บันเทิง

มือเก่าหัดเหงา(3)

มือเก่าหัดเหงา(3)

02 พ.ค. 2559

เล่นหูเล่นตา : มือเก่าหัดเหงา(3) : โดย...เจนนิเฟอร์ คิ้ม

 
     ความที่เคยถูกประกบประคบประหงมมาเป็นเวลานานจนเคยตัว เมื่อถึงเวลาที่จะต้องอยู่คนเดียวทำอะไรทุกอย่างคนเดียวไม่มีใครให้หันไปปรึกษาหรือสุมหัวนินทาชาวบ้านอย่างที่เคยเป็นมามันก็เหงาเป็นธรรมดา ข้อดีของความเหงาก็คือ...เราจะทนอยู่กับมันได้ไม่นานก็จะ “คัน” ออกไปหาเรื่องใส่ตัวหาเหาใส่หัวจนกว่าจะเจออะไรแปลกใหม่หรือปัญหาใหม่ๆ แต่นั่นก็ทำให้ชีวิตเกิดความท้าทายและมีสีสัน อะไรที่ไม่เคยเป็นไม่เคยทำเราก็จะต้องพาตัวเองไปค้นหาจนพบว่า...เอ่อ...มันยากตรงไหน?...กรูก็ทำเองได้นี่หว่า!....สนุกดีด้วยนิ!
 
     “อีก 300 เมตรเลี้ยวซ้าย” น้ำเสียงสุภาพ(ไม่หือไม่อือไม่ตอบโต้และไม่เตือนกรูตอนเลี้ยวผิด) ดังมาจากกูเกิลแม็พที่คอยบอกทางให้ไปไหนต่อไหนบนมือถือ ทำให้คนหลงทิศหลงทางอย่างฉันมีชีวิตที่เปลี่ยนไปคือ...แม้จะคอยบอกทางกรูก็ยังหลงทางอยู่ดี! กว่าจะหาทางเจอ ถ้าคนในกูเกิลแม็พมันคุยตอบโต้ได้มันคงด่าฉันว่า...“อิฟาย!...ชาติที่แล้วไปปล่อยหมาปล่อยแมวที่ไหนชาตินี้ถึงหลงทางอยู่นั่น กรูบอกทางจนปากจะฉีกอยู่แล้ว!” เอาเถอะ!ในที่สุด...ฉันก็ไปถึงจุดหมายจนได้ ความจริงก่อนหน้านั้นตอนที่ฉันยังไม่มีชื่อเสียงฉันก็เป็นคนที่ไปไหนมาไหนคนเดียวและพึ่งพาตัวเองอยู่แล้ว ดังนั้นโหมดการช่วยเหลือตัวเองของฉันแค่ปิดไปชั่วคราวแล้วก็กลับมาเปิดใช้ใหม่ได้เหมือนเดิม ตราบเท่าที่เรายังรู้จักปรับตัวเพื่อความอยู่รอด หรือต่อให้ไม่เคยทำสิ่งนั้นมาก่อนเราก็ทำได้ถ้ามันจำเป็นต้องทำ!
 
     ความเก่งกับความเหงามันเป็นคนละเรื่องกัน ถึงจะเก่งแค่ไหน แต่คนเราก็ยังต้องการเพื่อนอยู่ดี ไม่มีใครอยากอยู่คนเดียวหรอก เพียงแค่ฉันไม่ได้อยากอยู่กับใครตลอดไป  ขอแค่ชั่วคราวไม่ค้างคืน เอ๊ย!ไม่ถาวรได้มั้ยคะคุณตำรวจ มันก็แค่เหงาเป็นพักๆ และเมื่ออยู่กับใครนานๆ ไม่รู้เป็นเพราะขี้รำคาญหรือเอาแต่ใจก็แล้วแต่ มันเลยต้องหาหนทางอยู่คนเดียวอย่างโดดเดี่ยวให้ได้ บอกแล้วว่าทุกเรื่องราวแม้จะดูแย่ๆ มันก็ยังมีข้อดีซ่อนอยู่ ความเหงามันทับซ้อนอยู่กับคำว่า “อิสระ” อยากทำอะไรก็แค่ออกไปทำ ไม่ต้องขอความเห็นชอบจากใครหรือเห็นแก่ใคร....งั้นฉันไปล่ะนะ!
 
