บันเทิง

'เสียงในสายฝนของ ซิลเวีย แพลท (ตอนที่ 1)'

'เสียงในสายฝนของ ซิลเวีย แพลท (ตอนที่ 1)'

28 พ.ค. 2558

เสียงในสายฝนของ ซิลเวีย แพลท (ตอนที่ 1) : คอลัมน์ มองผ่านเลนส์คม โดย... วิภว์ บูรพาเดชะ

 
          ภาพยนตร์เรื่อง Sylvia (2003) เริ่มต้นด้วยภาพตะแคงครึ่งใบหน้าของตัวละครหญิงสาวที่แสดงโดย กวินเนต พัลโทรว์ เสียงบรรยายประกอบภาพคล้ายหลุดออกมาจากห้วงคำนึงอันบางเบาของเธอ
 
          “บางครั้งฉันก็ฝันถึงต้นไม้ และต้นไม้นั้นคือชีวิตของฉัน กิ่งหนึ่งเป็นชายที่ฉันจะแต่งงานด้วย และใบไม้คือลูกๆ ฉัน อีกกิ่งคืออนาคตที่จะได้เป็นนักเขียน และใบแต่ละใบคือบทกวี อีกกิ่งเป็นอาชีพด้านการศึกษาที่เปล่งประกาย แต่ขณะที่ฉันพยายามที่จะเลือก ใบไม้ก็เปลี่ยนเป็นสีน้ำตาลและปลิวไป กระทั่งต้นไม้นั้นไม่เหลืออะไรบนต้น”
 
          กวินเนต กำลังสวมบทบาทเป็นนักเขียนสาวคนสำคัญแห่งโลกวรรณกรรมอเมริกัน - ซิลเวีย แพลท (Sylvia Plath) และบทบรรยายนี้ก็สรุปชีวิตของนักเขียนสาวผู้อ่อนไหวคนนี้ได้เป็นอย่างดี
 
          เนื้อความท่อนนี้ดัดแปลงมาจากหนังสือชื่อ The Bell Jar ซึ่งเป็นนิยายกึ่งอัตชีวประวัติของเธอ เป็นนิยายที่บางคนบอกว่าช่างเปิดเปลือยจิตใจของเด็กสาว และยังมีอารมณ์กบฏไม่แพ้ The Catcher in the Rye
 
          เรื่องราวของ ซิลเวีย แพลท นั้นเป็นเหมือนตำนานของกวีสาว เป็นโศกนาฏกรรมร่วมสมัย และเป็นชัยชนะที่มาเมื่อสายไปของแนวคิดแบบเฟมินิสต์
 
          ซิลเวียเกิดในเดือนตุลาคม ปี 1932 ที่รัฐแมสซาซูเซตส์ เธอมีบิดาเป็นศาสตราจารย์ภาษาเยอรมัน และมีมารดาเป็นครูโรงเรียนมัธยม ซิลเวียหลงรักงานเขียนและงานศิลปะมาตั้งแต่วัยเยาว์ พออายุ 8 ขวบเธอก็มีบทกวีตีพิมพ์ในเซ็กชั่นเยาวชนของหนังสือพิมพ์บอสตันเฮรัลด์ หนทางของสาวน้อยดูจะสดใสดี ถ้าบิดาของเธอไม่มาเสียชีวิตเสียก่อนในปีที่เธออายุ 8 ขวบนั้นเอง
 
          การจากไปของบิดาดูจะส่งผลกระทบมากมายต่อโลกทัศน์ของเด็กหญิงซิลเวีย เธอเริ่มเขียนถึง "พ่อ" และ "ความตาย" ในบทกวี เธอเริ่มสูญเสียศรัทธาในศาสนา และยังเริ่มมีอาการซึมเศร้า (ครอบครัวของเธอมีประวัติการเป็นโรคซึมเศร้าอยู่แล้ว) แต่กระนั้นเธอก็ยังรักษาผลการเรียนได้อย่างดีเยี่ยม และยังคงฉายแววทางศิลปะอยู่เสมอ พออายุ 15 ปี เธอก็ได้รางวัลสำคัญของนักสร้างสรรค์งานศิลปะรุ่นเยาว์อย่าง The Scholastic Art & Writing Awards
 
