บันเทิง

พบกับ‘บุปผาอาริกาโตะ’หนังเรื่องล่าสุดของ‘ต้อม-ยุทธเลิศ’

พบกับ‘บุปผาอาริกาโตะ’หนังเรื่องล่าสุดของ‘ต้อม-ยุทธเลิศ’

04 มี.ค. 2559

พบกับ“บุปผาอาริกาโตะ”หนังเรื่องล่าสุดของ “ต้อม-ยุทธเลิศ” : สัมภาษณ์พิเศษ

 
          หลังจากไปชิมลางกำกับหนังให้ค่ายทรานฟอร์เมชั่นเมื่อปีที่แล้ว กับภาพยนตร์ฟีลกู๊ดอย่าง “ตุ๊กแกรักแป้งมาก” มาในปีนี้ “ต้อม” ยุทธเลิศ สิปปภาค ก็กลับมาร่วมงานกับ บริษัทสหมงคลฟิล์ม อินเตอร์เนชั่นแนล ในฐานะผู้กำกับฯ อีกครั้งในภาพยนตร์แนวถนัด อย่าง “บุปผาอาริกาโตะ” ซึ่งภาคนี้ได้ “เก้า สุภัสสรา ธนชาต” มารับบทบุปผาคนใหม่ พร้อมเหล่านักแสดงจากภาพยนตร์เรื่อง แฟนฉัน นำทีมโดย "แน็ก" ชาลี ปอทเจส “แจ๊ค” เฉลิมพล ฑิฆัมพรธีรวงศ์ “หยก” ธีรนิตยาธาร “อ๋อง” ธนา ตันตรานนท์ “ออฟ” อภิชาญ เฉลิมชัยนุวงศ์ “เก็ท” ตรีวรัตถ์ ชุติวัฒน์ขจรชัย ที่มาร่วมสร้างความหลอนและเสียงฮา ซึ่ง “คมชัดลึก” ก็ไม่พลาดที่จะเจียดเวลาผู้กำกับคนดังมาพูดคุยถึงภาพยนตร์เรื่องนี้ 
 
@ กับภาพยนตร์เรื่องบุปผาอาริกาโตะ มีความเหมือนหรือแตกต่างกันกับบุปผาราตรีเวอร์ชั่นเก่าๆ อย่างไร
          ไม่เเหมือนนนะ เพราะภาพยนตร์เรื่องนี้ ไม่ใช่หนังภาคต่อ ดังนั้นเนื้อเรื่องหรือแม้แต่นักแสดง ก็จะไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับบุปผาราตรีคนเดิม สิ่งที่เหมือนกันมีสิ่งเดียว คือเราใช้ชื่อนางเอกว่าบุปผาเหมือนกัน เท่านั้นเอง ส่วนสาเหตุที่ไม่เปลี่ยนชื่อเรื่อง เป็นเพราะเราต้องการให้คำว่า บุปผา เป็นตัวกำหนดคาแรกเตอร์หนัง ว่าตอนนี้เรากำลังจะทำหนังผี ดังนั้นการใช้ชื่อนี้ คือการกำหนดแนวหนังอย่างชัดเจนว่าเราต้องการทำหนังแนวนี้
 
 
@ ภาพยนตร์เรื่องนี้ได้ไอเดียมาจากไหน
          จากความงมงายของคนที่เชื่อว่า เปลี่ยนชื่อแล้วชีวิตจะดี เราอยากแสดงให้เห็นว่าชื่อไม่ใช่ตัวกำหนดว่าชีวิตจะดีหรือไม่ดี ในโลกใบนี้ มีคนชื่อซ้ำกันมากมาย แต่ชีวิตของคนเหล่านั้นต่างไม่มีอะไรเหมือนกัน สิ่งเหล่านั้นเป็นสิ่งที่บ่งบอกว่าชื่อไม่เกี่ยวกับชีวิต นอกจากนี้เมื่อเทคโนโลยีก้าวหน้า ยุคสมัยมันเปลี่ยนไปเรื่อยๆ และหนังผีในเมืองไทยก็มีมากมาย หากใครชอบดูหนังผีจะรู้ว่าแนวหนังผีของไทยมันจะไปทางไหน หนังเรื่องบุปผาราตรีเวอร์ชั่นเก่า มันผ่านมาเป็น 10 ปีแล้ว สมัยนั้นมีเฟซบุ๊กหรือยังผมก็ไม่แน่ใจ ผมแค่อยากรู้ว่าคนยุคใหม่เขามองหนังผีอย่างไรเท่านั้น
 
