บันเทิง

7 ปี...ที่รอคอย
กว่าจะเป็น "หมอลำอ้อน"

7 ปี...ที่รอคอย กว่าจะเป็น "หมอลำอ้อน"

15 ก.ค. 2552

หลังจากใช้เวลานานถึง 7 ปี นำมา "ลายลำลาว" มาประยุกต์ให้ "ต่าย อรทัย" บันทึกเสียงชุดละเพลง "ครูเพลงบ้านป่า" สลา คุณวุฒิ จึงตัดสินใจทำอัลบั้มชุดพิเศษ "หมอลำดอกหญ้า" เน้นคอนเซ็ปต์ "ลำอ้อน ฟ้อนงาม วัฒนธรรมสองฝั่งโขง"

  หากมองเผินๆ อัลบั้มชุดนี้ก็เป็นรวมผลงานเก่าๆ และเพลงดังในอดีตมาร้องใหม่ เหมือนอัลบั้มรวมฮิตทั่วไป แต่ครูสลาเองกลับมีเหตุผลส่วนตัวที่ไม่เคยเปิดเผยที่ไหนมาก่อน

 "เราเข้ามาตรงนี้ สิ่งที่ต้องทำควบคู่กันไปหน้าที่หลักของเราคือ การทำหน้าที่ของลูกอีสานคนหนึ่ง"
 ครูสลาเล่าให้ฟังว่าตอนที่เข้าสู่วงการนี้ใหม่ๆ ยังเป็นยุคที่สถานีวิทยุในกรุงเทพฯ (เฉพาะคลื่นเอฟเอ็ม) สั่งห้ามเปิดเพลงลูกทุ่งอีสานหรือหมอลำ จึงทำให้คนอีสานเองก็ไม่ยอมเปิดตัวตน ว่าเป็นลูกข้าวเหนียว ซึ่งปมเหยียดชาติพันธุ์นี้มันฝังลึกอยู่ในใจเขามาตลอด

 เมื่อยุคสมัยเปลี่ยน ตลาดเพลงก็เปิดกว้าง ครูสลาจึงอยากทำหน้านี้ตรงนี้ให้สมบูรณ์ และขณะเดียวกันก็อยากให้ลูกศิษย์ได้ตามรอยศิลปินหมอลำรุ่นเก่า

 "ถ้าหาก ว่าเป็นนักร้องที่มาจากภาคอีสานแล้วร้องหมอลำไม่ได้ มันเหมือนยังไม่เข้าถึงความเป็นของจริง จึงมองไปที่ต่าย อรทัย ที่เคยปรารภไว้ว่า ถ้าวันหนึ่งแจ้งเกิดได้ แฟนเพลงยอมรับแล้ว สิ่งหนึ่งที่ไม่เคยลืมเลยก็ คือหาโอกาสเข้ามาทำหน้าที่นี้ให้ได้"

 ดังนั้น ครูสลาจึงทดสอบแฟนเพลง โดยการนำทำนองลำจากฝั่งลาวมาทำให้ร่วมสมัย ให้ต่าย อรทัย ได้ฝึกร้องและบันทึกเสียงตั้งแต่ชุดแรกคือ "จีบแล้วบ่ขอ" (ทำนองขับเชียงขวาง)

 "เป็นการโยนหินถามทางถึงแฟนเพลงว่า “รับได้บ่” หมายถึงว่า ถ้าจะให้นักร้องรุ่นใหม่ร้องเพลงหมอลำ แฟนเพลงรับได้หรือเปล่า จึงทยอยใส่ไปในงานเพลงของต่ายชุดละเพลง ตอนหลังแฟนเพลงก็เรียกร้องอยากฟังต่ายลำทั้งอัลบั้ม และถ้าบอกว่างานชุดนี้ เป็นการเตรียมงานนานที่สุด ก็ไม่ผิด" 

 การนำกลอนลำสลับเพลงที่เคยโด่งดังในอดีตอย่าง "อีสานลำเพลิน" ของ อังคณางค์ คุณไชย หรือ "น้ำตาหล่นบนที่นอน" ของ ฮันนี่ ศรีอีสาน อาจมีเสียงวิพากษ์วิจารณ์ว่า ทำได้ไม่ดีเท่าต้นฉบับ หรือ "ต่ายลำไม่เป็น" ครูสลาก็ยอมรับในความจริงข้อนี้มาตั้งแต่ต้น เพราะอังคนางค์ คือนางเอกหมอลำเสียงทองยุคแรกๆ ส่วนฮันนี่ก็เป็นราชินีหมอลำยุคกลาง

