บันเทิง

วงษ์คำเหลา
ร้อยล้านบนสถานการณ์อึมครึม

วงษ์คำเหลา ร้อยล้านบนสถานการณ์อึมครึม

16 ก.ค. 2552

‘เศรษฐกิจแย่ การเมืองยุ่ง หนึ่งในหนทางช่วยผ่อนคลาย คือการเข้าไปดูหนังตลก’

 นี่อาจเป็นสมมติฐานหนึ่งกระมังที่ทำให้หนังอย่าง “สาระแนห้าวเป้ง” และ “วงษ์คำเหลา” ประสบความสำเร็จทำรายได้เกินคาดหมายในเวลาอันรวดเร็ว เพราะหากมองกันจริงๆ หนังเรื่องแรก ก็ไม่ได้มีอะไรแปลกใหม่ นอกจากแปรรูปความบันเทิงจากจอแก้วสู่จอเงิน ในขณะที่เรื่องหลังเองก็ขายตรงกับชื่อเสียงดาวตลกอันดับหนึ่งของเมืองไทยในเวลานี้ (อันที่จริงทั้ง “สาระแนฯ” และ “วงษ์คำเหลา” ต่างก็ชู ‘หม่ำ จ๊กมก’ เป็นจุดขายพอๆ กัน)

 ผมค่อนข้างงุนงงต่อสิ่งที่เกิดขึ้นกับหนังทั้งสองเรื่อง แม้จะเคยคาดการณ์เอาไว้ล่วงหน้าว่า “สาระแนฯ” น่าจะทำรายได้ไม่ต่ำกว่า 50 ล้านบาท แต่ก็ไม่น่าเชื่อว่าสุดท้ายหนังจะกวาดเงินไปร่วมๆ 90 ล้านบาท ส่วน “วงษ์คำเหลา” นั้น น่าจะเป็นหนังเรื่องแรกของ ‘หม่ำ จ๊กมก’ ที่ทำรายได้น้อยที่สุดไปด้วยซ้ำ แต่กลับกลายเป็นว่าเมื่อสุดสัปดาห์ที่แล้ว หนังจัดปาร์ตี้ฉลองรายได้สู่ร้อยล้านซะงั้น (แต่รายได้จริงๆ น่าจะอยู่ในราว 70 กว่าล้านบาท)

 ทำไม? หนังที่แค่ขยายความจากรายการทีวี จับจุดขายของรูปแบบ ‘Candid Camera’ ด้วยการซ่อนกล้องแอบถ่ายพฤติกรรมคนดังเวลาถูกแกล้ง แล้วนำเหตุการณ์เหล่านี้มาเรียงร้อยต่อๆ กันไป สร้างพล็อตเรื่องมาเชื่อมโยงให้ดูเป็นเรื่องราวเดียวกันซะหน่อย แค่นี้ก็ทำให้คนพากันแห่มาดูหนังอย่างล้นหลาม หรือกะอีแค่จับนักแสดงตลกมาแต่งตัวเป็นผู้ดีมีชาติตระกูล ผูกโครงเรื่องเอาไว้หลวมๆ ด้วยการล้อเลียนหนังในแบบเทพนิยายชวนฝันด้วยแนวทางประเภท ‘Cinderella’ เมื่อหญิงต่ำศักดิ์พบรักกับเจ้าชาย รวมทั้งอำขนบหนังบู๊ไทยในยุค 30 ปีก่อน ด้วยเปิดเผยสถานะของตัวละครตอนท้ายเรื่อง กลายเป็นหนังฮิตทำเงินแตะร้อยล้านในเวลาไม่ทันข้ามอาทิตย์...อะไร? คือปัจจัยสำคัญที่ทำให้หนังทั้งสองเรื่องประสบความสำเร็จขนาดนี้

