
แกรมมี่-อาร์เอสผ่านฉลุยปี58
30 ธ.ค. 2558
แกรมมี่-อาร์เอส ผ่านฉลุยปี58 กู้วิกฤติซบเซาวงการเพลง
เขาว่ากันว่า ปี 2558 เป็นปีที่ยากลำบากอีกปีของวงการเพลง แต่ขอบอกเลยว่า 2 ค่ายยักษ์อย่าง “แกรมมี่ฯ” และ “อาร์เอสฯ” ดูจะรับมือกับวิกฤตนี้ได้อย่างประทับใจ เริ่มที่ค่ายฝั่งอโศก ที่ปีนี้สร้างปรากฎการณ์ใหม่ๆ ให้กับวงการเพลงไทยได้อย่างไม่น่าเชื่อ โดยเฉพาะในช่องทางโซเชียลมีเดีย ที่มีการพูดถึง การแชร์ การรับชม และการติดตาม ซิงเกิลใหม่กันอย่างแพร่หลาย ซึ่งเรื่องนี้
“นิค” วิเชียร ฤกษ์ไพศาล รองกรรมการผู้อำนวยการสายงานมิวสิคโปรดักชั่นและโปรโมชั่นบริษัทจีเอ็มเอ็มแกรมมี่จำกัด (มหาชน) บอกว่า ปีนี้ (พ.ศ.2558) แกรมมี่รุกช่องทางโซเชียลมีเดียมากขึ้นกว่าทุกๆ ปีที่ผ่านมา เพราะมองเห็นว่ามันเป็นช่องทางที่เข้าถึงแฟนเพลงได้โดยตรง ไม่ว่าจะเป็นช่องทาง เฟซบุ๊ค (Facebook) อินสตาแกรม (Instagram) ยูทูบ (YouTube) ไอทูน (iTune Music Store) เคเคบ็อก (KKBOX) และ ไลน์ มิวสิค (Line Music) ล้วนมีผู้ติดตามเป็นจำนวนมาก และยังสามารถใช้วัดผลด้านความนิยมหรือความสำเร็จของผลงานของศิลปินนั้นๆ ได้อีกด้วย
“โดยในปีนี้ เพลงของแกรมมี่ได้สร้างปรากฏการณ์ทำยอดวิวทะลุ 100 ล้านวิวได้อีกหลายเพลง ได้แก่ เพลง “ทิ้งไว้กลางทาง” ของวงโปเตโต้ ถูกจัดให้เป็นเพลงที่มาแรงที่สุดในประเทศไทย โดยมียอดวิวถึง 1 ล้านวิว ในเวลาเพียง 6 ชั่วโมงหลังจากปล่อยเอ็มวีลงบนยูทูบ และทำสถิติทะลุ 100 ล้านวิว ในระยะเวลาเพียง 3 เดือน ก่อนที่เพลง “เชือกวิเศษ” ของวงลาบานูน ที่ได้สารัช อยู่เย็น กัปตันฟุตบอลทีมชาติไทย มาเล่นเป็นพระเอกเอ็มวีให้ สามารถสร้างสถิติใหม่ ด้วยยอดวิวทะลุ 100 ล้านวิว ในเวลาเพียง 2 เดือน ซึ่งถือเป็นประวัติศาสตร์หน้าใหม่ของวงการเพลงไทย ที่สามารถสร้างสถิติยอดวิวทะลุ 100 ล้านวิวได้เร็วที่สุด หรือวงเก็ทสึโนว่า ที่สามารถทำแฮตทริก 100 ล้านวิวได้ถึง 3 เพลง จากเพลง “ไกลแค่ไหนคือใกล้” ที่มียอดวิวทะลุ 200 ล้านวิว เป็นเพลงแรกของไทย จากนั้นเพลง “อยู่ตรงนี้นานกว่านี้” ก็มียอดวิวแตะ 100 ล้านวิวตามมา และไล่หลังด้วยเพลง “คำถามซึ่งไร้คนตอบ” ก็ติดทำเนียบ 100 ล้านวิว ถือเป็นศิลปินกลุ่มแรกที่มีเพลงฮิตเกิน 100 ล้านวิวถึง 3 เพลง” ผู้บริหารแกรมมี่เผย
