
ชำแหละ 'พิษสวาท-อุบล' สุดเข้มข้นจากปาก 'ทมยันตี'
“ทมยันตี” หรือ คุณหญิงวิมล ศิริไพบูลย์ ชี้แจงอย่างละเอียด ไม่พูดปด "พิษสวาท" ได้แรงบันดาลใจจาก “ปู่โสมเฝ้าทรัพย์” ส่วน แมรี่ คลอเรลรี่ ยกเป็นครูบาอาจารย์
กำลังสร้างกระแสร้อนแรงอยู่ในขณะนี้สำหรับละครเรื่อง “พิษสวาท” ออกอากาศทางช่อง “วัน” ที่ทำเรตติ้งสูงสุดของวงการ “ทีวีดิจิทัล” จากปรายปากกาของนักเขียนนวนิยายชั้นครูอย่าง “ทมยันตี” หรือ คุณหญิงวิมล ศิริไพบูลย์ เมื่อละครโด่งดังจนได้รับความนิยมอย่างท่วมท้น ย่อมมีกระแสการวิพากษ์วิจารณ์ตามมา ทั้งเรื่องเร้นลับของ “อุบล” หรือ “สโรชินี” นางเอกของเรื่อง นำแสดงโดย “นุ่น” วรนุช ภิรมย์ภักดี ว่าสรุปแล้ว เธอผู้นี้มีตัวตนอยู่จริง หรือเป็นเพียงจินตนาการของผู้เขียน ที่ผนวกเรื่องราวผูกโยงกับประวัติศาสตร์เอาไว้อย่างน่าค้นหา รวมไปถึงการวิพากษ์บทประพันธ์จากนักเขียนนวนิยายชั้นครูว่า มีการ “ยืมพล็อต” มาจากนวนิยายอังกฤษเรื่อง “Ziska” (ซิสก้า) ของ Marie Corelli (แมรี่ คลอเรลรี่) บันเทิง คมชัดลึก มีโอกาสได้สัมภาษณ์นักเขียนนวนิยายชื่อดัง ที่จะมาไขข้อสงสัยให้ฟังดังนี้
นวนิยายเรื่อง "พิษสวาท"
กว่าจะมาเป็น “พิษสวาท”
พิษสวาท ตั้งแต่ได้ทำเป็นละครก็มีเรื่องต่างๆ นาๆ ที่เขาเป็นกัน ดิฉันไม่ได้พูดปด อย่างเช่น นางเอกคนแรก (เสาวนีย์ สกุลทอง) ที่เล่นแล้วเธอก็เสียชีวิต อาจเป็นเพราะเธอไม่ค่อยจะเชื่อเรื่องแบบนี้สักเท่าไหร่ ตัวดิฉันเองนั้น ก็เชื่อมั่งไม่เชื่อมั่ง เป็นคนหัวดื้อ ดิฉันเคยเขียนมาหลายครั้งแล้วว่า ตัวเองนั้นเห็นของแปลกๆ มาตั้งแต่เด็ก แต่ไม่ค่อยเชื่อ ยายบอกก็ไม่ค่อยเชื่อ เถียงอยู่นั่นว่าที่เห็นเป็นคน มันไม่ใช่ผี เพียงแต่คนกลุ่มนั้นที่ดิฉันเห็น ทำไมมันหายไปเร็วนัก แต่ดิฉันเป็นเด็กที่ไม่สนใจ และไม่ได้กลัวนัก ดิฉันบอกใครๆ เสมอว่า ดิฉันเป็นคนเพี้ยน ปรากฏว่า เจอคนเพี้ยนหลายๆ คนที่เวลาละครเรื่องนี้เข้าฉาย หรือแม้แต่ก่อนที่จะฉาย คนที่เข้าไปสัมภาษณ์ดิฉันไม่ได้ไปแค่นางเอกกับพระเอกนะ ขนกันไปแทบจะทั้งกองถ่ายเลย บ้านดิฉันแน่นไปหมด (หัวเราะ) ทุกคนตัวสั่น งันงก ดิฉันก็บอกว่า ไม่เห็นมีอะไรเลย ไม่ต้องกลัวหรอก นุ่นก็บอกว่าเจอเหมือนกัน เขาฝัน แต่ดิฉันบอกว่า ไม่เห็นมีอะไรเลย เวลาถ่ายทำก็ยกมือไหว้เขาหน่อย