     “ตาล!” ฉันเปิดประตูพรวดเข้าไปแล้วตะโกนทักทายน้องเจ้าของร้านทำผมอย่างตื่นเต้นและดีใจราวกับเจอของที่หายไป ฉันเคยเจอ “น้องตาล” เมื่อปีสองปีก่อน แต่ทำเบอร์หายและจำไม่ได้ว่าร้านนี้อยู่ที่ไหน ก่อนมาภูเก็ตฉันนึกถึงตาลและรู้สึกเสียดายที่ติดต่อไม่ได้ คราวที่แล้วแวะมาทำผมโดยบังเอิญแล้วเกิดคุยถูกคอ เรียกว่าถูกชะตาจะดีกว่า ถ้ามีวาสนาหรือโชคชะตาร่วมกันไม่ว่าจะอย่างไรมันก็ได้เจอกันอยู่ดี ฉันเชื่อของฉันอย่างนั้น....แล้วฉันก็ขับรถมั่วๆ มาแถว “ถ.หลวงพ่อ” บังเอิญหันไปเจอร้านทำผมที่ทาสีร้านสีเทาๆแบบฝรั่งดูคุ้นตามีตัวเขียนภาษาอังกฤษเขียนว่า “kurf” (093)584-1223 ฉันร้องกรี๊ดรีบวิ่งถลาไปเปิดประตูแล้วก็ได้เจอตาลอีกครั้ง คุณเชื่อเรื่องโชคชะตาพาเรามาเจอกันรึเปล่า?...หรือบางทีมันอาจเพียงแค่คำภาวนา “เบาๆ” ในใจเรา
 
     ว่าแล้วก็ทำสีผมซะเลย ตาลจบมาจาก สถาบัน "Vidal Sassoon" ที่อังกฤษ นางจบปริญญาตรีที่ธรรมศาสตร์ ไม่ธรรมดานะคะคุณ ประวัติการศึกษาดีงาม จบใหม่ๆ ก็ไปเป็นฝ่ายคอสตูมให้แก่เอเอฟ ฉันว่าความฝันของหลายคนเริ่มต้นจากความคุ้นเคยในอดีต สิ่งที่เห็นและสิ่งที่เป็นในวัยเยาว์ได้หล่อหลอมและเพาะบ่มความคิดความอ่านจนกลายมาเป็นความฝันที่เราลืมตาฝันและปั้นจนมันเป็นความจริงที่ไม่ใช่เราคนเดียวที่มองเห็นแต่ทุกคนจะได้เห็นในสิ่งที่เราอยากให้เห็น...
 
     ฉันอ่านหนังสือที่น้อง “ปุ๋ยปุ๋ย” แฟนคลับส่งมาให้อ่านเป็นประจำ(ไม่รู้นางกลัวฉันโง่หรือเหงา!) เล่มนี้ชื่อว่า “ทฤษฎีความสุข” (The Theory of Happiness) เขียนโดย “ยอดภักดี” เป็นหนังสือที่ดีมากอีกเล่ม ซึ่งแม้แต่คนที่ฉลาดอยู่แล้วยังต้องอ่าน เพื่อให้เข้าใจธรรมชาติของความคิดและอารมณ์ตัวเราเองมากขึ้น อ่านง่าย...เข้าใจง่าย...และบางทีมันก็โดนใจจนน้ำตาไหล...ฉันรักทุกตัวอักษรของคนเขียน รู้แล้วว่า...การรู้จัก “ความคิด” ของคนคนหนึ่งสำคัญกว่าแค่รู้จัก “ตัว” คนคนนั้น...ข้อความที่โดนใจคือ...
 
 
"ฝันบนโลกนี้มีอยู่สองแบบ
 
คือแบบลืมตาฝันกับแบบหลับตาฝัน
 
แบบแรกเราจะเหนื่อยแค่กาย
 
แต่ถ้าสำเร็จเราจะสุขที่ใจ
 
แบบที่สองเราจะเหนื่อยทั้งกายและใจ
 
เพราะมัวแต่วิ่งตามความฝัน
 
แต่วิ่งหนีความจริง
และสิ่งที่ฝันก็...เลือนลาง"
 
-ธรรมทาน-
 
     ฉันคิดว่า...ต่อให้ “ฝัน” มันก็ต้องลืมตามาเผชิญหน้ากับ “ความจริง” ไม่งั้น... “ความฝัน” มันจะเป็นเพียง “ความเพ้อฝัน” ที่ไม่มีวันเป็นจริง!...เพราะความสมดุลของชีวิตคือการหาสมดุลหรือจุดกึ่งกลางระหว่าง “ความฝัน” กับ “ความเป็นจริง” ให้เจอ...ในทางพุทธของเราคือ...การเดิน “สายกลาง” นั่นเอง (ซึ่งตัวฉันก็เป็นแบบนั้นอยู่แล้ว เดี๋ยวจะหาว่าคุย...เป็นคนสายกลาง...กลางคืน!)
 
