บันเทิง

บางระจัน24(อวสาน)

บางระจัน24(อวสาน)

17 ก.พ. 2558

บางระจัน24(อวสาน)


 
    ใจดึงสไบข้ามสะพานมาในมุมที่ห่างจากทุกคน
    "แกเข้ามาได้ยังไง"
    "สไบ ฟังพี่ก่อน"
    สไบตบหน้าใจอย่างแรง ใจอึ้ง
    "บอกมาว่าแกลอบเข้ามาที่นี่ได้ยังไง ไอ้ไส้ศึก ไอ้คนทรยศ"
    ใจบีบแขนสไบแน่น มองหญิงสาวด้วยสายตาจริงจัง
    "ฟังพี่ สไบ ไม่ใช่แค่ในค่ายนี้ ในกรุงศรีก็มีไส้ศึกอังวะอยู่เต็มไปหมด แม่ทัพอังวะถูกสั่งให้ลบชื่อกรุงศรีอยุธยาลงให้ได้"  
    สไบส่ายหน้าไม่อยากฟังแต่ใจจับไหล่สไบมาเผชิญหน้า
    "ทัพอังวะเตรียมการรบมาอย่างดี จะไม่ถอยเหมือนศึกที่แล้ว ต่อให้น้ำหลากท่วมเต็มนอกกำแพงกรุงศรี ก็จะไม่มีวันถอย กรุงศรีอยุธยาคงสิ้นไปจากสุวรรณภูมิแน่ครานี้"
    สไบฟังด้วยความตะลึง
    "เพลานี้ กรุงศรีกำลังเข้าตาจน ทัพอังวะล้อมรอบกำแพงกรุงศรีทุกด้าน คนในกำแพงกำลังจะอดตาย"   
    "ไม่จริง แผนของพวกแกไม่มีวันเป็นจริง"
    "สไบเชื่อพี่ ไม่ใช่แค่ค่ายบ้านระจัน แม้กรุงศรีอยุธยาก็ต้องแตก แผ่นดินอยุธยาจะต้องเสียให้แก่อังวะ"
    ใจพูดด้วยความเชื่อมั่น แต่สไบฟังแล้วแทบทรุด
    "ไม ไม่จริง"
    "หนีไปกับพี่ ค่ายระจันกำลังจะถูกยิงถล่มจากปืนใหญ่ ค่ายระจันไม่มีทางรอดแล้ว"
    สไบเสียใจ ร้องไห้สะอึกสะอื้น ใจพยายามดึงสไบลุยน้ำไป
    ที่ลานวิหารหลวงพ่อธรรมโชติ ทัพกับทุกคนฟังเสียงสวดมนต์ของหลวงพ่อธรรมโชติในพิธีหล่อปืน พระอาจารย์ธรรมโชติถือสายสิญจน์ที่ผูกโยงกับแม่พิมพ์ปืนใหญ่ เพ่งสมาธิสวดปลุกเสกดังไปทั่วศาลา พ่อค่ายและคนอื่นๆ นั่งพนมมือ ตั้งจิตอยู่รายรอบ
    พระศักดิ์สงครามให้พนักงานยกเบ้าหลอมที่เหล็กละลายแดงฉาน ปีนขึ้นไปบนนั่งร้านเทใส่พิมพ์ปืนใหญ่ จู่ๆ แสงฟ้าก็สว่างวาบจนแสบตา เสียงฟ้าร้องดังขึ้น ทุกคนตกใจ สายฟ้าผ่าลงที่ต้นไม้ใกล้ๆ ลานหล่อปืน เสียงกึกก้อง ต้นไม้ไฟลุกไหม้ในพริบตา ทุกคนสายตาประหวั่น พระยารัตนาธิเบศร์ไม่เคยเห็นอาเพศเช่นนี้มาก่อน หลวงพ่อธรรมโชติลืมตามองเหล็กที่ไหลลงเบ้าหลอมปืนใหญ่ ประหวั่นใจ  
    "อยู่ๆ ฟ้าผ่าอะไรกัน ลมฝนก็ไม่มี"
    สิ้นเสียงพระยารัตนาธิเบศร์ แสงฟ้าก็สว่างวาบขึ้นอีก สายฟ้าฟาดลงที่ต้นไม้ใกล้ๆ กันอีกต้น กาน้ำพระยารัตนาธิเบศร์กระเด็นตกจากตั่ง แตกกระจาย เพราะแรงสั่นสะเทือน พระยารัตนาธิเบศร์ตกใจ แต่พยายามระงับสติ
    ที่ป่าดงตาลริมคลองหลังค่ายระจัน ใจดึงสไบข้ามน้ำมาขึ้นอีกฝั่งหนึ่ง สไบตกใจตัวสั่น หันไปมองหน้าค่าย ใจกระชากแขนสไบเดินต่อ
    "สไบ เชื่อพี่ หนีไปกับพี่เดี๋ยวนี้ พี่มีอุโมงค์ลับ พาสไบหนีได้"
