
การครองโลกครั้งที่สองของ'เจงกีส ข่าน'
30 เม.ย. 2558
การครองโลกครั้งที่สองของ 'เจงกีส ข่าน' : คอลัมน์ มองผ่านเลนส์คม โดย... วิภว์ บูรพาเดชะ
ต้นศตวรรษที่ 13 จักรพรรดินักรบชาวมองโกลนาม เจงกีส ข่าน (Genghis Khan) รวบรวมเผ่ามองโกลที่กระจัดกระจายให้เป็นหนึ่งเดียว แล้วเริ่มแผ่ขยายดินแดนของตัวเองโดยบุกเข้าตีอาณาจักรต่างๆ ด้วยความมุ่งมั่นในแบบยอดคน เมื่อสิ้นสุดรัชกาลของ เจงกีส ข่าน อาณาจักรมองโกลแผ่ขยายกว้างไกลไปถึงหนึ่งในสี่ของโลก กินอาณาเขตส่วนใหญ่ของทวีปยุโรปและเอเชีย
หากชีวิตคนเรายืนยาวค้ำฟ้า เจงกีส ข่าน ก็คงสามารถสยบโลกทั้งหมดไว้ใต้แทบเท้าของตนได้แน่ๆ แต่เพราะไม่มีใครอยู่ยืนยง ดังนั้นเขาจึงครองโลกไม่สำเร็จ
หลังจากลาโลกไปร่วม 750 ปี การพยายามครองโลกครั้งที่สองของ เจงกีส ข่าน ก็เริ่มต้นขึ้น
คราวนี้ เจงกีส ข่าน บุกตะลุยไปในดินแดนต่างๆ จนเกือบจะครอง "โลกดนตรี" ได้เลยทีเดียว
ในรายการประกวดร้องเพลงทางโทรทัศน์ระดับทวีปยุโรป ที่ชื่อ Eurovision Song Contest ที่จัดขึ้นที่ประเทศอิสราเอล ในปี 1979 ตัวแทนจากประเทศเยอรมนีเป็นวงดนตรีที่เรียกตัวเองว่า Dschinghis Khan (ซึ่งแปลเป็นภาษาไทยว่า เจงกีส ข่าน นั่นเอง) ขึ้นเวทีด้วยชุดฉูดฉาดราวกับหลุดมาจากโลกแฟนตาซี สองสาวสี่หนุ่มยืนเรียงแถวหน้ากระดาน แล้วก็เริ่มต้นร้องเพลงด้วยจังหวะสนุกๆ ว่า “ฮู่! ฮ่า! ฮู่! ฮ่า!...” พวกเขาขับร้องเพลงเต้นรำที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับจักรพรรดินักรบชาวมองโกล-เจงกีส ข่าน
เพลงนี้มีชื่อเดียวกับวงคือชื่อเพลงว่า Dschinghis Khan ซึ่งเหมือนจะบ่งบอกว่า นี่เป็นวงเฉพาะกิจที่ตั้งขึ้นเพื่อประกวดเวทีนี้และร้องเพลงนี้เท่านั้น
ดนตรีของเพลงนี้สนุกและชวนให้เต้นตามอย่างยิ่ง เครื่องสายเครื่องเป่าช่วยกันสร้างสีสันฉวัดเฉวียนเบิกบาน เมโลดี้ที่แต่งโดย ราล์ฟ ซีเกล (Ralph Siegel) ก็ติดหูหมับ แม้จะฟังเพียงครั้งเดียว ยิ่งท่อนฮุกที่แทรกเสียงหัวเราะ “โฮ่ โฮ่ โฮ่ โฮ่” และ “ฮ่า ฮ่า ฮ่า ฮ่า” เข้าไปก็ทำให้มันเป็นเพลงแห่งความบันเทิงสมบูรณ์แบบ
ส่วนเนื้อเพลงที่ประพันธ์โดย เบิร์นด์ เมนุงเกอร์ (Bernd Meinunger) นั้น ดูออกไปทาง "บุรุษนิยม" เอามากๆ คือมีทั้งการเชิดชูสงครามและความโหดเหี้ยม เชิดชูการดื่มเหล้าเมาสังสรรค์ มีกระทั่งท่อนที่ชื่นชมท่านข่านที่สามารถบังคับขืนใจหญิงสาวได้ตามความพอใจอีกด้วย
มีเนื้อท่อนหนึ่งแปลเป็นไทยได้ความว่า เจงกีส ข่าน สามารถทำให้ผู้หญิงท้องได้ถึง 7 คนในคืนเดียว!
