
วิพากษ์ ‘เจ้าแม่นาคี’กับความสำเร็จที่มีผลจาก ‘ความเชื่อ’
วิพากษ์ ‘เจ้าแม่นาคี’กับความสำเร็จที่มีผลจาก ‘ความเชื่อ’ : สกู๊ปบันเทิง
หลายครั้งที่ชีวิตมนุษย์ก้าวผ่านอุปสรรคปัญหาน้อยใหญ่ จนนำไปสู่ความสำเร็จได้ด้วยแรงขับเคลื่อนจากภายใน พลังงานเชิงบวกที่เรียกสั้นๆ ว่า “ความเชื่อ” และความเชื่ออาจเป็นอะไรบางอย่างอันผสมรวมกับความมุ่งมั่น แรงแห่งศรัทธา ต่อสิ่งใดสิ่งหนึ่งอย่างแรงกล้า เสมือนเป็นเครื่องยึดเหนี่ยวให้ไม่ย่อท้อเมื่อล้ม กลายเป็นแรงผลักดันให้ลุกขึ้นมาเริ่มต้นสู้ใหม่อีกครั้ง
เหมือนพลังความเชื่อใน “รัก” ของ “เจ้าแม่นาคี” พญานาคที่ทำผิดกฎสวรรค์ ไปหลงรักกับมนุษย์จนถูกลงโทษ ลดขั้นให้กลายเป็นเพียง “งูใหญ่” เพื่อมาเวียนว่ายตายเกิด บำเพ็ญเพียร 1,000 ปีบนโลกมนุษย์ แต่หัวใจรักของเจ้าแม่นาคีในร่างสาวชาวบ้านชื่อ “คำแก้ว” แห่งหมู่บ้าน “ดอนไม้ป่า” ไม่อาจเปลี่ยนแปลง เจ้าแม่อดทนรอวันแล้ววันเล่า มานานกว่า 999 ปี จนได้มาเจอกับชายผู้เป็นที่รักอย่าง “ทศพล” หรือ “ไชยสิงห์” พร้อมการเผชิญหน้ากับชะตากรรมแหกกฎลิขิตฟ้า
เรื่องราวความรักถูกผนวกรวมกับความเชื่อตามตำนานในพุทธศาสนา ระหว่าง “พญานาค” กับ “มนุษย์” จากละครเรื่อง “นาคี” ผลิตโดยค่าย “แอค-อาร์ต เจเนเรชั่น จำกัด” ของผู้จัดคนเก่ง “แดง” ธัญญา กำกับการแสดงโดย “อ๊อฟ” พงษ์พัฒน์ วชิรบรรจง ทาง “ช่อง 3” นำแสดงโดย “แต้ว” ณฐพร เตมีรักษ์ รับบท คำแก้ว และเจ้าแม่นาคี “เคน” ภูภูมิ พงศ์ภาณุ รับบท ทศพล และไชยสิงห์
ท่ามกลางกระแสความสำเร็จและเสียงชื่นชมอันล้นหลาม มีเรตติ้งเปิดตัวสูงที่สุดในรอบปีของละครทางช่อง 3 หากจะมาวิเคราะห์ว่า มนต์เสน่ห์อะไรที่ทำให้ “เจ้าแม่นาคี” แสดงแสนยานุภาพ ข่มละครช่องคู่แข่ง ได้น่าเกรงขามถึงเพียงนี้ คงต้องบอกว่า เจ้าแม่มีรัศมีแห่งความน่าสะพรึงกลัว ทว่าเจือปนด้วยความสวยงาม น่าหลงใหล น่าค้นหา และน่าสงสาร เมื่อครบรสเช่นนี้ จึงสร้างความ “กลมกล่อม” และอรรถรสในการรับชมละคร