ในส่วนของผลประกอบการ ผู้บริหารแกรมมี่ฯ เผยว่า ปีนี้เป็นปีที่แกรมมี่ฯ มีการปรับโครงสร้าง ซึ่งเป็นเรื่องของธุรกิจรวมทั้งหมด เพราะตอนนี้ทำเพลงไม่ได้ขายแผ่นซีดี แต่ถูกขายเป็นเรื่องอื่นๆ ศิลปินขายในเรื่องของเพอร์ฟอร์ม ทุกอย่างๆ ที่ทำ เป็นการทำ เพื่อให้เกิดตัวเลขทางธุรกิจ ซึ่งในมุมที่ออกมาเป็นที่น่าพอใจ เพราะว่าทำให้เกิดปรากฎการณ์ใหม่ๆ ในวงการเพลง และเป็นกระแส ทอล์ค ออฟ เดอะ ทาวน์ เยอะ ทำให้มาถึงจุดที่น่าพึงพอใจในระดับหนึ่ง ท่ามกลางสถานการณ์ของธุรกิจเพลงที่มันดร๊อปลง แต่แกรมมี่ฯ สามารถพลิกให้เป็นเรื่องดีๆ ได้ ในด้านตัวเลขทางธุรกิจ เรายังสามารถมีตัวเลขที่น่าพอใจด้วย
“ปีนี้เราวางรากฐานให้แข็งแรงมากขึ้น อย่างเช่นปีนี้ เรามีค่ายเพลงวัยรุ่นอย่าง เอ็มบีโอ้ (MBO) โผล่หน้ามาแล้ว ซึ่งถือเป็นบรรยากาศที่ใหม่มากๆ ในหลายปีที่ผ่านมา หรือการกลับมาของการมีแดนซิ่งควีน อย่างวง มิลค์เชค ที่ก็เป็นที่ฮือฮา โดยในปีหน้าแกรมมี่จะมีทั้งหมด ค่าย อาทิค่าย แกรนด์ มิวสิค (Grand musik) เป็นแนวป็อบแมส รุ่นใหม่ เช่น ”จัสติน“ ”ศรัณย์" "ดา เอ็นโดรฟิน“ ”แบงค์ แคช“ ”บอย พีชเมกเกอร์“ ฯลฯ ค่ายต่อมาคือ ไวท์ มิวสิค (White music) จะเป็นแนวโมเดิร์นป็อบ ประกอบด้วย "อะตอม“ ชนกันต์ ”เอิ๊ต“ ภัทรวี ”เก็ทสึโนวา“ ”แอมมี่ เดอะบอททอมบลูส์“ ”ลุลา“ กันยารัตน์ มีค่าย มิวสิค ครีม จะเป็นป็อบแมส ที่เน้นขายโชว์ อาทิ นิว-จิ๋ว ”อ๊อฟ“ ปองศักดิ์ ”ณัฐ ศักดาทร“ ต่อที่ค่าย ”เวิร์คแก๊งค์“ ที่ออกแนวอีซี่ ลิสนิ่ง หน่อย และมีค่ายใหม่ อย่างค่ายวัยรุ่น ”เอ็มบีโอ้“ ที่ปีหน้าจะเกิดปรากฎการณ์เอ็มบีโอ้ที่จะมีการแผลงฤทธิ์อะไรใหม่ๆ ค่าย ”เฮโล โซไซตี้“ ที่จะเป็นค่ายแดนซ์เลย ก็เปิดตัวไปแล้วกับ ”มิลค์เชค“ และค่ายร็อกก็คือ ”จีนี่ เรคคอร์ด“ ค่าย ”เนฟเวอร์ มายด์ เรคคอร์ด“ และค่าย ”อีพจี“ การปรับเปลี่ยนของแกรมมี่ฯ ครั้งนี้ อยากที่จะกอบกู้วงการเพลงให้คึกคักอีกครั้ง” นิคกล่าว
ข้ามมาดูฝั่งลาดพร้าว “อาร์เอสฯ” กันบ้าง โดย “เณร” ศุภชัย นิลวรรณ กรรมการผู้อำนวยการธุรกิจเพลงบริษัท อาร์เอส จำกัด (มหาชน) เผยว่า ธุรกิจเพลงของอาร์เอส แบ่งเป็น 2 กลุ่ม คือ กลุ่มคอนเทนท์ประเภทเพลง และ กลุ่มธุรกิจสื่อที่เกี่ยวกับเพลง ซึ่งฟากคอนเทนท์กำไรเพิ่มขึ้นจากปีที่แล้ว 70 เปอร์เซ็นต์ ในฟากธุรกิจสื่ออย่าง สบายดีโอเค เป็นไปตามคาดหมาย หลัง 31 ธ.ค. 2558 จะมีการยุบคลื่น 88.5 เอฟเอ็ม ซึ่งจะหมดสัมปทานในสิ้นปีนี้พอดี
“การที่คอนเทนท์ของเพลง เพิ่มขึ้น 70 เปอร์เซนต์ถือว่าเยอะ ซึ่งมันมาจากหลายๆ ส่วน อย่างเช่นการบริหารจัดการ หรือการที่ยุบรวมกัน เมื่อก่อนผมทำอาร์สยามฯ แต่เมื่อยุบธุรกิจรวมกันทำให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น ต้นทุนน้อยลง โอกาสในการทำงานที่เชื่อมโยงกันและสร้างรายได้มากขึ้น โดยในปีนี้เรามีการนำศิลปินของอาร์เอส