นุ่น - วรนุช ภาพจากละคร พิษสวาท
“บัว - อุบล - สโรชินี” ชื่อที่มีความเกี่ยวข้องกัน
อุบล หรือ สโรชินี ดิฉันเรียกเขาว่า พี่บัว อุบลก็แปลว่า บัว คนโบราณให้ชื่อบัว แต่ชื่อของคนสมัยนี้ดอกบัวคือ สโรชินี เป็นสาวสมัยใหม่ แต่ดิฉันชอบเรียกว่า พี่บัว ตอนเขียนดิฉันก็เคยได้กลิ่นดอกบัว ดิฉันไม่ได้พูดปด ถ้าพูดปด คนทั้งโขยงที่เจอเรื่อวราวต่างๆ มา คงยกโขยงพูดปดกันมาตั้งแต่ 25 ปี ที่แล้ว
พิษสวาท มาจากความเชื่อในตำนาน “ปู่โสมเฝ้าทรัพย์”
พิษสวาท มันเป็นเรื่องที่คิดขึ้นมาเฉยๆ เพราะบ้านของดิฉันเชื่อกันเรื่อง ปู่โสมเฝ้าทรัพย์ ทรัพย์ของแผ่นดิน เราจะคิดถึงผู้ชายแก่ๆ แต่ยายบอกว่า ทรัพย์แผ่นดินเวลาเคลื่อนที่ จะเห็นเป็นไฟลุก ไฟที่ลุกไม่ใช่เปลวหรือควัน แต่เป็นไฟสีทองๆ แล้วเคลื่อนที่ไป ยายบอกว่าใครอยากจะได้ ต้องแก้ผ้า แล้วเอาผ้านั้นไปฟาด ถึงจะกลายเป็นทอง ยายบอกว่าทรัพย์แผ่นดินไม่ใช่ของเรา เขาปรากฏให้เราเห็น แต่เราอย่าไปยุ่งกับเขา สมัยโบราณมีคนเคยเห็น แล้วจะเก็บใส่ห่อผ้า เลยเจอยักษ์ตัวใหญ่มายืนชี้หน้าบอกว่า “มึงทิ้งเดี๋ยวนี้นะ” แต่ที่ดิฉันเชื่อ คือเรื่องของ พระองค์เจ้าจุลจักรพงษ์ ที่ท่านเขียนเอาไว้ ลองไปหาเรื่องของท่านมาอ่านได้ ท่านบอกว่า ท่านเคยไปหาทรัพย์แผ่นดินที่ จ.อยุธยา
ท่านคิดแบบฝรั่งเลย เอาเครื่องมือไปตรวจ เครืองมือไปเจอโลหะที่หน้าวัดแห่งหนึ่ง แต่ดิฉันไม่บอกว่าเป็นวัดไหนนะ พระองค์จุลฯ ก็ตั้งแคมป์กับเพื่อนฝรั่ง ตอนเที่ยงที่เพื่อนฝรั่งพักกินข้าว แต่พระองค์จุลฯ คิดว่า ลองไปคนเดียว ไปลองขุดดู เลยไปเจอหีบ แต่อยู่ดีๆ ก็รู้สึกว่าทำไม แผ่นดินมันสะเทือนๆ เลยแหงนหน้าขึ้นไปดู ปรากฏว่า เจอคนโบราณตัวใหญ่ บอกว่าให้ ทิ้งเสียเถอะ ไม่ใช่ของตัว และอยู่ดีๆ หีบสมบัติที่เห็นอยู่ก็หายไป