แต่ความโหดผสมฮาในเนื้อเพลงก็ถูกผลักไปทางฮามากกว่า เมื่อโชว์ของวงวางไว้ให้สมาชิกวงคนหนึ่งแต่งตัวเป็น เจงกีส ข่าน (ในแบบที่พวกเขาเข้าใจว่าควรเป็น) และเต้นหมุนวนอยู่กลางเวทีตลอดเวลา ลีลาการเต้นในชุดฉูดฉาดทำให้ได้โชว์ที่แปลกประหลาดแต่ก็สนุกมากๆ
อย่างไรก็ตาม เมื่อผลการประกวดออกมา ดูเหมือนว่าวงเจงกีสข่านฉบับเยอรมันจะครองโลกไม่สำเร็จ เพราะแค่ทวีปยุโรปก็ยังบุกยึดไว้ไม่ได้ เพราะพวกเขาไม่ชนะการประกวดครั้งนี้
แต่เพลงที่มีแววรุ่งยังไงก็ย่อมมีทางรุ่งได้อยู่ดี หลังการประกวด วงเจงกีสข่านกลายเป็นวงดัง พวกเขาได้ออกอัลบั้มชื่อเดียวกับวงออกมาวางขายแทบจะทันที วงดนตรีวงนี้มีเพลงฮิตตามมาอีกเพลงคือ Moskau ซึ่งทั้ง 2 เพลงนี้ยังมีซิงเกิ้ลเวอร์ชั่นภาษาอังกฤษออกมาวางขายอีกด้วย ซึ่งเพลง Moskau ภาคภาษาอังกฤษนั้น ไปโด่งดังที่ออสเตรเลีย และขึ้นอันดับหนึ่งเพลงฮิตที่นั่นอยู่ถึง 6 สัปดาห์ในปี 1980
ใน 3 ปีหลังจากนั้น วง Dschinghis Khan ออกอัลบั้มออกมาถี่ยิบถึง 6 ชุด ก่อนที่กระแสดิสโก้จะจางหายไป และภาพลักษณ์สนุกสนานเฮฮาของพวกเขาก็ดูเป็นของเชยไปเสียแล้ว พวกเขาแยกวงกันกลางทศวรรษ 80 และเริ่มหายไปจากความสนใจของผู้คน
วงเลิกราไปแล้ว แต่เพลง Dschinghis Khan ยังคงบุกตะลุยโลกดนตรีต่อไปไม่หยุดยั้ง
เพลงสนุกๆ นี้ถูกคนเอาคัฟเวอร์นับครั้งไม่ถ้วน เอาตั้งแต่ปี 1979 ที่มันเพิ่งออกมาก็มีศิลปินจากหลายประเทศคว้าไปทำซ้ำในภาษาของตัวเองแทบจะทันที อาทิ ศิลปินหุ่นล่ำชาวฟินแลนด์ ชื่อ Frederik เอาเพลงนี้ไปร้องในภาคฟินแลนด์ แล้วก็กลายเป็นเพลงดัง ที่สวีเดนก็มีวงเต้นรำชื่อ Vikingarna เอาเพลงนี้ไปทำเป็นภาษาสวีดิชแล้วมันก็กลายเป็นเพลงฮิตอันดับหนึ่งของที่นั่น ส่วนที่ฮ่องกงก็มีศิลปินป๊อปชื่อ จอร์จ แลม เอาไปทำเป็นภาษากวางตุ้งเช่นกัน
ศิลปินไทยเองก็ไม่น้อยหน้า เชื่อว่าหลายๆ คนยังจำเพลง เจงกีสข่าน ของวงรอยัลสไปรท์ส ที่ดังกระหึ่มดิสโก้เธคและถูกเปิดสนั่นคลื่นวิทยุบ้านเราในช่วงต้นยุค 80 ได้เป็นอย่างดี
หลังจากนั้นยังมีทั้งศิลปินจากอีกหลายประเทศทยอยกันเอาเพลงนี้ไปแปลงเป็นภาษาของตัวเอง ตั้งแต่ ภาษาสเปน ภาษาเกาหลี ภาษายิดดิช รวมทั้งวงเฮฟวีเมตัลจากเยอรมัน ชื่อ Die Apokalyptischen Reiter ก็ยังเคยเอาเพลงนี้ไปทำเป็นเพลงร็อกโหดๆ มาแล้วในปี 1998