 "ตัวต่ายเอง ไม่ใช่หมอลำธรรมชาติ แบบ ศิริพร อำไพพงษ์ จินตหรา พูนลาภหรือ อังคนางค์ คุณไชย เป็นนักร้องที่ร้องหมอลำ จุดขายของต่าย คือ ความน่าฟังของน้ำเสียง มีลูกคอเป็นเอกลักษณ์ แต่ความกระชับแบบหมอลำแท้ๆ ต่ายยังอาจเข้าไปถึงจุดนั้น ถ้าเทียบคนที่ลำเป็น อย่าง อังคนางค์ บานเย็น รากแก่น หรือ เดือนเพ็ญ อำนวยพร เขาจะลำกระชับจริงๆ ใช่มั้ยล่ะ แต่เด็กรุ่นใหม่ ยากที่จะเป็นอย่างนั้นได้ ยกเว้นว่าชั่วโมงบินมากกว่านี้ จึงตั้งคอนเซ็ปต์ว่า ลำแบบต่ายเรียกว่าลำอ้อน และเน้นฟ้อนให้สวย เน้นที่ท่ารำที่ประยุกต์แล้ว แม้แต่การแต่งกายก็ประยุกต์ให้ร่วมสมัย"

 นั่นคือที่มาของคำว่า "ลำอ้อน" ของหมอลำมือใหม่ และครูสลายังอธิบายต่อถึงเรื่องวัฒนธรรมสองฝั่งโขง 
 "ท่วงทำนองลำมาจากคนทั้งสองฝั่ง แต่ต้นขั้วส่วนมาก มาจากทางฝั่งซ้ายของแม่น้ำโขง ฝั่งลาว ไม่ว่าจะเป็น ขับเชียงขวาง ซึ่งมันจะมาจากทำนองของแต่ละท้องถิ่น ตั้งชื่อของทำนองขึ้นมา ลำพวน หรือ ขับเชียงขวาง เป็นทำนองของเมืองเชียงขวาง ลำตั่งหวาย ลำสาละวัน ลายลำมันจะบอกสถานที่เกิดได้"

 ลายลำต้นขั้วจากโขงฝั่งซ้ายในอัลบั้มชุดนี้ประกอบด้วย "จีบแล้วบ่ขอ" จากลำพวนหรือขับเชียงขวาง, "เอาใจช่วยเด้อ" จากลำตั่งหวาย, "ฮักมาแต่ชาติก่อน" จากลำผู้ไท, "ตั้งใจลืม" จากลำมะหาไซ และ "สาละวัน...อย่าลืมสัญญา" จากลำสาละวัน

 แต่เนื่องจากเป็นลายลำต้นขั้ว ที่ต่างจากลำประยุกต์ทางฝั่งขวา ครูสลาจึงอธิบายว่า
 "มันมีปัญหาอย่างหนึ่งที่รู้สึกได้ แต่ไม่กล้าพูดตรงๆ เดี๋ยวจะว่าดูถูกฝั่งไทยตัวเอง คือมีความรู้สึกว่าลายลำบางลายลำที่เราเอามา พอมาฝั่งไทยจะถูกทอนให้สั้นลง โดยไม่ได้ทำนองเต็มๆ มา อยากให้ลองไปฟังเปรียบเทียบจึงจะเห็นชัด เช่นเดียวกันกับลำสาละวัน บ้านเรามันสั้นลง ตัดทำนองออกบางส่วน ไม่ต่างอะไรกับลำภูไท จึงคิดว่าในการทำเพลงชุดนี้ จะพยายามเข้าถึงต้นฉบับเก่าก่อนจริงๆ"

 สุดท้ายครูสลาแอบหวังว่า "อยากให้เกิดอย่างนั้น เชื่อมวัฒนธรรมสองฝั่งโขง อยากให้เกิดความชื่นชมของทุกคนที่เกี่ยวข้อง มองไปที่ครูบาอาจารย์ สอนเรื่องการร้องการรำของอีสานเรา รวมไปถึงฝั่งลาวด้วย ได้ฟังต่ายร้อง เห็นเด็กรุ่นใหม่ทำได้ขนาดนี้ก็คิดว่า น่าจะยอมรับได้ และหวังว่าถ้าอัลบั้มชุดนี้ ประสบความสำเร็จในเรื่องของการตลาด มันอาจจะทำให้หมอลำเข้าไปถึงเด็กเยาวชนว่า อย่างน้อยรู้จักการฟ้อน"

 มีข่าวว่าทางแกรมมี่เองก็พยายามเข้าไปร่วมส่งเสริมกิจกรรมการฟ้อน การขับลำในกลุ่มนักเรียนทั่วภาคอีสาน ก็ต้องติดตามกันต่อไปว่ามันจะจุดประกายให้เยาวชนรักในวัฒนธรรมพื้นบ้านมากน้อยแค่ไหน