 
@ หนักใจไหม หลายคนอาจความหวังว่าต้องสนุกเหมือนเดิม
          ผมเชื่อว่าคนที่คาดหวังส่วนใหญ่เป็นคนรุ่นเก่า อย่างนักแสดงเป็นบุปผาคนใหม่ คือเก้า (สุภัสสรา ธนชาต) ที่แสดงซีรีส์ฮอร์โมน ซึ่งผมไม่มั่นใจว่า คนที่ดูซีรีส์ฮอร์โมนจะเคยดูภาพยนตร์เรื่องบุปผาราตรีหรือเปล่า ตอนนี้เรากำลังทำหนังยุคฮอร์โมน หากถามถึงฉากความรุนแรงก็ต้องมีบ้าง ถามว่ารุนแรงแค่ไหน ผมยังตอบไม่ได้ เพราะหนังเรื่องนี้ยังไม่ผ่านกองเซ็นเซอร์เลย เพราะยังตัดต่อไม่เสร็จ หากหนังจะต้องติดเรตก็ปล่อยให้มันติดไป เพราะเรื่องบุปผาราตรี เวอร์ชั่นก่อนก็ติดเรต 18+ อยู่แล้ว 
 
 
@ บุปผาราตรีทั้ง 3 ภาค ถ่ายที่เมืองไทย ทำไมเรื่องนี้ต้องไปถ่ายที่ญี่ปุ่น 
          ถ่ายที่เมืองไทยมันน่าเบื่อ คนดูมันก็เบื่อโลเกชั่นเมืองไทย ถ้าบุปผาอยู่เมืองไทย ก็ต้องอยู่ที่ตึกออสก้าร์ มันไม่ไปไหน สตอรี่มันไม่สามารถเดินได้ในโลเกชั่นแบบนั้น เพราะ 3 ภาคถ่ายอยู่ที่เดิม แต่ถ้าเราไปในที่ใหญ่ๆ กว้างๆ ไปอยู่ในสถานที่แปลกตา ผมมั่นใจว่ามันจะน่าสนใจกว่า แต่ถ้าให้เลือกคำว่าน่ากลัวกับน่าสนใจ ตอนนี้ผมขอเลือกคำว่าน่าสนใจ ภาคนี้เราจึงไปถ่ายที่ญี่ปุ่น ไปถ่ายกลางหิมะ ผมคิดว่าถ้ามีบุปผาไปตายที่ญี่ปุ่นมันน่าสนใจ ส่วนที่เลือกเป็นเมืองมิเซโกะ เพราะคนไทยฮิต มีคนไทยไปเที่ยวที่นั่นเยอะ ที่สำคัญเดินทางไปสะดวก ถ้าจะมีคนไทยสักคนไปตายที่นั่นมันก็ไม่นใช่เรื่องน่าแปลก 
 
 
@ การเปลี่ยนโลเกชั่น ทำให้มีอุปสรรคในการถ่ายทำมากขึ้นหรือเปล่า 
          อุปสรรคมีทุกที่ โดยเฉพาะเรื่องนี้ เราถ่ายทำกลางพายุหิมะ โดยไม่มีเบรกนั่นคือปัญหา ว่าร่ายกายของนักแสดง และทีมงานจะทนความหนาวลบ4 ลบ5 องศา ได้นานขนาดไหน อุปกรณ์ที่เราใช้ในการถ่ายทำจะทดได้ขนาดไหน เรียกว่าไปทำงานครั้งนี้ วัดใจกันไปเลย นักแสดงต้องทุ่มเทมาก เพราะทีมงานของเราน้อยมาก เรามีทีมงานทั้งหมด 6 คน ตลอดการถ่ายทำทีมงานต้องทำทุกอย่าง เรียกว่าคนหนึ่ง ต้องทำหน้าที่ 2-3 อย่าง ในแต่ละวัน เพราะการถ่ายทำต่างประเทศ จะมีกำหนดเวลาน้อย ภาพยนตร์เรื่องนี้ เราไปถ่ายทำที่ญี่ปุ่น 13 วันกลับมาถ่ายที่เมืองไทยอีก 2 วัน รวมเบ็ดเสร็จ 15 วัน แต่เราถ่ายทำกันทั้งวันทั้งคืน วันสุดท้ายของการถ่ายทำ ผมน็อกไปเลย เพราะทำงานเกินกำลัง แต่เราก็ทำภารกิจเสร็จสิ้นไปด้วยดี ผมแฮปปี้มาก เพราะมันได้อะไรมากกว่าที่เราต้องการ ยอมรับว่าเหนื่อยแต่การทำงานครั้งนี้ ก็เต็มไปด้วยความสนุก เวลาที่ทีมงานและนักแสดงพูดถึงการถ่ายทำที่ญี่ปุ่น ทุกคนจะมีแต่รอยยิ้ม 
 