พระองค์เจ้าจุลจักรพงษ์ เลยปีนขึ้นมาจากหลุมสมบัติ หลังจากนั้นเหมือนมีคำสาป ชีวิตท่านก็ประสบแต่ปัญหา เพื่อนท่านก็ตายมั่ง อยู่มั่ง ลองไปหาอ่านกันดู ดิฉันเชื่อว่าสมบัติแผ่นดินมีจริง ทำให้ดิฉันคิดได้ว่า มาเขียนเรื่องทรัพย์แผ่นดินดีกว่า เพราะตอนกรุงแตก เขาฝั่งทรัพย์แผ่นดินกันนะ ดิฉันมีความรู้สะสมเกี่ยวกับเรื่องพรรค์อย่างนี้ไว้เยอะ เลยมาเขียนเรื่อง พิษสวาท และแม่ก็บอกว่า ระวังนะ ทำกรรมอะไรไว้ จะได้อย่างนั้น บ้านเราสิ่งที่กลัวกันมาที่สุด ไม่ใช่ผี แต่กลัวกรรม
“ผู้หญิงใส่สไบสีเทาฟ้า” คือใคร
ตอนที่เขียนนั่ง หันหน้าอยู่หน้าโต๊ะหนังสือ ข้างหลังเป็นประตู เพื่อจะขึ้นไปชั้นบนที่บ้านของดิฉัน ดิฉันไม่มีตาหลังนะ แต่ดิฉันเห็นจริงๆ เห็นผู้หญิงนุ่งผ้าสี เทา ฟ้า คาดสไบ เดินแว่บหายขึ้นกระไดไป เราเห็นชายผ้าหายไป เราก็คิดแปลกใจว่าใครมาบ้าน แต่ดิฉันเป็นคนไม่กลัวผี ซึ่งพอเดินตามขึ้นบันไดไป เอ๊ะ! ไม่มีใครนี่ เลยลงมาข้างล่างมาทำงาน ก็นึกในใจว่า มามั้ง! แม่บัว เขามาตรวจมั้งว่าเราเขียนหนังสือ ไปถึงไหน ซึ่งเราก็เฉยๆ แต่ได้กลิ่นดอกบัว ซึ่งดอกบัวสมัยนี้ มันไม่หอม แต่สมัยก่อนดิฉันปลูกบัวที่บ่อหน้าบ้าน เวลาไปดมจะหอมอ่อนๆ ต้องเข้าไปใกล้ๆ แต่เรานั่งที่โต๊ะเขียนหนังสือในบ้าน กลับได้กลิ่น
เพื่อนสนิทนั่งสมาธิเจอผู้หญิงใส่ชุดไทย
ศรีเพ็ญ เพื่อนของดิฉัน เขานั่งสมาธิที่อยุธยา เพราะอยากรู้ว่า ที่อยุธยา มีทรัพย์ของแผ่นดินจริงหรือไม่ เลยไปนั่งสมาธิที่บ้านเพื่อน จ.อยุธยา ซึ่งเพื่อนของดิฉันคนนี้เก่งเรื่องนี้มาก พอนั่งสมาธิแล้วเขาเห็นผู้หญิงสวยคนหนึ่ง แต่ไม่ได้ใส่ชฎามาเหมือนในละคร (หัวเราะ) และในสมาธิศรีเพ็ญเห็นสมบัติแผ่นดิน แต่ไมได้เอา เขาถามผู้หญิงคนนั้นไปว่า เธอเป็นใคร ผู้หญิงคนนั้นตอบว่า เขาเฝ้าสมบัติแผ่นดิน และสมบัติแผ่นดินที่นี่ไม่ใช่ของใคร เป็นของพระมหากษัตริย์ ที่ดิฉันคิดว่าไม่ควรเอ่ยชื่อ ศรีเพ็ญถามกลับไปว่า อยู่มานานหรือยัง เธอตอบว่านานแล้ว เพื่อนดิฉันถามกลับไปอีกว่า ตายยังไง เธอตอบว่าอย่าดูเลยมันไม่ดี แต่ศรีเพ็ญอยากรู้มาก เขาเลยทำให้ดูว่า “หัวหลุดจากบ่า” ศรีเพ็ญผงะ หงายหลังเลย เขาเรียกกันว่า กายทิพย์บอบช้ำ
