แพทย์ผ่าตัดใส่ท่อช่วยหายใจ‘แดง จิตกร’ | คมชัดลึก

              ความคืบหน้าอาการป่วยของนายสมจิต เกตุภูเขียว หรือ “แดง จิตกร” อายุ 46 ปี นักร้องลูกทุ่งหมอลำชื่อดังป่วยด้วยโรคมะเร็งลำคอระยะสุดท้าย อาการทรุดหนัก ร่างกายซูบผอมเหลือเพียงหนังหุ้มกระดูก ภายหลังถูกส่งตัวจากโรงพยาบาลคูเมือง อ.คูเมือง มารักษาต่อที่โรงพยาบาลศูนย์บุรีรัมย์ เมื่อช่วงเย็นวันที่ 14 เมษายน ที่ผ่านมา ทันทีที่ถึงโรงพยาบาลศูนย์บุรีรัมย์ แพทย์ได้ตรวจอาการอย่างละเอียด เบื้องต้นพบว่ามีอาการเหนื่อยหอบอ่อนเพลีย หายใจไม่เต็มที่ อาการเป็นน่าห่วง

              ล่าสุดเมื่อวันที่ 15 เมษายน แดง จิตกร ยังนอนรักษาตัวอยู่ในห้องไอซียูโรงพยาบาลศูนย์บุรีรัมย์ เนื่องจากอาการยังน่าเป็นห่วง โดยแพทย์ได้ผ่าตัดใส่ท่อช่วยหายใจบริเวณลำคอ เนื่องจากคนไข้มีอาการเหนื่อยหอบ หายใจติดขัด และออกซิเจนในเลือดต่ำ หลังการผ่าตัดใส่ท่อช่วยหายใจ พบว่าคนไข้หายใจสะดวกมากขึ้น แต่ยังต้องเฝ้าดูอาการและภาวะแทรกซ้อนอย่างใกล้ชิด โดยมีนางอุไรวรรณ เกตุภูเขียว ภรรยา พร้อมลูกๆ ทั้ง 3 คน รวมถึงพ่อและแม่ของแดง ก็ได้มาเฝ้าดูอาการอย่างใกล้ชิด

              นพ.ภูวดล กิตติวัฒนาสาร รองผู้อำนวยการ ฝ่ายการแพทย์ โรงพยาบาลศูนย์บุรีรัมย์ ระบุว่า หลังจากรับผู้ป่วยเข้ามาที่โรงพยาบาลเมื่อช่วงเย็นวันที่ 14 เมษายน ที่ผ่านมา ได้ตรวจวัดชีพจร ความดัน พบว่า ผู้ป่วยมีอาการเหนื่อยหอบมาก ออกซิเจนในเลือดต่ำ ซึ่งอาจเกิดจากก้อนเนื้อที่บริเวณลำคอโต ทำให้ไปกดทับทางเดินหายใจ จึงหายใจไม่สะดวก และออกซิเจนในปอดไม่พอ ทางแพทย์เจ้าของไข้คือ นพ.รักศักดิ์ อำไพพันธ์ ได้หารือกับญาติและคนไข้ว่าควรจะเจาะคอเพื่อใส่ท่อช่วยหายใจ เพื่อให้คนไข้หายใจสะดวกมากขึ้น ซึ่งหลังจากผ่าตัดใส่ท่อช่วยหายใจที่บริเวณคอเสร็จเรียบร้อย ปรากฏว่าระดับออกซิเจนเพิ่มขึ้นเป็น 75 และค่อยๆ ขยับขึ้นเรื่อยๆ ปัจจุบันระดับออกซิเจนในเลือดอยู่ที่ 100 ซึ่งถือว่าเป็นระดับปกติ และเมื่อนำเข้าห้องไอซียู คนไข้ก็สามารถพูดคุยตอบโต้ได้ ส่วนเรื่องภาวะของโรคที่ป่วยก็จะต้องดำเนินการรักษาตามอาการต่อไป

              ขณะเดียวกันมีรายงานจากโรงพยาบาลศูนย์บุรีรัมย์ว่า หลังจากอดีตนักร้องลูกทุ่งชื่อดังได้เข้ามารักษาอาการป่วยยังคงมีแฟนคลับทั้งใน จ.บุรีรัมย์ และต่างจังหวัดที่ทราบข่าวเดินทางมาเยี่ยมให้กำลังใจอย่างไม่ขาดสาย ซึ่งทางโรงพยาบาลขอความร่วมมือให้เข้าเยี่ยมตามเวลาที่กำหนด คือเวลา 11.00-12.00 น. และเวลา 18.00-19.00 น. เพื่อจะได้ไม่รบกวนคนไข้ เนื่องจากแพทย์ต้องการให้พักผ่อนอย่างเต็มที่