 
@ นักแสดงนำ ทำไมต้องเป็น “เก้า” สุภัสสรา และ “แน็ก” ชาลี
          จริงๆ แล้วผมต้องการใช้นักแสดงหน้าใหม่ เพราะมีนักแสดงน้อยคนมาก ที่จะเล่นเป็นบุปผาได้เทียบเท่าพลอย (เฌอมาลย์ บุญยศักดิ์) แต่ด้วยเหตุผลทางการตลาด ทางสตูดิโอเลยเสนอว่าให้เอา “แน็ก“ ชาลี และ ”เก้า” สุภัสสรา มาลองแคสบทดู ซึ่งเราก็โอเค คือเราดูเรื่องความเหมาะสมเป็นหลักอยู่แล้ว พอทางสตูดิโอเสนอมา เราก็สนใจเพราะแน็คเคยเล่นเรื่อง แฟนฉัน ซึ่งเรื่องนี้ ยังอยู่ในความทรงจำของผม ส่วนเก้าก็ถือว่าเป็นผู้หญิงที่ดังที่สุดในยุคนี้ เราก็ตามผลงานเขามาบ้าง นอกจากนี้ ทั้งคู่ก็ไม่ค่อยรับงานแสดงภาพยนตร์ การนำทั้งคู่มาอยู่ในภาพยนตร์เรื่องบุปผาราตรี มันอาจจะเป็นองค์ประกอบที่ไม่เข้ากัน แต่ในแง่มุมของการกำกับฯ มันน่าสนใจ 
 
 
@ ต้องเดินทางไปถ่ายทำต่างประเทศ ใช้ทุนเท่าไหร่
          จริงๆ ทุนมันต้องเยอะ ตัอง 20 ล้านขึ้นอยู่แล้ว แต่เรื่องนี้ไม่ถึงนะ เพราะเราตั้งใจตั้งแต่แรกแล้วว่าจะใช้งบไม่เยอะ เราใช้ทุนไปประมาณ 13 ล้านเท่านั้น ยอมรับว่าเซฟหลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็นเวลาในการถ่ายทำ หรือแม้แต่ทีมงาน ก็มีจำนวนไม่เยอะ พอคนน้อยเราก็จะได้ความรวดเร็วในการทำงาน อย่างเรื่องนี้ ผมไม่ใช้ตากล้อง คือผมจะเป็นคนถ่ายทำเอง ซึ่งมันประหยัดขั้นตอนการทำงานได้เยอะ ผมไม่ต้องนั่งมองมอนิเตอร์ ตัดเวลาเช็กกล้องออกไป ด้วยความที่เป็นคนถ่ายเอง ดังนั้นเราจะใกล้ชิดกับนักแสดง สามารถอธิบายกับนักแสดงได้เลยว่าเราต้องการให้เขาแสดงแบบไหน เมื่อได้เวลาเพิ่มขึ้นกลายเป็นการเพิ่มคิวในการถ่ายทำ มีเวลาในการถ่ายมากขึ้น เพราะถ่ายเมืองนอกต้องการความไวสูงมาก ยิ่งเป็นเมืองที่มีหิมะแดดก็จะหมดไวมาก
 
 
@ คาดหวังมากแค่ไหน
          เราไม่คาดหวัง จากหนังเรื่องนี้ แต่เราตื่นเต้น กลัวหนังเสร็จแล้วคนดูจะผิดหวัง เพราะตอนนี้ มันยังตัดไม่เสร็จ หลายคนอาจเซอร์ไพรส์ แต่มันก็เป็นการทำหนังคนละเรื่อง ถ้าไม่ทำเงินเสี่ยเจียงอาจจะด่า แต่ทำเงินก็ถือว่าโชคดี เพราะผมแฮปปี้กับการทำหนังเรื่องนี้ มันสนุก 
 
 
@ผลงานหลังจากนี้
          จะทำหนังต่อ เรื่องมือปืนโลกพระจันทร์ ทำให้พระนครฟิลม์ จริงๆ ผมล็อกนักแสดงไว้หมดแล้ว ตอนนี้เหลือบทจากยุทธเลิศ ซึ่งช่วงนี้ผมขึ้เกียจเขียน เพราะหลังจากลูกผมเสีย สมาธิมันไม่ไป เพราะเราทำใจไม่ได้ ส่วนชื่อนักแสดง ยังบอกไม่ได้มันเป็นความลับ น่าจะเริ่มทำเรื่องนี้กลางปี ตอนนี้ผมทำงานกำกับภาพยนตร์อย่างเดียวก็อยู่ได้นะ ไม่เคยคิดไปกำกับละครเพราะผมไม่มีเวลา ทำเรื่องนี้ เสร็จเรื่องนี้ ก็มีเรื่องซ้อนรออยู่ ไม่ว่าง ถ้าว่างก็คงไป ที่ผ่านมา มีคนมาจีบเยอะเหมือนกัน ทุกวันนี้ก็ยังมี แต่ผมไม่ว่าง มันติดหนัง ส่วนตอนที่ผมว่างก็ไม่สนใจ เพราะรู้สึกว่าทำละครมันกินเวลา เอาเวลาไปทำหนังดีกว่า ทุกอาชีพถ้าประสบความสำเร็จอยู่ได้ แต่ถ้าเฟลทุกอย่างก็จบ ปัญหามีอย่างเดียว คือภาพยนตร์มันไม่มั่นคง หลายคนอยู่ไม่ได้ แต่ผมอยู่ได้ 
 
          ภาพยนตร์เรื่องนี้เข้าฉาย 12 เมษายน ในโรงภาพยนตร์เท่านั้น