
เล่นหูเล่นตา : เปลี่ยนแปลง
28 ธ.ค. 2558
เล่นหูเล่นตา : เปลี่ยนแปลง : โดย...เจนนิเฟอร์ คิ้ม
การสิ้นสุดของสิ่งหนึ่ง คือ การเริ่มต้นของสิ่งใหม่เสมอ” หนุ่มเมืองจันท์ ฟาดฟู้ดธุรกิจ
ฉันชอบชื่อหนังสือยาวเหยียดเล่มนี้ที่น้องแฟนเพลงคนหนึ่งส่งมาให้อ่าน เป็นการทำความรู้จักกันครั้งแรกกับตัวหนังสือของ หนุ่มเมืองจันท์ คนที่เขียนหนังสือให้แง่คิดแบบเข้าใจง่าย ... แม้ฉันจะเป็นคนที่ผ่านประสบการณ์ชีวิตมามากมาย แต่การเรียนรู้ประสบการณ์ของคนอื่นผ่านตัวหนังสือก็ทำให้สมองของฉันมีรอยหยักเพิ่มขึ้น ... ฉันเป็นคนชอบอ่านหนังสือก่อนนอนวันละตอนสองตอนหรือหน้าสองหน้าเป็นอย่างน้อย มันทำให้ฉันมีสมาธิและมีอะไรทำก่อนนอนมากกว่าแค่ดูหนังฝรั่งในทีวี (เอ็นเตอร์เทนเม้นท์หลักที่ฉันหาความสุขจากมันได้ง่ายๆ คนเดียว) ...
การเล่าเรื่องที่ฟังเข้าใจง่ายมีความหมายและปรัชญาชีวิตแฝงอยู่ช่วยทำให้ความคิดของฉันตกตะกอนนอนก้นสามารถกำหนดทิศทางข้างหน้าได้อย่างแม่นยำ ... ฉันยังอ่านไม่จบเล่มแต่ที่ผ่านมาสายตามาหลายตอนก็ได้ให้อะไรดีๆ เป็นอาหารบำรุงความคิดและจิตใจได้เป็นอย่างดี ... อยู่จนแก่มาป่านนี้เพิ่งรู้ว่าที่ผ่านมาตัวเองเป็นคนกลัว “การเปลี่ยนแปลง” ชอบใช้ชีวิตที่สามารถกำหนดขอบเขตและทิศทางได้ พูดง่ายๆ ก็คือเอาที่ปลอดภัย เคยชิน ไม่น่าแปลกใจไว้ก่อน ด้วยการกำหนดขอบเขตความคิดให้พอดีกับความเป็นอยู่ที่คุ้นเคย จำกัดผู้คนที่เข้ามา เว้นระยะห่างของความสัมพันธ์ในผู้คนรอบข้าง ถ้ารู้สึกว่าแปลกๆ ก็จะดีดตัวออกจากความสัมพันธ์หรือเรื่องราวนั้นๆ ดูมันช่างซับซ้อนแต่มันจัดเรียงตัวเป็นรูปแบบนี้มาหลาย 10 ปีแล้ว ฉันจึงไม่รู้สึกว่ายากตรงไหนเหมือนมีสัญญาณเตือนภัยในระดับต่างๆ อยู่ในหัว เช่นเดียวกับรถยนต์ที่มีสมองกลอัจฉริยะขึ้นสัญญาณเตือนตั้งแต่ปิดประตูไม่สนิทลืมกุญแจไว้ในรถ ระยะทางที่ขับขี่ไปได้ก่อนน้ำมันจะหมด หรือแม้มีรถคันอื่นๆ เข้ามาใกล้จนเกินไปก็มีเสียงสัญญาณติ๊ดๆ เตือน ระบบชีวิตฉันมันเหมือนระบบรถยนต์ที่ฉันใช้อยู่ (คนกับรถช่างเหมือนกัน) ระบบที่เป็นอยู่มันช่วยคัดกรองผู้คนและเรื่องราววุ่นวายออกจากตัวฉัน ทำให้มีชีวิตอยู่อย่างสงบปลอดภัย ...
