั้งไม่ถ้วน แต่ในครั้งนี้ ที่จะมาร่วมสร้างสรรค์หน้าประวัติศาสตร์ถวายแด่พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช อ.สมเถากล่าวถึงความภาคภูมิใจว่า  คือความรู้สึกแตกต่างกันออกไป  

 

‘อาจารย์ สมเถา’ ผู้จะบรรเลง ‘เพลงสรรเสริญฯ’ ให้กึกก้อง

ท่านมุ้ย - ม.จ.ชาตรีเฉลิม ยุคล

 

         "ที่ผ่านมาเวลาไปเล่นที่ต่างประเทศ  เหมือนเรานำเรื่องราวความเป็นไทยไปนำเสนอให้คนที่ไม่เคยลิ้มรสในความเป็นไทยมาก่อน แต่ครั้งนี้เราไม่มีอะไรจะต้องบอกหรือทำอะไรเลย เพราะคือสิ่งที่อยู่ในตัวของคนไทยอยู่แล้ว เป็นสิ่งที่มาจากใจของทุกคนที่จะมาร่วมแสดงให้มันเกิดขึ้น สำหรับรายละเอียดของงานวันที่ 22 ตุลาคม เวลาประมาณ 10.00 น. เป็นต้นไป จะมีการซาวนด์เช็กเสียง เตรียมพร้อมทั้งหมดในสถานที่จริง และผมเชื่อว่า หากมีประชาชนอยู่ภายรอบบริเวณนั้น ก็น่าจะได้มาร่วมซักซ้อมกันด้วย และการถ่ายทำน่าจะมีการเล่นเพลงมากกว่าหนึ่งครั้งแน่นอน เพราะว่าต้องถูกตัดต่อออกมาให้สมบูรณ์แบบมากที่สุด ส่วนการมาร่วมทำงานกับทีมงานของท่านมุ้ย ผมเชื่อว่าท่านจะทำทุกอย่างออกมาดีมากที่สุด มีคำจำกัดความว่าเหตุการณ์นี้จะเป็นครั้งประวัติศาสตร์ ผมเชื่อว่าเป็นไปได้ว่าจะเกิดขึ้น เพราะเป็นวันที่มีความหมายสำหรับคนไทย ซึ่งได้ร่วมกันอยู่ในวินาทีนั้นแน่นอน 

         ถามถึงความคาดหวังกับงานที่กำลังจะเกิดขึ้น สำหรับผมสิ่งที่เราทำด้วยใจ และทำเพื่อรับใช้ประชาชนชาวไทย รับใช้ความทรงจำของพวกเราที่มีต่อในหลวง จริงๆ ไม่ได้คาดหวังอะไร แต่ความตั้งใจ ที่ตกลงรับหน้าที่นี้มานั้น คือ ทำด้วยใจ ทุกคนยื่นมือเข้ามาร่วมด้วยช่วยกัน เพื่อให้เกิดงานในวันพรุ่งนี้ ไม่ได้เรียกร้องขออะไรใดๆ ทั้งสิ้น ทุกคนมาทำงานนี้ด้วยหัวใจ ด้วยความรักพระองค์ท่านเพียงอย่างเดียว"

         นอกจากนี้ อ.สมเถา ยังบอกเล่าถึงความทรงจำเกี่ยวกับการปฏิบัติงานถวายพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ร่วมถึงพระบรมวงศานุวงศ์ว่า หากจะบอกว่าสาเหตุที่กลับมาอยู่ที่เมืองไทยเป็นเพราะเพื่อกลับมารับใช้ถวายงานให้พระองค์ท่านก็ว่าได้ ที่ผ่านมาได้ใช้ชีวิตอยู่ต่างประเทศมาโดยตลอด 

         "ย้อนกลับไป คือมีคนเรียกตัวผมกลับมาดัดแปลงบทพระราชนิพนธ์เรื่องพระมหาชนก มาทำเป็นรูปแบบโอเปร่า และจากนั้นผมก็ได้ทำงานถวายราชวงศ์จักรีหลายๆ งานมาก ทั้งมีการแต่งโอเปร่าสำหรับในหลวง การที่ได้กลับมาอยู่เมืองไทย เป็นเหมือนการได้ ที่เราได้รับตัวอย่าง ที่เราได้เห็นจากพระองค์ท่าน เจ้านายในราชวงศ์ทุกพระองค์ ทรงทำให้ชาวไทยได้เห็นถึงการใช้ชีวิตที่อุทิศให้แก่ประชาชนของพระองค์ท่าน ตัวผม ณ ตอนนี้ไม่ได้แสวงหาชื่อเสียง หรืออะไรอีกแล้ว จึงใช้เวลาเพื่อสร้างนักดนตรีคนรุ่นใหม่ขึ้นมา ทำประโยชน์ต่อไปให้แก่ประเทศชาติ ถามถึงหลักคำสอนของพระองค์ท่านที่ผมได้นำมาใช้ในชีวิตคือ ที่ผ่านมาคนต่างชาติมักตั้งคำถามว่า “เหตุใดประชาชนชาวไทยถึงมีความผูกพันกับสถาบันพระมหากษัตริย์มากนัก” และผมมักจะตอบกลับไปว่า 

         "เหตุผลที่คนไทยผูกพันกับในหลวงนั้น คือความรู้สึกที่แข็งแรง ไม่ใช่เพราะว่าในหลวงถูกแต่งตั้งมาให้เป็นเทพเจ้าอย่างที่คนต่างชาติเชื่อว่าเป็นแบบนั้น แต่เป็นเพราะคนไทยทุกคนรู้และทราบดีว่า ในหลวงทรงใช้ชีวิตเมื่อตอนเป็นเด็กอย่างคนธรรมดาสามัญ ท่านไปโรงเรียนเหมือนเด็กทั่วไป และท่านเข้าใจว่าคนธรรมดานั้นใช้ชีวิตอย่างไร ความรู้สึกความผูกพันกับพระองค์ท่านนั้น มันล้นปริ่มอยู่ในใจชาวไทยทุกคนอยู่แล้ว” อ.สมเถา กล่าวทิ้งท้ายด้วยความตื้นตัน