เจ็บตัวอยู่ 1 เดือน เพราะช้ำใน พอรักษาตัวหายแล้ว เพื่อนกลับไปอยุธยาใหม่ นั่งเข้าสมาธิใหม่ แล้วเห็นอีก เธอคนนั้นบอกศรีเพ็ญว่า ให้ไปถามผู้หญิงคนหนึ่ง จำเรื่องนี้ได้ กำลังเขียนหนังสืออยู่ ให้ไปถามเขาเองว่า ทำไมเธอถึงคอขาด ศรีเพ็ญก็ไปถามเพื่อนคนอื่นๆ ว่าใครกำลังเขียนหนังสืออยู่ เพื่อนเลยตอบว่า อี๊ด (ชื่อเล่นคุณหญิงวิมล) ไง ศรีเพ็ญเลยโทรมาหาดิฉัน บอกว่าจะเล่าเรื่องผู้หญิงคนหนึ่งคอขาด เพราะเฝ้าสมบัติ พี่กำลังเขียนเรื่องนี้อยู่หรือเปล่า ดิฉันก็บอกว่า ใช่ กำลังเขียนอยู่ว่า เป็นเรื่องว่าสามีของเขาฟันคอขาดสั่งให้เฝ้าสมบัติแผ่นดิน ตั้งแต่นั้นมาศรีเพ็ญ ไม่เคยไปอยากดูอะไรที่อยุธยาอีกเลย มันบอกว่า เข็ดแล้ว ไม่เอาแล้ว
ตั้งแต่นั้นมา เวลาที่ดิฉันจะเขียนหนังสือ ถ้ารู้สึกติดขัดตอนไหน จะซื้อดอกบัวมาแล้วอธิฐานว่า พี่บัว ดิฉันเอาดอกบัวมาฝากแล้วนะ ขอให้เขียนหนังสือได้ ตั้งแต่นั้นมาพี่บัวไม่ได้มายุ่งกับดิฉันเลย แต่มีลูกของดิฉันซึ่งตอนนั้นกำลัง 10 กว่า ขวบ อยู่ดีๆ ก็พูดขึ้นมาว่า วันนี้ป้าบัวมา ดิฉันถามว่ารู้ได้ไง ลูกตอบว่าได้กลิ่นหอม แต่พอดิฉันถามมากๆ ลูกไม่พูดเลย
คนเชื่อไปแล้วว่า “คุณอุบล” มีตัวตนจริง
ดิฉันว่าดีนะ เพราะคนเชื่อว่า อุบล มีจริง คุณจะต้องเชื่อว่า ดวงวิญญาณที่รักษาแผ่นดินที่อยุธยาทั้งหมดมีอยู่จริง และเขาก็มีจริง คุณจะไปเชื่อว่า คุณอุบลมีจริงคนเดียวทำไม เดี๋ยวคนอื่นเสียใจ (ยิ้ม) เอาเป็นว่า ทุกคนที่รักษาแผ่นดินไทย ไม่ว่า นายดอก นายอิน นายเมือง หรือแม้แต่คนในค่ายบางระจัน ที่ตายหมดทั้งค่าย ชื่ออะไรบ้างก็ไม่รู้ สมเด็จพระนเรศวร ท่านเก่งท่านชนช้าง แต่ผู้ที่ตายในการรบเป็นวีรชนที่มีชื่อจารึกไว้มีอยู่ไม่กี่คน แล้วคนอื่นๆ ล่ะ ลูกชายดิฉันเคยถามว่า คนที่รบออกศึกแล้วตาย เขาฝั่งศพ หรือเผา กันหรือเปล่า คุณตอบได้มั้ย ดิฉันบอกลูกว่าไม่รู้เหมือนกัน คงเผามั้ง
สิ่งที่ควรรู้เกี่ยวกับ “คุณอุบล”
ไม่รู้สิ ดิฉันเขียนถึงเขาหมดแล้ว เท่าที่รู้นะ รู้แต่ว่าเธอเฝ้าสมบัติของแผ่นดิน วิญญาณมีจริงหรือไม่ เราก็ไม่รู้จริงๆ อย่างที่เคยบอก ดิฉันคิดว่าคนกับผี เหมือนกัน แค่เดินๆ แล้วหายไป ซึ่งเราไม่รู้ว่าเป็นใคร หรือหายไปไหน อย่างพี่บัว เป็นใครก็ไม่รู้ เรารู้แค่ว่าเขาต้องเคยเฝ้าสมบัติแผ่นดินอย่างนี้ เพราะคุณศรีเพ็ญ (เพื่อนคุณหญิงวิมล) บอก เรารู้แค่ไหน เขียนแค่นั้น