 หากเศรษฐกิจ การเมือง คือเหตุผลสำคัญ ซึ่งอันที่จริงสองปัญหานี้เกิดขึ้นต่อเนื่องมาตั้งแต่ปลายปีที่แล้ว ต่อเนื่องมาจนถึงต้นปีและยังไม่มีทีท่าจะทุเลาเบาบาง มีหนังตลกหลายเรื่องที่ว่ากันจริงๆ อาจจะเล่นได้ขำกว่า มุกแหลมคมกว่า ดูมีสารัตถะ มีเรื่องมีราวให้จับต้องได้มากกว่า และที่สำคัญภาพโดยรวมนั้นแปลกใหม่และสนุกสนานกว่า กลับไม่ประสบความสำเร็จเท่าที่ควรไม่ว่าจะเป็นหนังอย่าง “ฟ้าใสใจชื่นบาน” ที่นำเหตุการณ์วุ่นวายทางการเมืองเมื่อสามสิบกว่าปีก่อน มาเป็นฉากหลัง (ซึ่งเป็นแค่ฉากหลังจริงๆ เพราะตัวหนังไม่ได้พาดพิงเรื่องการเมืองแม้แต่น้อย นอกจากปล่อยให้น้าค่อม ชวนชื่น โชว์มุกอยู่คนเดียว)

 หรือ “โหดหน้าเหี่ยว 966” หนังแก๊งสเตอร์ ที่ว่าด้วยการเฉือนคมกันระหว่างนักเลงตกยุค ที่ดูมีวี่แววว่าน่าจะทำเงินได้ร้อยล้านมากกว่า อีกทั้งปัจจัยในเรื่องของโรคภัยไข้เจ็บ จากการระบาดของ ‘ไข้หวัด 2009’ ก็น่าจะฉุดคนให้อยู่กับบ้านมากกว่าจะสุ่มเสี่ยงเข้าไปติดเชื้อโรคในโรงหนัง (ซึ่งก็ไม่แน่ว่าสถานการณ์การระบาดที่รุนแรงขณะนี้ จะส่งผลต่อรายได้ของหนังพ่อมดน้อย แฮร์รี่ พอตเตอร์ ภาคใหม่มากน้อยแค่ไหน)

 หรือหากจะมองว่า ‘จังหวะของการเข้าฉาย’ มีส่วนสำคัญ ก็เป็นที่น่าสังเกตเช่นกันว่า ในช่วงที่ “สาระแนฯ” เข้าฉาย ก็มีอันต้องปะทะกับหนังมนุษย์กรงเล็บเหล็ก “เอ็กเมน วูลฟ์เวอรีน” เช่นเดียวกับ “วงษ์คำเหลา” ที่โปรแกรมฉายก็ยังอยู่ในช่วงระหว่างสมรภูมิรบของสงครามหุ่นยนต์ใน “ทรานส์ฟอร์เมอร์ 2” จะเห็นว่าทั้งสองเรื่องฉายชนกับหนังฟอร์มยักษ์จากฮอลลีวู้ดในขณะที่สองเรื่องก่อนหน้าอย่าง “ฟ้าใสฯ” กับ “โหดหน้าเหี่ยวฯ” แทบจะไม่มีโปรแกรมฉายชนกับหนังใหญ่ๆ เรื่องไหนเลย เช่นเดียวกับหนังเด็กโ_ตรสนุกอย่าง “อนุบาลเด็กโข่ง” ก็แทบจะไม่มีเวลาให้ยืนโรงนานพอจะเรียกคนดูได้

