
ตำนานสมเด็จพระนเรศวรมหาราชอวสานหงสา
ตำนานสมเด็จพระนเรศวรมหาราชอวสานหงสา : เอกเขนกดูหนัง โดยณัฐพงษ์ โอฆะพนม
เกือบ 10 ปี นับจากภาคแรก จนมาถึงภาคที่หก ลำดับสุดท้ายของ ตำนานสมเด็จพระนเรศวรมหาราช ในตอนอวสานหงสา และดูเหมือนว่า ภาคนี้เป็นบทสรุปเรื่องราวการต่อสู้ของกษัตริย์นักรบได้อย่างสวยงาม (แม้ตลอดทั้ง 5 ตอนที่ผ่านมา บางภาคได้รับคำยกย่องสรรเสริญ บางภาคก็เต็มไปด้วยเสียงตำหนิติฉิน) อันที่จริง ‘นเรศวร’ ภาคสุดท้าย ก็ใช่ว่าจะเป็นหนังมหากาพย์อิงประวัติศาสตร์ที่สมบูรณ์ ถึงพร้อมไปเสียทุกด้าน หากยังมีข้อบกพร่องปรากฏให้เห็นอยู่เป็นระยะ อาทิ งานเทคนิคพิเศษด้านภาพ ที่เต็มไปด้วยร่องรอยของความไม่กลมกลืน ทั้งฉากหลังและองค์ประกอบแวดล้อมในบางฉาก งานด้านแล็บที่ภาพขาดความคมชัดในบางช็อต การเข้ามาของตัวละครบางตัวที่ดูประดักประเดิด (โดยเฉพาะฉากเปิดตัวเจ้าหญิงมอญ แห่งเมืองเมาะตะมะ) ทว่าหากมองในภาพรวม ‘อวสานหงสา’ ถือเป็นภาคที่สมบูรณ์ที่สุดตอนหนึ่ง
หากย้อนกลับไปสำรวจงานของ ม.จ.ชาตรีเฉลิม ยุคคล จะพบว่าผลงานหนังก่อนหน้า ‘สุริโยไท’ ของราชนิกูล นักทำหนังท่านนี้ ล้วนแล้วแต่เป็นหนังสะท้อนสังคมไทยร่วมสมัย เล่าเรื่องของคนชายขอบหรือชนชั้นล่างที่ตกเป็นผู้ถูกกระทำในสังคม ตลอดจนขับเน้นประเด็นมานุษยนิยมแทบทุกเรื่องไป อาทิ เทพธิดาโรงแรม, ทองพูน โคกโพธิ์ ราษฎรเต็มขั้น, ครูสมศรี, มือปืน(ทั้งสองภาค), น้องเมีย, คนเลี้ยงช้าง, เสียดาย ฯ หรือแม้แต่ สุริโยไท เอง ตัวละครอย่าง ท้าวศรีสุดาจันทร์ และขุนวรวงศา ก็ยังมีมิติของความเป็นมนุษย์มากกว่าใครในเรื่อง ในตำนานสมเด็จพระนเรศวรมหาราช ภาคประกาศอิสรภาพ เป็นอีกตอนหนึ่งที่เรียกได้ว่า สมบูรณ์ครบเครื่อง ทั้งบู๊และบุ๋น ไม่เพียงนำเสนอกลยุทธ์การศึกตีฝ่าทัพพม่า นำพาไพร่พลประกาศอิสรภาพด้วยความฮึกเหิมแล้ว การสร้างปมในใจจากการตกอยู่ในฐานะเชลยของพระนเรศ หรือการเห็นเพื่อนร่วมชาติถูกข่มเหงย่ำยี ล้วนเป็นสถานการณ์ที่สร้างขึ้นเพื่อสนับสนุนหรือโน้มน้าวการกระทำของตัวละคร ให้ดูน่าเชื่อถือคล้อยตาม อันเป็นพื้นฐานของโครงสร้างการเล่าเรื่องผ่านบทหนังที่ดี ซึ่งตัวละครพระนเรศในภาคนี้ ก็ดูมีมิติของความเป็นมนุษย์มากที่สุดแล้ว แม้ความเชื่อแต่โบราณ กษัตริย์คือองค์สมมุติเทพ ที่ผู้คนกราบไหว้และมาในภาคที่หก อวสานหงสา ความเชื่อนี้ก็ถูกตอกย้ำผ่านบทสนทนาของ เมงเยสีหตู (รับบทโดย นิรุตติ์ ศิริจรรยา) ที่เคารพนับถือนันทบุเรง พระเชษฐา ประดุจดั่งพระพุทธเจ้า