รู้แค่ความรู้สึกเท่าตอนที่เขียน มันอยู่ในใจ ถ่ายทอดความในใจหมดแล้วก็จะลืม แล้วเริ่มเรื่องใหม่ ดิฉันเป็นคนแปลก เวลาเขียนจบเรื่องไหน จะจบเลย แล้วดิฉันจะพักแค่ชั่วขณะ ก่อนเริ่มเรื่องใหม่ แต่คงเป็นที่คลื่นสมองรุนแรงมาก หมอวัดมาแล้ว ไม่อย่างนั้นเส้นโลหิตในสมองที่เคยแตกไป ดิฉันคงไม่ฟื้นขึ้นมาอีก ดีที่ไม่เป็นอัมพาต ไม่เป็นอัมพฤกษ์ มีแค่นิดหน่อย คุณจะเห็นว่ากล้ามเนื้อบนหน้าของดิฉันผิดไปแค่นิดหน่อย มองดูไม่รู้เลย ดิฉันรอดตายด้วยความใจแข็ง เขาบอกว่า ถ้าดิฉันปรารถนาจะตาย ดิฉันจะตายทันที แต่ถ้ายังอย่างอยู่อย่างนี้ (หัวเราะ) ดิฉันก็มีความสุขกับชีวิต
ไม่สัมผัสถึง “คุณอุบล” อีกแล้ว
ตอนนี้ไม่ได้รู้สึกหรือสัมผัสถึงพี่บัวอีกแล้ว ไม่รู้สึกมานานมากแล้ว มีแต่นุ่น (วรนุช) ที่เคยได้กลิ่นหอม ครั้งสุดท้ายก่อนที่เรื่องนี้จะออกอากาศ มีเพียงครั้งเดียวที่ได้กลิ่นอีก เมือ่ไหร่ก็ตามที่เราได้กลิ่นแปลก เหมือนกลิ่นน้ำผึ้งใหม่ ปนกลิ่นดอกไม้หลายๆ กลิ่น เช่น กลิ่นมะลิ กลิ่นการเวก กลิ่นกุหลาบ 4 กลิ่นนี้เป็นตัวหลัก รู้ไว้เถอะว่า ไม่ใช่กลิ่น ธรรมดาบนโลกนี้ ถ้าได้กลิ่นดอกไม้ ผสมกลิ่นน้ำผึ้งใหม่ ใช่เลย
อาถรรพ์ใครเชื่อก็มี ไม่เชื่ออย่าลบหลู่
เรื่องนี้ เคยมีนางเอกเคยตาย เพราะเขาไม่เชื่อ อยากจะบอกว่าอย่าไปเล่นกับเขา (คุณบัว) นะ ดิฉันเคยอธิฐานบอกพี่บัวว่า วิมลขายเรื่องนี้ไป 25 ปีแล้ว ได้เงินแล้ว กินหมดแล้ว และทำบุญไปให้พี่บัวแล้ว เพราะฉะนั้นพี่บัว อย่ามายุ่งกับเรานะ พี่บัวไปหาคนอื่นเถอะ (หัวเราะ) แต่ถ้าใครเจอก็ตัวใครตัวมัน แต่ถ้าใครฝันเห็นพี่บัว โดยมากจะโชคดีนะ บอกเลย ใครฝันหรือได้กลิ่นโชคดีทุกคน ไม่ใช่วิญญาณที่ไม่ดี คนฝันถึงจะได้ทรัพย์สินอะไรสักอย่าง เพราะพี่บัวเป็นเจ้าของทรัพย์สินเยอะ บางคนอาจได้ของเก่ามาโดยบังเอิญ ดิฉันก็มีของประดับเก่าๆ หลายชิ้นเหมือนกัน ถามว่าอาถรรพ์เกิดกับคนที่ไม่เชื่อหรือเปล่า เราไม่รู้ แต่ถ้าคนไม่เชื่อ แล้วไม่ได้ไปหมิ่นประมาทท่าน คงไม่เป็นไรมั้ง เพราะไม่เชื่อท่านก็คงคิดว่า ช่างประไร ไม่เห็นแปลก แต่ดิฉันเชื่อ
นวนิยายอังกฤษเรื่อง “Ziska” (ซิสก้า)