“ความคุ้นเคย” หรือเคยชินมันทำให้เรา “ยึดติด” โดยไม่รู้ตัว ฉันไม่ต้องการให้สิ่งที่อยู่ใกล้ชิดฉันเปลี่ยนแปลงไป อยากให้อยู่แบบนั้นตลอดไป จนกระทั่งเตี่ยมาจากไปเมื่อ 2 ปีก่อน เหมือนหัวใจมีรูโหว่เล็กๆ หมาที่เลี้ยงมา 17 ปี ก็มาตายไป รูโหว่ก็เพิ่มเป็น 2 รู ... ความจริงแล้วชีวิตคือความไม่แน่นอนโลกนี้ไม่แน่นอน ทุกอย่างเปลี่ยนแปลงไปตามเวลา ทุกคนเวียนว่ายอยู่ในวัฎสงสาร ยิ่งสังขารแล้วยิ่งไม่เที่ยงต่อให้ใช้โบท็อกซ์ช่วยก็ช่วยได้แค่ชั้นผิวหนัง แต่ความคิดและจิตใจมันแก่ไปตาม “วัย” คนเราไม่สามารถหยุดเวลาได้ อะไรๆ มันก็เสื่อมสลายไปตามเวลา ฉันจะกอดทุกคนที่ฉันรักเอาไว้กับตัวตลอดไปไม่ได้ สักวันหนึ่งก็ต้องจากกันจะด้วยเหตุผลอันใดก็ตาม ทุกคนต้องเปลี่ยนแปลงไปตามวัย สภาพแวดล้อมและเวลา ... ฉันได้รู้ว่าการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นกับฉันตลอดเวลา แต่ฉันทำเป็นว่าไม่รู้ไม่ชี้กับมันตราบเท่าที่คนที่ฉันรักและแคร์ยังอยู่กันครบไม่จากไปไหน แม้ทุกสิ่งอย่างยังอยู่ครบ แต่ฉันก็หนีการเปลี่ยนแปลงไม่พ้น “ความคิด” ของฉันมันเปลี่ยนแปลงไปทุกปีโดยไม่รู้ตัว! เดือนสุดท้้ายในแต่ละปีระบบความคิดและจิตใจของฉันมันจะทำการเซ็ตระบบใหม่เพื่อรองรับเรื่องราวที่จะเกิดในอนาคต (เหมือนระบบ 4G ที่เพิ่งประมูลกันไป) มันทำให้ฉันได้จัดระบบความผิดพลาดล้มเหลวและสำเร็จที่ผ่านมาในแต่ละปีใหม่อีกครั้ง อะไรที่ผิดพลาดก็จดจำไว้เป็นบทเรียน อะไรที่ดีก็เก็บเอาไปพัฒนาต่อยอด ...
ผู้คนในชีวิตก็เช่นกัน ฉันเชื่อในเรื่องของโชคชะตาและวาสนาที่พาเรามาเจอะเจอกัน รู้จักกัน รักกัน สานสัมพันธ์กันต่อๆ ไปในแต่ละปี ฉันเชื่อว่าทุกอย่างที่เกิดบนโลกไม่ใช่ “เหตุบังเอิญ” มันมีเหตุและผลอยู่ในตัวของมันเอง เมื่อเวลาผ่านไปเราย้อนกลับมาทบทวนปะติดปะต่อมันอีกทีจะรู้ว่า ทุกอย่างเกิดขึ้นในเวลาใกล้เคียงกันแล้วเดินเข้ามาหากันที่จุดๆ หนึ่ง จะด้วยความบังเอิญหรือตั้งใจก็ตาม ฉันเรียกสิ่งนี้ว่า “ชะตาลิขิต” ในทุกช่วงเวลาของชีวิตที่มีการเปลี่ยนแปลงถ้าลองสังเกตดูให้ดีจะเห็นว่ามันเหมือนกับที่หนุ่มเมืองจันท์เขียนไว้ว่า “การสิ้นสุดของสิ่งหนึี่งคือการเริ่มต้นของสิ่งใหม่เสมอ” เอาง่ายๆ เลิกกับผู้ชายคนนี้เพื่อจะไปเริ่มใหม่กับผู้ชายอีกคนงี้! (มันเกี่ยวกันมั้ย?) ยกตัวอย่างง่ายๆ ตื้นๆ เขินๆ แต่หนีไม่พ้น ในชีวิตของชะนีไทยอย่างพวกเรา เอาแบบจริงจังก็คืออย่ากลัวที่จะต้องเปลี่ยนแปลงจะต้องจบหรือสิ้นสุดเพราะทุกสิ่งบนโลกมันมีเวลาของมันเอง “ความสัมพันธ์” ก็เช่นกัน ถ้ามันยาวนานไปจนตายจากก็ถือว่าทำบุญร่วมกันมาแต่ชาติปางก่อนหรือมีวาสนาต่อกันอย่างแรง! แต่ถ้าไม่ใช่แค่ไหนก็แค่นั้นเหมือนทำบุญร่วมชาติตักบาตรร่วมขัน ขันเล็กก็เวลาสั้น ขันใหญ่ก็เวลายาว ในทางโลกคนเราจะคบกันได้ยืดยาวก็ต้องเกิดจากถูกชะตา รักกัน เข้าใจกัน อดทนต่อนิสัยเสียๆ ของกันและกันและให้อภัยในความผิดพลาดที่อาจเกิดขึ้น (เนืองๆ) ที่คนเราไม่คบกันก็อาจเป็นเพราะไม่อดทน ไม่อภัยต่อกัน หรือ เอาที่ต่างคนต่างสบายใจ หรือสะดวกใจก็แล้วกัน