อวสานหงสา ดำเนินเรื่องอย่างกระชับฉับไวในครึ่งเรื่องแรก หลายๆ ฉากเชื่อมต่อกันด้วยการลำดับภาพแบบไดนามิคคัท เน้นการขับเคลื่อนแต่ละเหตุการณ์ไปอย่างคืบหน้า มากกว่าทอดอารมณ์หรือแสดงภาพความยิ่งใหญ่ของราชอาณาจักร(แม้หลายฉากการพยายามโชว์เทคนิคพิเศษของการตกแต่งภาพด้วยคอมพิวเตอร์กราฟฟิก จะกลายเป็นการแสดงให้เห็นข้อบกพร่องอย่างเด่นชัดก็ตาม) หนังเล่าเหตุการณ์จัดกระบวนทัพออกไล่ล่าตีเมืองหงสาวดี หวังล้างแค้นให้พระภคิณี พระสุพรรณกัลยาของพระนเรศ และกลยุทธ์จัดทัพตั้งรับของฝ่ายพม่าแต่เพียงผ่านๆ ก่อนจะให้เวลาในครึ่งหลังของการตระหนักถึงสัจธรรมชีวิตของพระนเรศวร การปล่อยวาง วิถีของกษัตริย์นักรบผู้ยิ่งใหญ่
ความเหมือนคล้ายของภาคประกาศอิสรภาพและอวสานหงสา อยู่ที่การเรียนรู้และเข้าใจโลกของมนุษย์คนหนึ่ง เป็นหนังคัมมิ่ง ออฟ เอจ ที่ว่าด้วยการเติบโตทางความคิดและวุฒิภาวะของตัวละครที่ก้าวพ้นวัย จากการผ่านศึกสงครามและการใช้ชีวิตอย่างโชกโชน ในภาคที่สองนั้น กษัตริย์หนุ่มพบว่าชีวิตสุขสบายในรั้วในวัง ไม่สำคัญเท่าอิสรภาพของชีวิต ส่วนในภาคที่หก การกรำศึกสงครามทำให้ค้นพบสัจจธรรมและความหมายในชีวิตที่แท้จริง การละวางระงับ ซึ่งโมหะจริตคือความงามและความสงบในชีวิต และภาระในการปกบ้านป้องเมืองคือหน้าที่ของกษัตริย์นักรบที่ต้องแบกไว้สองบ่าจนวาระสุดท้ายของชีวิต นี่คือหนังที่แสดงแนวคิดแบบมนุษยนิยม อันเป็นแบบฉบับของท่านมุ้ยที่แฟนหนังผู้ติดตามผลงานของท่านมาตลอดพบเห็นและคุ้นเคย การปิดตำนานสมเด็จพระนเรศวรมหาราชครั้งนี้ ไม่เพียงเป็นการสดุดดีวีรกษัตริย์อย่างสมศักดิ์ศรีเท่านั้น หากแต่ยังให้บทสรุปของมนุษย์คนหนึ่ง ที่อาจจะไม่ยอมละวางสถานะนักรบแม้ในวาระสุดท้ายของชีวิต หากแต่รู้จักละวางสังขาร จำนนต่อชะตาและยอมรับต่อการสูญเสียพรากจาก เป็นคนธรรมดาสามัญที่มีทั้งด้านมืดและมุมสว่าง ทั้งยึดเหนี่ยวและปล่อยวาง เป็นตัวละครกลมๆ ตัวหนึ่งที่มีทั้งชั่วดี เรียนรู้จากสิ่งถูกผิดที่ผ่านเข้ามาในชีวิต
คุณค่าของตำนานสมเด็จพระนเรศวรมหาราช อาจไม่ได้อยู่ที่ความยิ่งใหญ่อลังการของฉากศึกสงครามหรือการเนรมิตรบ้านเมืองเมื่อ 500 ปีกลับฟื้นคืนชีวิต ไม่ใช่หนังที่เปี่ยมไปด้วยแง่มุมทางศิลปะ ไม่ใช่หนังที่ปลุกเร้าให้รักชาติอย่างฮึกเหิม บางครั้งคุณค่าของหนังอยู่ที่การสร้างแรงบันดาลใจให้กับผู้คนที่ได้ดูลุกขึ้นมาศึกษา ค้นคว้าเรื่องราวทางประวัติศาสตร์ การต่อยอดทางความคิดของการตั้งคำถามถึงสิ่งที่เกิดขึ้นในอดีตและลงมือค้นหาคำตอบหรือศึกษาหาความรู้ต่อไป รายได้หลายร้อยล้านอาจไม่สำคัญเท่าการสร้างนักประวัติศาสตร์ นักวิชาการ หรือปลูกฝังความรักในการศึกษาวิชาประวัติศาสตร์ให้กับเด็กรุ่นหลัง ผมเคยดูรายการแฟนพันธุ์แท้ และพบว่าผู้แข่งขันแฟนพันธ์แท้ สุริโยไทและตำนานสมเด็จพระนเรศวรมหาราช พวกเขาเติบโตขึ้นมาเป็นครู อาจารย์ นักประวัติศาสตร์เพราะได้แรงบันดาลจากการดูหนังเหล่านี้...นี่คือคุณค่าอันยิ่งใหญ่ของหนังเรื่องหนึ่ง อาจจะยิ่งใหญ่กว่าสถานะของหนังมหากาพย์อิงประวัติศาสตร์ด้วยซ้ำไป