บันเทิง

โค้ชเช-โค้ชเซียะโค้ชต่างด้าว “หัวใจไทย”

โค้ชเช-โค้ชเซียะโค้ชต่างด้าว “หัวใจไทย”

27 เม.ย. 2559

โค้ชเช-โค้ชเซียะโค้ชต่างด้าว “หัวใจไทย” : คอลัมน์ มองผ่านเลนส์คม โดย... นันทพร ไวศยะสุวรรณ์

 
          ไม่เพียงข่าวการขอสัญชาติของโค้ชแบดมินตัน “เซียะ จื่อ หัว” ที่ “น้องเมย์” รัชนก อินทนนท์ เอ่ยปากขอกับท่านนายกฯ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เท่านั้น ทว่า ก่อนหน้านี้ เอกอัครราชทูตเกาหลีประจำประเทศไทย โนห์ กวาง อิล ก็เดินหน้าขอสัญชาติไทยให้ "เช ยอง ซอก" เฮดโค้ชเทควันโดทีมชาติไทยด้วยเหมือนกัน
 
          จะว่าไป บุคคลต่างด้าวที่ทุ่มเท เสียสละ และสร้างชื่อเสียงให้บ้านเรามีหลายคน พวกเขาอยู่จนเกิดความรักและผูกพัน ถึงขนาดอยากเป็นพลเมืองไทยก็มีให้เห็นไม่น้อย
 
          อย่างโค้ชเช เราเห็นชัดเจนว่าเขาสร้างผลงานและชื่อเสียงด้านกีฬาเทควันโดให้เรามาเป็นเวลานานแล้ว และยังรักประเทศไทย มีความสนิทสนมกับนักกีฬาไทย เป็นที่รู้จักของประชาชนชาวไทยเป็นอย่างดี
 
          ซึ่งเป็นเรื่องน่าดีใจ ที่เราจะได้เห็น 2 โค้ชนักกีฬา แสดงความจำนง และบอกถึงความรู้สึกที่มีต่อประเทศที่เขาอยู่ เสมือนเป็นคนในแผ่นดินนี้! 
 
          ความสำเร็จของ “น้องเมย์” รัชนก กับการผงาดขึ้นเป็นมือ 1 ของโลก แน่นอนว่าเจ้าตัวต้องทุ่มเท และหมั่นฝึกฝนอย่างเต็มกำลัง แต่ขออย่าได้มองข้ามคนสำคัญอย่าง “ผู้ฝึกสอน” ไปเด็ดขาด
 
          เพราะหากไม่ได้พวกเขา นักกีฬาของเราอาจขาดทักษะการเล่นอย่างถูกวิธี ไร้ระเบียบวินัยในการฝึกซ้อม รวมทั้งไม่มีแท็กติกต่างๆ ที่จะเอาชนะคู่แข่งได้
 
          ซึ่งโค้ชเซียะ บอกว่าตลอดระยะเวลา 365 วันใน 1 ปี น้องเมย์ซ้อมทุกวัน ไม่มีวันหยุด!
 
          จึงบอกได้ตรงนี้เลยว่า ความสำเร็จของ เมย์-รัชนก ในวันนี้ คงเกิดขึ้นได้ยากเต็มที หากไม่มีโค้ชเซียะยืนเคียงข้างตลอดเวลากว่า 15 ปี ที่น้องเมย์มีเทรนเนอร์คู่ใจ ทั้งดุ ทั้งปลอบ เคี่ยวขนาดที่เมย์หวดลูกขนไก่ทั้งน้ำตา มันแสดงผลในปลายทางแล้ว
 
          โค้ชเซียะ เกิดเมื่อปี 1966 ที่มณฑลหูเป่ย เคยเป็นผู้ฝึกสอนให้ทีมบ้านเกิด และยังเป็นคู่ฝึกซ้อมให้อดีตนักกีฬาชื่อดัง “หลี่ หย่ง ปอ” ซึ่งภายหลังเขากลายมาเป็นโค้ชประจำทีมชาติจีน นั่นจึงทำให้โค้ชเซียะ หมดหน้าที่ไปโดยปริยายในปี 2534
 
          ซึ่งเวลานั้น เป็นจังหวะเดียวกับโรงเรียนบ้านทองหยอด ต้องการครูผู้ฝึกสอนพอดี โค้ชเซียะ จึงเข้ามารับหน้าที่นับแต่นั้นเป็นต้นมา การฝึกฝนอย่างเข้มงวด เริ่มตั้งแต่เมย์ยังจับไม้แบดไม่เป็น “โค้ชเซียะ” ก็พาให้ศิษย์ตัวน้อยๆ วัยเพียง 7 ขวบ คว้าแชมป์การแข่งขันรายการแรกที่จ.อุดรธานี มาครองได้สำเร็จ
 
          และด้วยสายตาอันแหลมคมของโค้ช จึงเดินหน้าขอ “แม่ปุก” กมลา ทองกร ผู้อำนวยการบ้านทองหยอด และพ่อแม่ของเมย์ เพื่อปั้นเด็กคนนี้ให้ไปไกลสุดปลายฝันให้จงได้
 
          แม้เวลานี้ ทางจีนได้ติดต่อให้โค้ชเซียะกลับไปเป็นโค้ชที่จีน แต่โค้ชปฏิเสธ แม้จะได้เงินเดือนจะสูงมากก็ตาม 
 
          ที่ไม่ไปก็เพราะเขารักเมืองไทย รักสิ่งที่แกทำที่บ้านทองหยอด ที่สำคัญ เขารักน้องเมย์ เด็กหญิงตัวเล็กๆ ที่เขาเห็นมาตั้งแต่อายุ 5 ขวบ เคียงบ่าเคียงไหล่มาด้วยกัน! 
 
          เรียกว่าทุกช่วงวัยของชีวิต ล้วนอยู่ในสายตาของโค้ชจีนคนนี้มาโดยตลอด
 
          เด็กน้อยที่วิ่งรอบโรงงานขนม ที่ตอนนี้กลายเป็นแชมป์โลกแบดมินตันไปแล้ว!!
 
          เวลาเดียวกัน...จากวันนั้น จนถึงวันนี้ “โค้ชเซียะ” ก็ยังถือหนังสือเดินทางจีน และยังเป็นคนจีน!