กระแสวิพากษ์ “ยืมพล็อต” จากนวนิยายอังกฤษเรื่อง “Ziska” (ซิสก้า)
ดิฉันเขียนเรื่องนี้มา จากการคิดเท่านี้ ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าฝรั่งเขียนอะไร เพราะอ่านภาษาอังกฤษออก แต่แปลไม่ได้ และเมื่อ 30 - 40 ปีที่แล้ว เด็กสมัยนั้นไม่ได้เก่งนิ อ่านแต่นิทาน เอาแฮรี่พ็อตเตอร์ให้เด็กสมัยนั้นอ่านก็ไม่รู้เรื่องเหมือนกัน ส่วนที่คนบอกว่าเรื่องซิสก้า มีการแปลเป็นภาษาไทย มันคงมาแปลรุ่นหลังมั้ง ดิฉันตั้งใจว่าจะไปหาอ่านเหมือนกันนะ เพราะของ แมรี่ คลอเรลรี่ ถือว่าเป็นมือครูของฝรั่งนะ ดิฉันนับถือครูทุกท่าน ไม่ว่าจะเป็นครูที่สอนเราเขียน ก ข ค ไม่อย่างนั้น เราเขียนไม่ได้ ไม่อย่างนั้น เขาจะมีคำว่าครูพักรักจำ ใครจะว่าดิฉันจำมาจากแมรี่ คลอเรลรี่ ก็ดีเนอะ มือชั้นหนึ่งของโลกเลย ก็ดี ดิฉันไหว้ท่านอยู่แล้ว เพราะดิฉันดูรูปของท่านใส่กระโปรงยาวๆ สวยดี พี่เริ่ม หรือ ร.จันทพิมพะ เด็กสมัยนี้ไม่รู้จัก เป็นนักเขียนรุ่นเก่า ท่านหญิงวิภาวดี ดิฉันมีรายชื่อครูบาอาจารย์เยอะแยะ รวมถึง บิดา มารดา ปู่ ย่า ตา ยาย เพราะฉะนั้นก่อนจะนอนคนที่ดิฉันไหว้รายชื่อยาวเหยียด ดิฉันระลึกถึงบุญคุณคน แม้กระทั่งคนที่ซื้อหนังสือของดิฉัน ขอบคุณเพราะดิฉันหาเลี้ยงชีวิตด้วยหนังสือ ดิฉันต้องทำบุญแล้วแบ่งให้พวกคุณ (คนอ่าน) มั่ง ใครอ่านหนังสือข้าพเจ้า แม้แต่ตัวเดียวขอให้ได้รับส่วนบุญ ส่วนกุศลไปด้วย
Marie Corelli (แมรี่ คลอเรลรี่)
มุมมองเรื่องการ “ก๊อปปี้” หรือ “ยืมพล็อต” เรื่องมาใช้
ไม่รู้สิ พูดตามจริง คือคุณคิดแบบนี้มั้ย เวลามีการประกวดการเขียนหนังสือ อย่าง "ทมยันตี อวอร์ด" เวลาที่ดิฉันอ่านงานของเด็กๆ ดิฉันจะรู้สึกว่า ตรงนี้มาจากเรื่อง "โฟร์ซีซั่น" ตรงนี้มาจากเรื่อง "คู่กรรม" คือเวลาที่คนชอบเรื่องอะไร เวลาไปอ่านอะไรมา เขาจะเอามาผสมๆ เป็นน้ำยาของตัวเอง เวลาจะแต่งเรื่องตามจินตนาการ แต่เชื่อมั้ยว่า คนเขียนไม่รู้ตัวหรอก ซึ่งบางคนผสมไม่เก่ง น้ำยาเลยกลายเป็นชั้นๆ เหมือนขนมชั้น ต้องให้กลับไปเขียนใหม่ รีไรท์ใหม่ ดิฉันเขียนให้สำนักพิมพ์ “บ้านวรรณกรรม” เคยคุยกับเขาว่า ทำไมไม่เห็นมีใครมาบอกดิฉันเลยว่า สำนวนของดิฉันเหมือนกับ หลวงวิจิตรวาทการ เพราะคนสมัยนี้ไม่อ่านของท่านอาจารย์หลวงวิจิตรวาทการ ไม่อ่านหนังสือของท่านอาจารย์ ดร.ดิเรก ชัยนาม