กับอาร์สยามมารวมกัน เพื่อสร้างฐานะคนฟังให้มันใหญ่ขึ้น และยังสามารถทำให้กิจกรรมการตลาดกับลูกค้าเพิ่มมากขึ้นด้วย ทำให้มีรายได้เข้ามา รายได้หลักๆ มาจากภาคของดิจิตัล อย่างยูทูบ ไลน์มิวสิค การดาวน์โหลด ที่ยังมีอยู่ ซึ่งคิดเป็น 40 เปอร์เซนต์ของรายได้ทั้งหมดของเพลง อย่างในปีหน้าที่เราวางไว้ ในเรื่องของการดาวน์โหลดคงจะน้อยลง คนจะหันไปทางโซเชียลมากขึ้น และการที่เราจะวางสถานะเป็นค่ายเพลงอย่างเดียว ดูเป็นการจำกัดตัวเองเกินไป ปีหน้าเราจะทำเป็นเอ็นเตอร์เทนเม้นท์ อย่างเช่น มิวสิค เอ็นเตอร์เทนเม้นท์ ทำให้เปิดช่องในการหารายได้ใหม่ๆ เช่น ซีรีส์ หรือ มินิมูฟวี่” ผู้บริหารอาร์เอสฯ เผย
ในปีนี้ศิลปิน ในส่วนของเพลงสตริงประมาณ 60-80 คน ในปีหน้า (พ.ศ.2559) จะเพิ่มมากขึ้น เนื่องจากมีโปรเจ็คที่คิดไว้เพิ่มมากขึ้น โดยมาจากโครงการ ร้องแลกไลค์ หรือ จากพวกเน็ทไอดอล เพราะจากนี้การคัดศิลปินเข้ามาในอาร์เอสฯ จะไม่ตอบโจทย์กับการเป็นนักร้องอย่างเดียวแล้ว เพราะมีเป้าหมายในการทำธุรกิจ ที่แตกไลน์ออกไปอีกทั้งในเรื่องของ ซีรีส์ ที่ผ่านมา ทำธุรกิจเพลงเป็นหลัก ศิลปินที่เข้ามาก่อนหน้านี้เลยเน้นในเรื่องของการร้องเพลงซะมากกว่า เมื่อก่อนธุรกิจเพลงขายได้ดี ก็มุ่งมั่นในการผลิตนักร้องออกมาเป็นหลัก แต่ปัจจุบันมันเปลี่ยนไป ต้องหาช่องทางรายได้อื่นๆ ศิลปินนักร้องที่ผ่านมา ก็ต้องยอมรับว่าไม่ใช่ทุกคนที่มีความสามารถในการแสดงได้หมด จุดเด่นจุดแข็งไม่เหมือนกัน ถามว่าจะทิ้งศิลปินที่เป็นนักร้องอย่างเดียวไปเลยไหม บอกเลยว่าไม่ เพราะว่าต้องรักษาจุดแข็งในตรงนี้ไว้ด้วย แต่เพิ่มเติมช่องทางและโอกาสใหม่ๆ
“ในส่วนของกามิกาเซ่ ยังเป็นหนึ่งในค่ายหลักของเรา อย่างศิลปินกามิกาเซ่รุ่นเก่าๆ อาจจะขยับปรับเปลี่ยนไปอยู่ค่ายเยส มิวสิค เพราะเราต้องการกลุ่มเป้าหมายใหม่ ไม่ควรไปกำกับกรอบของเขา กามิกาเซ่รุ่นเก่าๆ ที่เข้ามีความเป็นไอดอล เป็นสตาร์แล้วอย่าง ”เฟย์ ฟาง แก้ว“ ”ธามไท“ ”ทรี ทู วัน“ ”เนโกะ จั๊มพ์“ ”ขนมจีน“ ฯลฯ เราก็โยกเข้าไป แล้วในส่วนของกามิฯ เราก็มีเด็กใหม่เข้ามา โดยมีโปรเจ็คใหม่ ”กามิกาเซ่ เน็ก (Kamikaze Next)“ ซึ่งเป็นเด็กใหม่ที่เราต้องปั้นขึ้นมา หรือเรียกง่ายๆ ว่าเป็นเด็กสร้าง แต่ถ้าเป็นส่วนของค่าย ”เยส มิวสิคฯ“ จะเป็นศิลปินที่เราดึงมาจากที่อื่น คือเขาอาจจะเป็นคนดังมาแล้วจากในโซเชียล เช่นเดียวกับค่าย ”การ์เด้นท์ฯ“ ในส่วนเป้าหมายในปีหน้าก็ตั้งเป้าว่าต้องไม่ต่ำกว่าปีนี้ แต่เราก็เผื่อใจกับการพลิกผัน แต่เชื่อว่ายังไงก็คงไม่ต่ำกว่าเดิมๆ ” เณรกล่าวปิดท้าย