เมื่อฉันได้อ่านหนังสือเล่มนี้ของ “หนุ่มเมืองจันท์” ฉันก็ได้รู้อีกอย่างว่า ที่ฉันกลัวการเปลี่ยนแปลง (ทั้งๆ ที่หนีไม่พ้น) ก็เพราะว่าฉันกลัวที่จะ “เริ่มต้นใหม่” ฉันกลัวอะไรใหม่ๆ ที่ฉันไม่คุ้นเคย ฉันกลัวว่ามันจะเลวร้ายไปกว่าเก่าหรือดีไม่เท่าเดิม ในหนังสือเล่มนี้มีประโยคโดนใจฉันว่า “อย่าคิดเยอะ คือ คิดอย่างละเอียด แต่อย่ากลัว “ปัญหา” มากเกินไป ทำไปก่อน เจอปัญหาแล้วค่อยแก้ ...” คนที่ผ่านอะไรมาเยอะแยะอย่างฉันมักจะติดอยู่กับคำว่าสมบูรณ์แบบ เอาแบบปลอดภัยไว้ก่อน เลยทำให้เป็นคนคิดเยอะ กลัวไว้ก่อน แต่ถ้าย้อนเข้าไปในตัวตนของฉันจริงๆ วันที่ยังไม่เป็น “เจนนิเฟอร์ คิ้ม” ที่แบกเอามาตรฐานและความคาดหวังของผู้คนไว้อย่างทุกวันนี้ ฉันเป็นคนกล้าได้กล้าเสียตามสายพันธุ์นักพนันแบบเตี่ยฉัน ฉันคิดแบบนักพนันเวลาจะลงมือทำอะไรกล้าไว้ก่อน แต่เตี่ยก็สอนไว้ว่า ต้องใช้สมองคิดทบทวนอย่างถี่ถ้วนก่อนที่จะกล้าเสี่ยงทำอะไรลงไปเพราะเสียอะไรไม่เท่าเสียฟอร์ม ฟอร์มในที่นี้คือความฉลาดและประสบการณ์ที่สั่งสมมา ไม่ใช่สุ่มสี่สุ่มห้าแล้วเรียกตัวเองว่าคนกล้า!
อย่างแรกที่กล้าคือ กล้าเลิก (กับผู้ชาย) ไม่ได้ก็จบกันซะแล้วไปหาเอาใหม่อย่ามาพิรี้พิไร ให้โอกาสมันแก้ตัว ปรับตัวอะไรนักหนา ถ้าคนมันจะดีมันจะดีตั้งแต่ทีแรก แล้วถ้าไม่ดีก็ไม่ใช่เพราะมันเปลี่ยนไปแต่เพราะมันแสดงตัวจริงออกมาให้เราเห็นตอนนี้ก็แค่นั้น ...
กล้าต่อมาของฉันคือ ถ้าร้องร้านไหนก็ไม่กลัวเจ้าของร้านไล่ออกเพราะไล่กรูออกเป็นประจำทุกร้านอยู่แล้ว!! จบร้านนี้ก็ไปเริ่มร้านใหม่! ตราบเท่าที่เรายังรู้จักปรับตัว ปรับใจยอมรับความจริงเราก็ก้าวต่อไปได้อีกก้าว มัวเก้ๆ กังๆ อยู่ ป่านนี้คงร้องอยู่ค็อกเทลเล้าจน์แน่ๆ เพดานเตี้ยๆ มืดๆ กลิ่มพรมเน่าๆ อับๆ อยู่ ไม่ได้ออกมาเห่าหอนในที่สาธารณะเป็นแน่! ...
กล้าที่ 3 คือ กล้าลาออกจากการร้องประจำกลางคืนเพื่อออกไปรับงานร้องอีเวนท์อย่างเดียว ต่อจากนั้นมันจะเป็นอะไรก็เป็นไปฉันพร้อมที่จะทำสิ่งใหม่ๆ และเริ่มต้นนับหนึ่งใหม่เสมอ จากนักร้องโนเนมกลายเป็นนักร้องอีเว้นท์ จากนักร้องอีเว้นท์กลายเป็นนักร้องที่มีเพลงเป็นของตัวเอง มีคอนเสิร์ตที่เป็นของตัวเอง (พี่ฉอด สายทิพย์ มนตรีกุล ณ อยุธยา จัดให้ทุกครั้ง! ... กราบงามๆ ค่ะ) จากนักร้องคอนเสิร์ตกลายเป็นโค้ช ... ในวันข้างหน้าฉันก็จะต้องจบสิ่งหนึ่งเพื่อเริ่มต้นอีกสิ่งอย่างที่เป็นมาทั้งชีวิต และไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นต่อให้ไม่ได้ร้องเพลง ไม่มีชื่อเสียง ต้องนับหนึ่งใหม่ฉันก็ยังคงก้าวต่อไปเพื่อสิ่งใหม่ๆ ตามประสาคนกล้าได้กล้าเสียอย่างฉัน!