     กลับมาหาน้องตาลดีกว่า นางทำสีผมได้แจ่มมากขอบอก ใช้แต่ผลิตภัณฑ์ดีๆ จากต่างประเทศ (ซึ่งก็คงคล้ายกันทุกร้าน) ความแตกต่างอยู่ที่ฝีมือและเทคนิคของการผสมสี...นางช่างทุ่มเทและหลงใหลในสิ่งที่ทำ...คนเราถ้าทำอะไรด้วยความรักและความหลงใหล (จนถึงขั้นหมกมุ่นงี้) แล้ววัดผลที่ตามมาตรง “ความพึงพอใจ” ไม่ใช่ “กำไร”...สิ่งดีๆ ก็จะตามมาตอบแทนความรักของเราเอง (วุ้ย!...เป็น “สาระ ล่ำซำ” มั่กๆ แปลว่า...มากด้วย “สาระ” ค่ะคุณที่รัก)...แล้วฉันก็ได้สีผมแจ่มๆ ฝีมือนางมาเป็นเกียรติเป็นศรี(สี)บนศีรษะ
 
     ฉันกับนางเข้าทางกัน เพราะเป็นผู้หญิง “สายเปย์” (pay-จ่ายหรือทุ่มหนัก) ผสมกับสาย "โฮป" (Hope-ความหวังที่มักจะเลยไปทางเพ้อฝันซะมากกว่า) เสร็จงานแล้วเราจึงนัดกันไปแอ๊วต่อในร้านที่มีเครื่องดื่มเย็นๆ จิบผ่อนคลาย (เมาแล้วหลับ...ไม่ได้เมาแล้วขับหรือ "ขี่" ใครนี่คะคุณตำรวจ!....อย่างเก่งก็อ้วกหลาว!") ที่ร้าน “Krafe&Co.,” ถ.เยาวราช ชิลๆสบายๆ คนไม่พลุกพล่าน...เอารสชาติไม่ได้เอารสนิยมจึงไม่ต้องแสดงตัว...เข้ามุมอย่างเดียวและนี่คือคุณสมบัติของคนมีชื่อเสียง...ไม่ทำตัวให้เป็นจุดเด่นในเวลาส่วนตัวหรือนอกเวลางาน...แค่ใส่หมวกสวมแว่นกันแดดในเวลากลางคืนแต่งตัวเป็นซัมบอดี้เพื่อพรางตัว...เอิ่ม...แต่งเต็มขนาดนี้เอาสปอตไลท์ตามส่องมั้ยเมิง?...ความจริงฉันก็สวมแค่ยกทรงกางเกงใน แล้ว...สวมเสื้อยืดกางเกงยีนทับ หน้าสด(สไตล์ทัวร์จีน!)ใครก็จำไม่ได้ ทั้งร้านมีแต่ชาวต่างชาติและฉัน “ชาติพยัคฆ์” (จันทร์นี้เสนอตอนจบแล้วค่าคุณผู้ชม)...ที่พักอยู่ใกล้ๆ เดินกลับยังได้เลยสนุกใหญ่ บอกแล้วว่า... “ข้าฯมิได้ชอบร่ำสุราแต่ชอบบรรยากาศในการร่ำสุรา” สุดท้ายเมาน้ำลายมากกว่า! ส่วนน้องตาลนางอยู่สายแข็งอะไรก็ทำให้นางมึนไม่ได้ ถ้าร้านไม่ปิดตอนเที่ยงคืนนางคงดื่มทุกอย่างหมดร้านแล้วยังเฉยๆ อยู่ การคุยกันถูกคอโดยมีการดื่มอะไรเย็นๆ เป็นตัวช่วยทำให้คืนนั้นสนุกเฮฮา...การสนทนากับใครที่เข้าใจและเข้ากันได้คือตัวทำละลายความเหงาอย่างดี ดีกว่าอยู่กับคนที่ไม่ใช่แล้วเหงาทั้งๆ ที่มีใครอยู่ข้างๆ มันก็เจ็บปวดเกินไป รู้รึยังว่าทำไมฉันจึงเลือกที่จะอยู่คนเดียวแล้วเหงาบางวันดีกว่าอยู่กับใครสักคนที่ทำให้กรูเหงาแมร่งได้ทุกวัน...คิดถึงเธอทุกทีที่อยู่คนเดียว...ยังดีกว่า...คิดถึงมรึงทุกทีที่อยู่ด้วยกัน! เพราะอยู่แค่ตัว...แต่ไม่มีใจ...(เจ็บใจตรงนี้!)