
'ตั๊ก'อัพเดทชีวิตและอาการ‘แม่เล็ก’หลังป่วย6ด.
“ตั๊ก” บงกช เผยชีวิตส่วนตัวและครอบครัวในวันนี้อย่างละเอียด พร้อมเปิดใจถึงอาการป่วยของ “แม่เล็ก” ธนาภา ชีพนุรักษ์ มารดา
หลังจากก่อนหน้านี้ ได้ทำหน้าที่ลูกด้วยการบวชชีให้กับ “แม่เล็ก” ธนาภา ชีพนุรักษ์ ที่นอนป่วยด้วยอาการเส้นเลือดในสมองตีบ สำหรับนักแสดงชื่อดัง “ตั๊ก” บงกช เบญจรงคกุล และหลังจากสึกออกมา ตั๊กก็ยังดูแลแม่เป็นอย่างดี ขณะที่แม่นอนรักษาตัวที่โรงพยาบาล ล่าสุดเธอได้อัพเดทอาการแม่ให้เห็นภาพในเฟซบุ๊ก พร้อมกับมีภาพที่แม่ลุกนั่งได้ พร้อมกับลืมตาได้ ซึ่งถือว่าเป็นข่าวดีของเธอ ล่าสุดวันนี้ (15 ก.ค.2559) ผู้สื่อข่าว นสพ.คมชัดลึก เลยสายตรงไปยังตั๊กเพื่อสอบถามอาการของแม่ โดยตั๊กเผยให้ฟังดังนี้
“แม่ดีขึ้นเรื่อยๆ ส่วนที่แม่นั่งได้ คือช่วงกลางคืน พยาบาลเขาเห็นแม่กระดิกตัว เหมือนกระดุกกระดิกแขน พยาบาลเลยตกใจ ว่าเอ๊ะทำไมแม่ยกแขนขึ้นมาได้ เขาเลยไปบอกหมอ หมอเลยบอกว่าให้แม่ลองนั่งดู ซึ่งแม่ก็ทรงตัวได้ หมอบอกอยู่แล้วว่าแม่เป็นอัมพาตทั้งตัวแล้ว อาการดีที่สุดแค่ลืมตา แต่พอแม่นั่งได้ทรงตัวได้ เราเลยรู้สึกว่า เป็นอะไรที่น่ายินดีที่สุดแล้ว (แสดงว่าตอนนี้แม่ขยับตัวได้ มือแขนขยับได้แล้ว) ใช่ ตอนนี้แม่ลืมตาตลอดแล้ว ในเรื่องการรับรู้ ตั๊กเชื่อว่าแม่รับรู้ได้อยู่แล้ว เพราะว่าเวลาตั๊กพูดอะไรแม่ก็เข้าใจ ตอนที่ตั๊กรู้ว่าแม่ดีขึ้น นั่งได้ ตั๊กดีใจมากนะ รู้สึกดี มีกำลังใจและดีใจด้วย” ตั๊กกล่าวด้วยน้ำเสียงจริงจัง
ถามต่อว่าอาการที่แม่ดีขึ้น เป็นเพราะส่วนหนึ่งตั๊กได้บวชชีให้แม่ด้วยหรือเปล่า นักแสดงสาว เผยกับคมชัดลึก ว่าเชื่อเรื่องเหล่านี้อยู่แล้ว เพราะมีความศรัทธาในเรื่องแบบนี้ แต่ก็ไม่ได้คิดอะไร
"ตั๊กเชื่อเรื่องนี้อยู่แล้ว ตั๊กศรัทธา ตอนแรกตั๊กก็ไม่ได้คิดอะไร คิดว่ายังไงก็ยังงั้น คือเราบังคับอะไรมากไม่ได้ แต่เมื่อคนเรามีศรัทธา อยากให้แม่ดีขึ้น แต่ไม่ได้หมายความว่าเราจะทรมานแม่ ให้แม่มานั่งทรมานมันไม่ใช่นะ ตั๊กอยากให้แม่ดีขึ้น แล้วร่างกายแม่ตอนแรกรับอาหารได้ ร่างกายไม่ได้ปฏิเสธอาหารเลย พอร่างกายรับอาหารได้ตลอดแสดงว่าร่างกายแม่ยังดีอยู่ ฉะนั้นต้องรอเวลา ปล่อยให้ร่างกายได้ซ่อมแซมตัวเองด้วย