          ในวัย 18 ปี ซิลเวียไปเรียนต่อที่วิทยาลัยด้านศิลปศาสตร์ สมิท คอลเลจ ในรัฐแมสซาซูเซตส์ งานเขียนของเธอได้รับการตีพิมพ์อย่างต่อเนื่อง แต่เด็กสาวก็มีอาการซึมเศร้าจากการเคี่ยวเข็ญตัวเองอย่างหนัก จนเธอถึงกับต้องเข้ารับการรักษาด้วยการช็อตไฟฟ้า พออายุ 21 ปีงานเขียนของซิลเวียก็พาให้เธอได้โอกาสดีๆ อีกครั้ง เธอได้รับเลือกให้เป็นบรรณาธิการรับเชิญของนิตยสาร Mademoiselle เป็นผลให้เธอได้ไปทำงานในนิวยอร์กร่วมกับเด็กสาวเปี่ยมพรสวรรค์ที่ได้รับการคัดเลือกจากทั่วประเทศเป็นเวลา 1 เดือนเต็ม
 
          แต่ประสบการณ์ในนิวยอร์กของซิลเวียดูจะไม่ค่อยดีนัก ซิลเวียเข้ากับคนอื่นๆ ไม่ค่อยได้ ความแปลกแยกและเปลี่ยวเหงาทำให้เธอบันทึกความรู้สึกนึกคิดอันหม่นหมองและอ่อนไหวในห้วงเวลานั้นออกมาเป็นนิยาย The Bell Jar ซึ่งกว่านิยายเรื่องนี้จะเขียนเสร็จก็เป็นเวลาอีกหลายปีให้หลัง
 
          เดือนสิงหาคม ปี 1953 ความหดหู่ซึมเศร้าก็ผลักดันซิลเวียไปจนสุดทาง เธอพยายามฆ่าตัวตายด้วยการกินยานอนหลับเกินขนาด แล้วคลานลงไปนอนอยู่ใต้ถุนบ้าน อีก 3 วันต่อมาถึงมีคนพบสภาพร่างกายของเธอในขั้นวิกฤติแล้วพาไปรักษา เธอใช้เวลาหลังจากนั้น 6 เดือนอยู่กับการบำบัดอีกครั้ง
 
          ชีวิตดำเนินต่อไป ผ่านช่วงเวลาตกต่ำแล้วก็เวียนมาถึงช่วงเวลาที่สดใสบ้าง ตำนานรักของกวีสาวเริ่มต้นขึ้นในปี 1956 ที่เมืองเคมบริดจ์ ประเทศอังกฤษ เธอได้รับทุนฟูลไบรต์ให้ไปศึกษาต่อที่นั่น วันหนึ่งซิลเวียได้อ่านงานของกวีหนุ่ม เท็ด ฮิวจ์ส  (Ted Hughes) ในนิตยสารแล้วรู้สึกประทับใจมาก จึงไปดักพบกับเท็ดในงานเลี้ยงงานหนึ่ง ทั้งคู่ตกหลุมรักกันแทบจะทันที กวีสาวบรรยายว่าเท็ดเป็น "นักร้อง นักเล่าเรื่อง สิงโต และนักท่องโลก" ที่มี "เสียงดุจสายฟ้าของเทพเจ้า"
 
          หลังจากคบหากันเพียง 4 เดือนทั้งคู่ก็แต่งงานกันในลอนดอน ชีวิตคู่เริ่มต้นอย่างสวยงาม โลกทั้งใบถูกเติมเต็มด้วยถ้อยคำอันงดงามในบทกวีของคู่รัก การเป็นนักเขียนหน้าใหม่ที่ต่างก็กำลังไขว่คว้าความสำเร็จของเขาและเธอก็ดูจะส่งเสริมกันดี ในที่สุด บทกวีของเท็ดที่ซิลเวียเป็นผู้พิมพ์ต้นฉบับให้ ก็ได้รับรางวัลจากศูนย์วรรณกรรมในนิวยอร์ก
 
          ปี 1957 คู่รักนักกวีย้ายมาเริ่มชีวิตการงานที่สหรัฐอเมริกา ซิลเวียเริ่มสอนหนังสือที่สมิท คอลเลจ ในขณะที่เท็ดสอนหนังสือที่มหาวิทยาลัยแมสซาซูเซตส์ แต่หลังจากที่ซิลเวียพบว่าเธอไม่สามารถทำงานสอนไปพร้อมๆ กับการเขียนหนังสือได้ ทั้งคู่จึงย้ายไปอยู่ที่บอสตัน เส้นทางกวีของเท็ดยังสดใส ขณะที่ซิลเวียทำงานเป็นพนักงานต้อนรับในโรงพยาบาลพร้อมๆ กับการลงคอร์สการเขียนแบบสร้างสรรค์
 