อย่างเรื่อง “ทวิภพ” นี่คุณไปดูเถอะ สนธิสัญญาทุกฉบับเหมือนของจริงเป๊ะ แต่เขาคงไม่ได้อ่านกัน เลยบอกว่า ดิฉัน ไม่ได้ลอกสนธิสัญญา ถ้าเขาบอกว่าลอกสนธิสัญญามา ดิฉันจะหัวเราะว่าเก่งมาก ดิฉันเขียนอธิราชา ก็ลอกพิชัยสงครามมาทั้งนั้นเลย ทหารรู้เพราะเขาอ่านพิชัยสงคราม แต่คนวิจารณ์ไม่รู้ เพราะไม่ได้อ่านพิชัยสงคราม อย่างเวลาที่ดิฉันเขียนเรื่องกฏหมาย แต่เป็นกฏหมายตรา 3 ดวง ถ้าคนได้อ่านคงบอกว่า ดิฉันลอกกฏหมายตรา 3 ดวงมา ก็ใช่ เพราะเราเอาข้อมูลของจริงมาใส่ เพราะเราต้องเอาเรื่องจริงมาใส่ด้วย ถ้าเป็นเรื่องไม่จริงคนอ่านจะไขว้เขว สงสัยคุณแม่รี่ คลอเรลรี่ แกจะเชื่อเรื่องกรรม และเชื่อคล้ายๆ พุทธศาสนา
กระแสเปรียบเทียบเพราะมีนักวิจารณ์เยอะ
สมัยก่อนคนวิจารณ์มันไม่ค่อยมี สมัยนี้มีอาชีพนักวิจารณ์ ก็ให้เขาวิจารณ์กันไปสิ อะไรที่เขาวิจารณ์แล้วดี เท่ากับเขามาบอกเรา ว่าเราบกพร่องตรงนั้น เราจะได้จำเอาไว้ คราวหน้าเราจะไม่ทำอีก ส่วนที่วิจารณ์ไม่ถูก เราก็จะรู้สึกว่ามันผิด ถ้าเขามาถาม เราจะได้บอกว่าไม่ถูกตรงไหน ถามว่าโกรธมั้ยที่เขาหาว่าไปยืมพล็อตเรื่องมา ดิฉันบอกแล้วว่า ดิฉันถือศีล ดิฉันกำลังจะเป็นเจ้าของเทวาลัย ที่กำลังสร้างในจังหวัดเชียงใหม่ เราละโทสะ โมหะ ถ้าเราละไม่ได้อย่าไปสร้างเทวาลัยเลย สนิมในใจคนคือ 1. โทสะ 2.ริษยา 3. มิจฉา ทิฏฐิ 4.พูดเท็จ 5. ลบหลู่บุญคุณท่าน 6.ตระหนี่ 7.หลอกลวง 8.โอ้อวด 9.คิดในทางสกปรก นี่คือสนิมในใจคน ถ้าดิฉันจะเป็นคนดูแลเทวาลัย โทสะ โมหะ ยังไม่ลบเลย จะสร้างไปทำไม ถ้าใครมาวิจารณ์ก็แค่คิดว่า เออ เอ็งเก่งๆ หรือ คิดว่า ไอ้นี่เก่งแฮะ จับได้ หรืออันไหนที่พูดผิด ถ้าเจอหน้าแค่จะบอกว่า ไม่ใช่นะ เมื่อก่อนเคยมีคนมาลอกนิยายเรา ก็โทรศัพท์ไปว่ามันว่า แกลอกนิยายเรา แถมลอกผิดอีก เพราะไปดูต้นฉบับที่มันพิมพ์ผิด (หัวเราะ) ให้ไปดูต้นฉบับของตัวเองใหม่ ซึ่งหลังจากนั้นมา กลายเป็นเพื่อนกัน จนบัดนี้ที่เพื่อนตายไปแล้ว
“คลื่นสมอง” นักเขียนสามารถจูนบางอย่างตรงกันได้