ยังมีอีกเวอร์ชั่นที่ไม่กล่าวถึงไม่ได้ คือเวอร์ชั่นภาษาญี่ปุ่นของเกิร์ลกรุ๊ป ชื่อ Berryz Kobo อันแสนน่ารักสดใสในปี 2008 ซึ่งเนื้อเพลงภาคภาษาญี่ปุ่นนั้น ไม่มีเรื่องการดื่มเหล้า ข่มขืน หรือภาพอันโหดร้ายขอสงครามหลงเหลืออยู่เลย
สรุปแล้ว Dschinghis Khan กลายเป็นเพลงดังระดับที่คนเกือบทั้งโลกรู้จัก จนมาถึงปัจจุบันก็ยังคงมีการเอาเพลงนี้มาทำใหม่ หรือเอามาใช้ในเรื่องบันเทิงเริงใจต่างๆ อยู่เป็นระยะ
และในอีกทางหนึ่ง ตั้งแต่ปี 1979 เป็นต้นมา เพลงนี้ก็มีผลทำให้ชื่อของจักรพรรดินักรบชาวมองโกล คนนี้เป็นที่รู้จักแบบกระหึ่มโลกอีกครั้งและยังคงไม่เลือนหายไป
น่าเสียดายอยู่บ้าง ที่เพลงนี้ดูจะพูดถึง เจงกีส ข่าน ในมิติที่ค่อนข้างคับแคบ และเน้นไปทางเฮฮาเท่านั้น
เพราะความจริงชีวิตของจักรพรรดิคนแรกแห่งมองโกลคนนี้ ยังมีอะไรอีกมายมายที่น่าเรียนรู้ ตั้งแต่ชีวประวัติของเขาในนาม เตมูจิน ผู้ที่ผ่านชีวิตโชกโชน ทั้งการสูญเสียบิดาตั้งแต่วัยเยาว์ หรือการที่ภรรยาคนแรกของเขาถูกศัตรูลักพาตัวไป จนเมื่อเติบใหญ่กลายเป็นนักรบ เตมูจินก็คิดค้นวิธีการทำสงครามที่เป็นแบบแผนเฉพาะตัว การใช้ประโยชน์ของการข่าว รวมทั้งการใช้ความเหี้ยมโหดในการทำสงคราม ซึ่งว่ากันว่ากองทัพมองโกลของ เจงกีส ข่าน ฆ่าคนไปกว่า 40 ล้านคน!
ในแง่ความเป็นผู้นำ หลังจาก เตมูจิน สถาปนาตัวเองเป็น เจงกีส ข่าน ในปี 1206 เขาก็กลายเป็นผู้นำผู้ยิ่งใหญ่ที่ขึ้นชื่อเรื่องการเลี้ยงดูลูกน้องที่มีความสามารถ เขายังก่อร่างสร้างระบอบการปกครองในแบบของตัวเอง ซึ่งมีการเปิดโอกาสให้ผู้ใต้ปกครองได้ลงสิทธิ์ออกเสียงในแบบประชาธิปไตย มีการอนุญาตให้ผู้คนนับถือศาสนาได้ตามสมัครใจ แต่ก็ยังอยู่ในกรอบของการรวบอำนาจเบ็ดเสร็จแบบเผด็จการได้อย่างลงตัว
เรื่องราวลึกซึ้งทั้งหมดนั้นพอหาอ่านได้ไม่ยากตามหนังสือหลายต่อหลายเล่มที่มีนักเขียน-นักวิชาการค้นคว้าและเขียนถึงชีวิตของ เจงกีส ข่าน เอาไว้ แต่ไม่ใช่ในบทเพลงที่ดังกระหึ่มและยังไม่ห่างหายไปจากโลกของเพลงป๊อปเพลงนี้
บางทีอาจเป็นเพราะการจะครองโลกจริงๆ นั้นต้องอาศัยทั้งศาสตร์และศิลป์ตลอดจนความรู้ผนวกกับพละกำลังอันมากมาย แถมยังต้องใช้เวลามากกว่าชั่วชีวิต
แต่ถ้าคิดจะครองโลกดนตรี แค่ทำเพลงป๊อปที่ลงตัวมากๆ และสนุกมากๆ ออกมาสักเพลง มันก็อาจจะเป็นไปได้แล้ว
........................................
(หมายเหตุ การครองโลกครั้งที่สองของ 'เจงกีส ข่าน' : คอลัมน์ มองผ่านเลนส์คม โดย... วิภว์ บูรพาเดชะ)