          บุคลิกที่โดดเด่นและหน้าที่การงานของเท็ดที่ทำให้ต้องพบคนมากมาย รวมทั้งผู้อ่านและนักศึกษาสาวๆ ด้วย ทำให้ซิลเวียมีอาการหวาดระแวงเท็ดอยู่บ้าง บวกกับความสำเร็จในอาชีพนักเขียนที่แตกต่างกันเหลือเกินระหว่างสามีและภรรยา ทำชีวิตคู่เริ่มมีอาการระหองระแหง ทั้งคู่ก็ตัดสินใจย้ายกลับไปเริ่มต้นที่ประเทศอังกฤษอีกครั้งในปี 1960 คราวนี้ดูซิลเวียตั้งใจทำงานเขียนเต็มตัว ในขณะที่เท็ดก็ทำงานเขียนมากมายเช่นกัน ทั้งบทกวี งานวิจารณ์ และบทความ แถมยังขยับขยายไปทำรายการโทรทัศน์ให้บีบีซีอีกด้วย ในปีนั้นเองลูกสาวคนแรกของทั้งคู่ก็ถือกำเนิด และซิลเวีย แพลท ก็ได้ตีพิมพ์งานบทกวีเล่มแรกของเธอที่ยังไม่ค่อยได้รับความสนใจในแวดวงวรรณกรรมนัก
 
          ปีต่อมาเริ่มต้นขึ้นอย่างโหดร้ายเมื่อซิลเวียแท้งลูกคนที่สอง ความเศร้าโศกจากการสูญเสียลูกจะปรากฏอยู่ในบทกวีของเธออีกหลายชิ้น เธอเขียนนิยาย The Bell Jar เสร็จในปีนี้ แต่ยังคงไม่ได้ตีพิมพ์ และพอถึงปี 1962 ครอบครัวนักเขียนก็ได้ลูกชายเป็นสมาชิกใหม่ในที่สุด
 
          ทั้งครอบครัวย้ายไปอยู่ในชนบท และทิ้งห้องพักในเมืองให้คู่รักอีกคู่เช่าต่อ ฝ่ายหญิงชื่อว่า แอสเซีย วีวิว (Assia Wevill) นั้นเป็นคนหน้าตาสวย และ เท็ด ฮิวจ์ส ก็ตกหลุมรักแอสเซียทันที
 
          ในที่สุดเท็ดและแอสเซียต่างก็นอกใจคู่รักของตัวเอง แน่นอนว่าสำหรับซิลเวียแล้วเธอรับไม่ได้โดยสิ้นเชิง แถมยังมีผลให้อาการจิตตกของเธอกลับมาอีกครั้ง เธอกับเท็ดแยกกันอยู่ เท็ดย้ายไปอยู่กับแอสเซีย ส่วนซิลเวียก็เป็นฝ่ายดูแลลูกทั้งสองอย่างชนิดที่ไม่ค่อยเต็มเม็ดเต็มหน่วยนัก ลูกสาวอายุสองขวบและลูกชายอายุเก้าเดือนของซิลเวียป่วยแล้วป่วยอีก บ้านของเธอไม่มีโทรศัพท์ ไม่มีการติดต่อจากโลกภายนอก มีเพียงความหดหู่และความหนาวเหน็บ แต่ในท่ามกลางบรรยากาศและความรู้สึกแบบนั้น ซิลเวีย แพลท กลับเกิดไฟในการเขียนบทกวีจำนวนมาก งานเขียนของเธอพรั่งพรูออกมาอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน นิยาย The Bell Jar ได้รับการตีพิมพ์ครั้งแรกในฤดูหนาวนี้เอง
 
          มีการพยายามกลับมาคืนดีกันระหว่างเท็ดและซิลเวียอยู่บ้าง แต่ทุกอย่างก็ดูจะสายเกินไปเมื่อแอสเซียตั้งครรภ์กับเท็ด
          ก่อนฤดูหนาวจะสิ้นสุด ราวตี 4 ของเช้ามืดวันที่ 11 กุมภาพันธ์ 1963 ซิลเวีย แพลท ทำอาหารเช้าวางไว้ข้างเตียงลูกน้อย เธอเดินเชื่องช้าเข้าไปในครัว เอาเทปกาวปิดรอบประตู เปิดเตาแก๊ส แล้วเอาหัวของเธอเข้าไปอยู่ในเตา
          รุ่งเช้า นางพยาบาลที่ถูกจ้างมาดูแลซิลเวียเป็นคนมาพบศพของเธอ
          ความตายของกวีสาวเป็นจุดจบของชีวิต จุดสิ้นสุดของครอบครัว แต่ก็เป็นจุดเริ่มต้นของอีกหลายอย่าง
          สิ่งหนึ่งที่ถือกำเนิดจากความตายของเธอ ก็คือความเป็นอมตะ
          (อ่านตอนจบในคอลัมน์นี้ วันที่ 11 มิถุนายน 2558)
 
.......................................
(หมายเหตุ เสียงในสายฝนของ ซิลเวีย แพลท (ตอนที่ 1) : คอลัมน์ มองผ่านเลนส์คม โดย... วิภว์ บูรพาเดชะ)