มันต้องใช้เวลา แต่ก็มีคนพูด เขาพูดกับเราว่าตั๊กเห็นแก่ตัว เหมือนรั้งแม่ไว้ให้อยู่กับเรา ให้เราได้กอดได้หอมแม่ แต่ไม่รู้หรอกว่าแม่ทรมานแค่ไหน เขาบอกว่าทำไมไม่ยอมที่จะตัดใจ แต่ตั๊กมองว่าแม่ต้องการใช้เวลาในการรักษา เพราะแม่รับอาหารได้ แล้วจะให้ตั๊กทำยังไง ถ้าจะให้ตั๊กดึงปลั๊กออกไปเลยเหรอ ลดเครื่องช่วยหายใจเหรอ ตั๊กทำไม่ได้นะ ตั๊กเชื่อว่าถ้าเกิดวันหนึ่งคนเราจะไป ต่อให้มีเครื่องช่วยหายใจ หรือเครื่องกระตุ้นหัวใจ หรือปั๊มก็ไม่สามารถให้เขาอยู่ได้ แต่ตอนนี้แม่ยังหายใจได้ ยังรับอาหารได้ แค่ช่วงนั้นแม่ไม่ลืมตา ทุกคนก็พูดจนตั๊กแย่มาก เครียดเลยนะช่วงนั้น แต่คนเดียวที่ให้กำลังใจตั๊กคือสามี และครอบครัวสามีที่ให้กำลังใจตั๊ก เขาบอกว่าแม่จะเป็นยังไงให้เป็นไปก่อน อย่าไปทำอะไร
ตั๊กสวดมนต์ให้แม่ทุกวัน แล้วก็เอาบทสวดมนต์ที่เราสวดได้สวดให้แม่ฟัง บอกแม่ว่าสวดมนต์ร่วมกันนะ จับมือแม่นะ ด้วยความที่เป็นเลือดเนื้อเชื้อไขต่อกันและกัน แม่ให้เลือดเนื้อเชื้อไขหนูมาเนี่ย หนูทำแทนแม่นะ เราก็ขออโหสิกรรม เจ้ากรรมนายเวร แล้วคุณหมอที่โรงพยาบาลตั๊กยอมรับว่าท่านเก่ง ท่านช่วยตั๊กด้วย พยายามหาทางรักษาให้ตั๊กหลายๆ ทาง แม่มีหมอทั้งหมด 8 คน เพราะว่าแม่มีหลายโรค ทุกอย่างเลยทำงานผิดปกติไปหมด ซึ่งเราก็มีการปรึกษากับคุณหมอแต่ละท่าน ท่านแนะนำเราอย่างนั้นอย่างนี้ เราก็เชื่อคุณหมอ ซึ่งต้องใช้เวลา ส่วนเราก็กลับมาคิด หนึ่งคือเราก็ทำใจ แต่เราก็สวดมนต์ภาวนาเอา คือถ้าแม่โอเคอยู่ เราอยากให้เขาอยู่ด้วยความไม่ทรมาน แต่เราต้องให้แม่มีโอกาสด้วย ไม่ใช่แม่หลับปุ๊บหายใจแผ่ว จะไม่ต้องเสียบเครื่องช่วยหายใจ ซึ่งตั๊กทำไม่ได้ หลายคนบอกว่า ทำไมถึงให้แม่มีสายระโยงระยาง คือจะให้ตั๊กทำยังไง ตั๊กมีทางเลือกมากเหรอ" คุณแม่ยังสาวกล่าว
ผู้สื่อข่าว คม ชัด ลึก ถามต่อว่าตั๊กยังรอปาฏิหาริย์ที่เกิดขึ้นกับแม่ ตั๊กเผยว่า ทำใจตั้งแต่ตอนที่ตัวเองไปบวชชีแล้ว แต่ ณ ตอนนั้นแม่ยังหายใจได้ ทำให้รู้สึกว่ายังพอมีหวังอยู่