ดิฉันจะเล่าเรื่องนี้แปลก ตอนที่ดิฉันเขียนเรื่อง “ล่า” อยู่ที่ประเทศไทย แต่ เชิด ทรงศรี ไปที่อังกฤษ บอกว่า เฮ้ย ไอ้อี๊ด เพราะเราเป็นเพื่อนกัน บอกว่า หนังที่กำลังฉายเรื่อง “I Spit on Your Grave” เหมือนเรื่องล่าของแกเลย คล้ายๆ กัน ดิฉันก็ถามว่าเรื่องนี้ได้เขียนนวนิยายหรือยัง เชิด บอกว่า ยัง ทำเป็นหนังเลย เราก็ถามว่า หนังไม่ได้เอามาฉายในประเทศไทยใช่มั้ย เพื่อนก็บอกว่าฉายที่อังกฤษ เราก็โล่งใจ เพราะดิฉันไม่เคยดูหนังเรื่องนี้ ก็ไม่รู้ว่ามันคล้ายกันได้ยังไง แต่ดิฉันว่า นักเขียนและนักทำงานทางความคิด คุณเชื่อเรื่องคลื่นสมองมั้ย คลื่นสมองของคนที่คิดอะไร อย่างเข้มข้น มันส่งถึงกันได้ คุณรู้จักจิตวิญญาณจักรวาลมั้ย มนุษย์ที่ตาย จิตวิญญาณมันเป็นคลื่น คลื่นบางอย่างไปรวมกัน เวลาจะไปเกิด ดิฉันอาจจะยืมคลื่นของนักเขียนโบราณมา เอาคลื่นนี้ มาผสมกับคลื่นนี้ ไม่ใช่ดิฉันจะไปเกิดนะ แต่คุณอาจจะมีคลื่นบางอย่างที่คล้ายกับดิฉัน มันถึงจูนกันได้ แต่บางคลื่นของเรา กลายเป็นไปอยู่กับโจรห้าร้อยก็มี
ดิฉันก็มีความสุขนะ ที่มีนักวิชาการมาอ่านเรื่องของเราด้วย เราเก่งขนาดที่นักวิชาการมาอ่านเรื่องเรา พูดไปต่างๆ นาๆ ไม่ต้องมาวิจัยเรื่องของเราเลย รอให้เขามาชำแหละเรื่องของเราเอง แล้วเราจะเก็บข้อมูลอย่างเดียว
ทมยันตี - คุณหญิงวิมล ศิริไพบูลย์
เมื่อคนในหนังสือกลับมีชีวิตจริง
ขนาด “โกโบริ” (คู่กรรม) บางทีคนยังคิดว่ามีชีวิตจริง อย่าไปยุ่งกับเขานะ พ่อโก แฟนคลับเขาเยอะมาก (หัวเราะ) มีหลายเรื่องที่ดิฉันเขียน แต่เขียนไปเขียนมา คนกลับคิดว่าตัวละครเหล่านั้นมีชีวิต เหมือนที่คนชอบพูดว่า เอก มโน โท จินตนาการ ขอบคุณคนที่มาบอกข้อผิดพลาด ดิฉันหัวเราะเลย ลูกชายยังบอกว่าทำไมแม่อารมณ์ดีจัง ดิฉันคิดแค่ว่า ต่อไปดิฉันจะเขียนไม่ให้ผิดเลย เขาต้องเชื่อมากกว่าคนเขียนอีกนะ มันเป็นนวนิยาย นวนิยายแปลว่า นิยายสมัยใหม่ ไม่ใช่กลอนแปด หรือแปลว่า นิยายที่ผสมเป็น 9 อย่าง เอาของ 9 อย่าง มาผสมกันใหม่ แล้วคุณก็ได้เรื่องแปลกๆ ออกมาใหม่ แล้วคุณก็มานั่ง เอก มโน โท จินตนาการ (หัวเราะ) ซึ่งต้องขอบคุณคนที่บอกข้อผิดพลาดของเรา จะเอาไปแก้ไข