 แม้เอาเข้าจริง มุกตลกใน “วงษ์คำเหลา” อาจจะทำได้แค่หัวเราะหึๆ คิกๆ คักๆ ไม่ฮาก๊าก เอิ๊กอ๊าก อย่างที่เคยเป็น แต่ก็ไม่ใช่เรื่องเกินความคาดเดา เพราะหนังตัวอย่างที่ออกฉายก่อนหน้า ก็ไม่ได้ต่างกับตัวหนังที่ฉายจริงสักเท่าไหร่ และถ้านำไปเปรียบเทียบกับหนัง ‘หม่ำ’ เรื่องก่อนๆ อย่าง “บอดี้การ์ดหน้าเหลี่ยม 1&2” หรือ “แหยม ยโสธร” (ไม่นับรวม “หม่ำเดียว หัวเหลี่ยมหัวแหลม” ซึ่งเป็นงานกำกับร่วม) มาตรฐานอาจจะต่ำกว่าสามเรื่องที่ว่าด้วยซ้ำ สิ่งเดียวที่ดูเหมือนจะมีการพัฒนามากขึ้นจากหนังเรื่องก่อนๆใน “วงษ์คำเหลา” ก็คือ ‘หม่ำ’ เก่งและเจนจัดในเรื่องของเทคนิคและการใช้ภาษาหนังมากขึ้น มีอยู่ฉากหนึ่งที่เขาวางตำแหน่งตัวละครให้อยู่ในเฟรมเดียวกันได้อย่างน่าทึ่ง คือฉากที่ ‘หม่อมแม่’ ‘หญิงแพรว’ ‘พี่พลอย’ และ ‘สาวใช้’ รวมหัวกันกลั่นแกล้ง ‘พิรดา’ ครูสาวแสนสวย ด้วยการรื้อข้าวของในห้อง แล้วเธอเดินเข้ามาเห็นพอดี...ฉากนี้ ‘Blocking’ ตัวละครดีมาก แม้ทั้ง 5 คน จะเคลื่อนไหวไปมา แต่ก็อยู่ใน ‘Mark’ ได้พอดิบพอดี ไม่มีใครบังใคร มีการจัด ‘Space’ ให้ตัวละครแต่ละคน สามารถขยับตัวเพื่อออกท่าทาง ต่อบท รุกและรับมุก กันได้อย่างอิสระแม้อยู่ในพื้นที่จำกัดก็ตาม มีการตัดภาพไม่กี่คัท และใช้มาสเตอร์ช็อต โดยให้กล้องจับ ‘Composition’ ในเฟรมเดิม เกือบทั้งฉาก

 ทำไม หนัง ‘หม่ำ’ เรื่องนี้ถึงได้เป็นที่นิยมนัก... ‘ตอบไม่ได้ เดาไม่ถูก วิเคราะห์ไม่เป็น’ ครับ เอาเป็นว่ามองอย่างผิวเผิน ‘หม่ำ จ๊กมก’ คงมีแฟนประจำอย่างเหนียวแน่นที่พร้อมให้การต้อนรับผลงานของเขาอยู่เสมอ และหากสมมติฐานที่ว่า ‘เศรษฐกิจแย่ การเมืองยุ่ง (เพิ่ม ‘คนไม่กลัวไข้หวัดสายพันธุ์ใหม่’ เข้าไปด้วย) หนึ่งในหนทางช่วยผ่อนคลาย คือการเข้าไปดูหนังตลก’  เป็นจริง ผมก็ขอคาดการณ์ไว้ล่วงหน้าอีกเช่นกันว่า “อีส้มสมหวัง ชะชะช่า” (อีส้ม สมหวัง ภาคสอง) ของป๋าโน้ต เชิญยิ้ม จะเป็นหนังตลกทำเงินเรื่องต่อไปอย่างไม่ต้องสงสัยครับ

ชื่อเรื่อง : วงษ์คำเหลา
ผู้เขียนบท : หม่ำ จ๊กมก, พิพัฒน์ จอมเกาะ
ผู้กำกับ : หม่ำ จ๊กมก
นักแสดง : หม่ำ จ๊กมก ,จักจั่น อาคัมย์สิริ, แวววาว จ๊กมก, ตุ๊กกี้ ชิงร้อยชิงล้าน, อาภาพร นครสวรรค์
วันที่เข้าฉาย : 1 กรกฎาคม 2552

"ณัฐพงษ์ โอฆะพนม"