“ก่อนหน้านี้แม่หลับ เหมือนเจ้าหญิงนิทราเลย แม่ไม่ลืมตาเลย แต่หายใจ รับอาหารได้ แต่ตั๊กคิดว่าอย่างน้อยก็ให้เครื่องช่วยหายใจช่วยแม่ คือบางคนไม่เข้าใจเรา พูดต่างๆ นานา ว่าทรมานแม่ไปมั้ย ไม่สงสารแม่เหรอ ให้มีเครื่องระโยงระยาง ตั๊กก็เครียดนะ คือเราคุยกับคุณหมอ เขามีวิธีการรักษาของเขา ซึ่งเราต้องรักษา จะไม่ให้ตั๊กทำอะไรเลยคงไม่ได้ เราเป็นลูก ตั๊กไม่อยากมานั่งเสียใจทีหลัง ว่าเราไม่ได้ทำอะไรเลย ยอมรับว่าช่วงที่มีคนพูดเยอะๆ ตั๊กหมดหวังนะ อย่างที่บอกว่าเราดูแลแม่ตลอด สวดมนต์ให้แม่ พาข้าวหอมไปหา บอกแม่ด้วยว่าถ้าแม่คิดว่าแม่ไหวนะ แม่สู้นะ แม่อยู่กับหนู กับหลานนะ อยู่ให้หลานเห็น รู้ว่านี่ยายนะ มาสร้างบุญกันต่อนะ เพราะแม่อายุแค่ 63 ชีวิตที่เหลือจะได้สร้างบุญกันต่อ ตั๊กจะบอกแม่ตลอดว่ารักแม่นะ แม่อดทน เข้มแข็งนะ ถ้าแม่ไม่ไหว แม่ไม่ต้องฝืน แต่น่าแปลกใจมาก เพราะหมอทุกคนพูดออกมาคำเดียวกันเลยว่า แม่ตั๊กเป็นอัมพาตแล้วนะ ไม่ใช่อัมพฤกษ์ เพราะแม่เป็นโรคเกี่ยวเส้นเลือดในสมองตีบ สมองข้างซ้ายมันจะบังคับการทำงานร่างกายซีกขวา ส่วนข้างขวาจะบังคับร่างกายซีกซ้าย พอร่างกายซีกขวาของแม่เส้นเลือดตีบปุ๊บ หมอเขาก็ผ่าเพื่อให้มันออกมาบวมข้างนอก เพราะว่ามันไปเบียดข้างซ้าย จะทำให้ข้างซ้ายพัง พอผ่าไม่นาน ข้างขวาก็เกิดเส้นประสาทอักเสบ ทำให้ร่างกายข้างซ้ายของแม่พัง เหมือนยกตัวเองไม่ขึ้น ตั๊กก็ทำใจนะ เพราะหมอบอกตั้งแต่แรกแล้วว่าดีที่สุดก็คือลืมตา สามารถรับฟังเราได้ หรือถ้าดีกว่านั้นก็คือกลับบ้านได้”
ตั๊กเล่าให้ฟังต่อว่าแม่รักษาตัวมาเป็นระยะเวลา 6 เดือนแล้ว เพราะแม่ป่วยมาตั้งแต่วันที่ 30 ธันวาคม 2558 ซึ่งแม่หลับมาตลอด กระทั่งมาเดือนมิถุนายนที่ผ่านมาอยู่ดีๆ แม่ก็สามารถลืมตาได้ และเริ่มลืมตาได้ทุกวันจนลืมตาได้ตลอด
“หมอเขาก็บอกว่าดีสุดแล้วนะ ลืมตาได้ แต่หมอก็เซอร์ไพรส์นิดหนึ่งว่าอุ๊ย แม่กระดุกกระดิกตัวได้ แขนมีแรง ขามีแรง ตั๊กว่าแม่เขาก็สู้นะ ตั๊กก็นิมนต์พระให้แม่ทำสังฆทาน ให้แม่ทำบุญทุกวันจันทร์ แล้วก็ไปทำบุญให้แม่ตลอด อยากให้แม่สร้างบุญตลอด ตั๊กว่าเป็นเรื่องอัศจรรย์ที่แม่ลุกขึ้นมานั่งได้”
ถามต่อว่า ณ ตอนนี้ แม่อยู่โรงพยาบาลเป็นเวลา 6 เดือนแล้ว หมดค่าใช้จ่ายไปมากน้อยขนาดไหน ตั๊กยอมรับว่าค่าใช้จ่ายค่อนข้างเยอะ แต่ในส่วนนี้เธอเป็นคนออกค่ารักษาแม่เอง