แว่วเสียงสำเนียงภาษาอีสานจากชาวบ้าน “ดอนไม้ป่า” ที่นักแสดงทุกคนในเรื่องตั้งใจฝึก “ท่อง” จำบทละครเป็นตัวโน้ตสำเนียงภาษาท้องถิ่น ตามที่ผู้กำกับมากฝีมืออย่าง “อ๊อฟ” พงษ์พัฒน์ ให้เครดิตชื่นชมในความ มุมานะ วิริยะ อุตสาหะ ของนักแสดงทุกคนเอาไว้ว่า เป็นส่วนประกอบสำคัญ ทำให้ผลงานละครเรื่องนี้ออกมา “สวยงาม” ได้ ยังไม่นับรวมเรื่องพิธีกรรม และความเชื่อ ของชาวอีสาน ที่มีทั้งจริง และเติมแต่ง สอดแทรกเข้ามาอยู่ในละครได้อย่างแนบเนียน เพื่อเพิ่มอรรถรสให้เข้มข้น
ประกอบกับเทคนิคพิเศษที่ใช้สร้างความน่าเกรงขามให้แก่ “เจ้าแม่นาคี” มีการใช้ซีจีได้ดีสมมาตรฐาน แม้จะไม่เลิศหรูอลังการ เหมือนละครซีรีส์ต่างประเทศ อย่างที่หลายชอบนำไปคนเปรียบเทียบ แต่หากวัดกันด้วย “ต้นทุน” ในการผลิตแล้ว ต้องนับว่า นาคี มีผลงานซีจีไม่น้อยหน้าใคร สิ่งสำคัญคือ การสร้างมาตรฐานให้ละครเรื่องอื่น พัฒนาเทคนิคพิเศษให้ดียิ่งขึ้นไปอีก
ดูเผินๆ “นาคี” คือละครเข้มข้นหนึ่งเรื่องที่ความรัก และการพลัดพราก คือจุดเปลี่ยนสำคัญในชีวิตของ เจ้าแม่นาคี หรืองูใหญ่ ผู้ซึ่งเคยเสวยทิพย์ด้วยบุญบารมีอันสั่งสมมาในร่าง “พญานาค” แห่งเมืองบาดาล แม้จะโดนลงโทษลดขั้นลงมาอยู่ในเมืองมนุษย์ แต่อำนาจและความน่ายำเกรงยังคงอยู่ ทำให้ชาวบ้านดอนไม้ป่าเกรงกลัวจนต้องจำยอมเคารพนับถือ กราบไหว้ด้วยความอกสั่นขวัญผวา
“เราไม่ได้สร้างละครเพื่อให้เกิดความงมงายหรืออะไรทั้งสิ้น ละครคือสิ่งบันเทิง ที่สร้างเพื่อความสนุกสนาน เป็นอรรถรสที่เราปรุงแต่งเข้าไป แต่สิ่งหนึ่งที่มีในละครเรื่องนี้ คือการเชิดชูความรักของพญานาคที่มีต่อมนุษย์” คำพูดส่วนหนึ่งจากอ๊อฟ ผู้กำกับ ที่ให้สัมภาษณ์ “คม ชัด ลึก”
เมื่อพิจารณาอย่างลึกซึ้งตามเนื้อเรื่องจะเห็นว่า เจ้าแม่นาคีไม่ทำร้ายคนดี แต่กวาดล้างคนใจบาป ละโมบ โลภมาก และกระทำผิดศีลธรรม แต่พลังความน่าสะพรึงกลัวของเจ้าแม่นาคียังต้องพ่ายแพ้ต่อแรงกิเลสของมนุษย์อันเหี้ยมโหด ที่คอยหาทางทำร้าย ทำลายเจ้าแม่นาคีไม่จบสิ้น จนนำไปสู่โศกนาฏกรรมสุดสะเทือนใจ
ความเชื่อใน “รักแท้” ของเจ้าแม่นาคี ที่มีต่อมนุษย์ช่างน่ายกย่อง ส่วนความเชื่อมั่นในตัวทีมงาน และนักแสดงของผู้จัด รวมถึงผู้กำกับละครเรื่องนี้ คือพลังงานเชิงบวกที่ทำให้คนทำงานมีกำลังใจ จนผลักดันให้นวนิยายเหนือจินตนาการถูกอกถูกใจคนดู ด้วยแรงแห่งศรัทธาต่อชิ้นงานที่ทำ และความตั้งใจสร้างสรรค์ ซึ่งผู้ชมสัมผัสได้จริง