“ใช่ ค่ารักษาเยอะ ตั๊กดูแลค่าใช้จ่ายแม่เอง เพราะว่าตั๊กมีกำลังที่จะดูแล (พี่ใหญ่ช่วยดูแลเรื่องค่าใช้จ่ายด้วยมั้ย)ไม่หรอก คือแม่เราเนอะ เราอยากดูแลแม่เอง ในเรื่องค่าใช้จ่ายตั๊กดูแลแม่ได้ หลังจากที่แม่ออกจากไอซียูมาอยู่ห้องปกติ ค่าใช้จ่ายก็ลดลง ไม่ได้แพงมาก” ตั๊กแจกแจง
ผู้สื่อข่าวคมชัดลึก ถามต่อว่า “พี่ใหญ่” เจ้าสัวบุญชัย ให้กำลังใจอย่างไรบ้าง นักแสดงสาวเผย ว่าสามีไม่ค่อยได้พูดอะไรมาก แต่รู้ว่ากำลังใจให้กัน
“พี่ใหญ่เขาไม่ค่อยได้พูดอะไร เขาก็ไปหาแม่ ไปสวดมนต์ให้แม่ เขาจะบอกว่าพาลูกไปหาแม่นะ เพราะพี่ใหญ่บอกว่าแม่จะได้ยินเสียงหลาน (เป็นกำลังใจให้กันมั้ย เพราะเจ้าสัวก็เจอข่าวเครียดๆ เหมือนกัน) เราก็เข้าใจเขานะ เพราะในชีวิตตั๊กเองก็อยู่วงการบันเทิงมานาน เกือบครึ่งชีวิตของตั๊กเหมือนกัน ตั๊กรู้ว่าการเป็นนักแสดงเป็นดาราก็ต้องมีคนวิจารณ์บ้าง มีคนไม่เห็นด้วยบ้าง บางทีเขาไม่รู้จักเราดีพอ เขาดูจากข่าวอะไรแบบเนี่ย เอาสิ่งที่เราพูดไปตัดต่ออีกแบบหนึ่งก็ทำให้คนเข้าใจผิดไป คือเราเป็นดารามาก่อน เรารับเงินในการแสดงมาเพื่อมาเลี้ยงชีพ แต่เราก็ซื่อสัตย์ในการแสดง ถึงเราจะเป็นนักแสดงแต่ไม่เคยเอาแอคติ้งมาแสดงนอกจอหรือมาหลอกคน เราทำมาหากินมาทางด้านนี้ เรารู้แหละว่าต้องมีอะไรแบบนี้อยู่แล้ว ก็ต้องอดทน แล้วก็เข้าใจ ส่วนพี่ใหญ่เองเขาเป็นผู้ใหญ่เขาเข้าใจอะไรอยู่แล้ว มันเป็นธรรมดา เขาไม่เคยพูดอะไรเลย”
น้องข้าวหอมเยี่ยมคุณยาย
เมื่อผู้สื่อข่าวถามต่อว่า ต้องดูแลแม่และทำหน้าที่คุณแม่ดูแล “ข้าวหอม” และสามีด้วย มีเครียดบ้างไหม นักแสดงชื่อดังเผย ว่าไม่เครียด แต่ถ้าหากไม่ออกกำลังอาจจะเครียดได้
“ตอนนี้ตั๊กหันมาออกกำลังกายด้วย อายุจะ 31 แล้ว ต้องดูแลตัวเอง เราไม่ได้ออกกำลังกายเพื่อให้สวยนะ แต่ออกกำลังกายเพราะอยากให้สุขภาพดี เลยคุมอาหารและออกกำลังกาย อยากให้ร่างกายเราแข็งแรง ตอนนี้น้ำหนักน้ำหนักลดลงไปแล้ว 13 กิโล เหลือ 68 กิโลแล้ว มันค่อยเป็นค่อยไป (ตอนนี้ข้าวหอมเข้าโรงเรียนแล้ว)ตอนนี้ข้าวหอมเข้าโรงเรียนแล้ว ตอนไปส่งเป็นพี่ใหญ่ไปส่ง ตอนไปรับเป็นตั๊ก เพราะตอนเช้าตั๊กทำกับข้าว วันแรกที่ไปส่งที่โรงเรียน เขาร้องไห้จะกลับบ้าน แต่ตอนนี้เขาก็โอเคแล้ว มีเพื่อนๆ เริ่มชินกับโรงเรียน” ตั๊กกล่าวทิ้งท้ายอย่างอารมณ์ดี
ขอบคุณเครดิตรูปภาพ จากเฟซบุ๊ก "ตั๊ก" บงกช