    ใจพูดแกมบังคับ
    ทัพลุกขึ้นมองฟ้า ฟ้าผ่าหายไป ไม่มีท่าทีจะผ่าลงมาอีก พระยารัตนาธิเบศร์มองไปที่หลวงพ่อธรรมโชติที่นั่งสงบนิ่ง
    "นิมนต์ทำพิธีกันต่อเถอะ หลวงพ่อ"
    หลวงพ่อธรรมโชติมองไปที่ทัพและนักรบทุกคน ทัพเห็นแววตาวิตกในดวงตาของหลวงพ่อ สังข์ดึงทัพนั่งลงแล้วพูดให้ได้ยินกันสองคน
    "ข้าว่าฤกษ์ไม่ดีเสียแล้ว เอ็งดูหน้าหลวงพ่อธรรมโชติสิ"
    "ไม่มีอะไรหรอก" ทัพปลอบ
    "เร่งพิธีเถิดหลวงพ่อ อย่างไรเราก็ต้องหล่อปืนใหญ่ให้ชาวค่ายระจันให้ได้"
    พระยารัตนาธิเบศร์บอก พระอาจารย์ธรรมโชติหลับตาลง ตั้งจิต แต่ยังไม่สวด พระยาศักดิ์สงครามเร่งให้พนักงานไปยกเบ้าหลอมเบ้าใหม่ขึ้นมา แล้วเดินมาหาทัพ
    "หากหล่อปืนใหญ่ครั้งนี้สำเร็จ นับว่าเป็นความสามารถของเจ้าโดยแท้นะพ่อทัพ และยิ่ง
    ถ้าชาวระจันรบชนะศึกอีก เอ็งจะได้ความดีความชอบไม่น้อยทีเดียว"  
    "กระผมมิได้หวังความดีความชอบอันใดเลยขอรับ คุณพระ"
    พระศักดิ์สงคราม มองทัพอย่างเอ็นดู
    "ที่ทำลงไป เพราะไม่อยากเห็นแผ่นดินเราต้องถูกย่ำยีจากคนเมืองอื่น ภาษาอื่น ที่นี่เป็นผืนดินเกิด ได้อยู่ ได้ทำนาปลูกข้าวหาเลี้ยงตัวมาตั้งแต่บรรพบุรุษ จะปล่อยให้คนชาติอื่นเมืองอื่นมาฉกฉวยแย่งแผ่นดินไป ก็เหมือนลูกหลานเนรคุณ ปู่ย่าตาทวดจะสาปแช่งให้ตกนรกหมกไหม้มิรู้กี่ขุม"
    พระศักดิ์สงครามลูบหัวทัพเบาๆ แล้วเดินไปสั่งการต่อ หลวงพ่อธรรมโชติ เริ่มสวดต่อ ระหว่างนั้นเฟื่องสังเกตว่าสไบหายไป แฟงกับจวงจึงอาสาไปตามสไบ
    สไบถูกใจลากตัวมาจนพ้นแนวคลองหลังค่าย
    "พี่ขุดอุโมงค์ไว้เพื่อพาสไบหนี ไปกับพี่นะ"
    "ไม่ ปล่อย ปล่อยฉัน"
    สไบขัดขืน ใจไม่ยอมปล่อย
    แฟง จวง เดินมามองหาสไบ เห็นกระชุตักน้ำของสไบตกอยู่ เอะใจว่าจะเกิดเรื่องไม่ดีขึ้น แฟงรีบวิ่งข้ามสะพานไปทันที
    ใจลากตัวสไบมาทั้งๆ ที่มองอะไรไม่เห็น แฟง จวง วิ่งตามมาอย่างรวดเร็ว
    "พี่สไบ พี่สไบอยู่แถวนี้หรือเปล่า"
    "พี่สไบ พี่สไบอยู่ไหน"
    ใจได้ยินเสียงแฟง ก็กระชากสไบหลบลงหลังพุ่มไม้ สไบจะร้อง ใจปิดปากสไบไว้ อีกมือดึงมีดที่เหน็บซ่อนเอวออกมา แฟง จวง เดินร้องหามาใกล้ ใจมองสไบ สไบส่ายหน้า  
    "พี่ไม่ทำอะไรแฟงกับจวง สไบต้องเงียบ"
    สไบหยุดร้อง หยุดดิ้น เพราะห่วงเพื่อน แฟงกับจวงเดินร้องหามาใกล้กับพุ่มไม้ ใจปิดปากสไบไว้ แฟงกับจวง มองไม่เห็นสไบ ก็เดินห่างไป ใจค่อยๆ เอามือออกจากปากสไบ
    "อย่าทำแฟง แฟงท้อง"
    ใจตกใจ สไบขยับตัวพุ่งออกไป แฟง จวง ได้ยินเสียงด้านหลังก็หันกลับไป
    "พี่สไบ"
    สไบยืนเก้อ ทำอะไรไม่ถูก ไม่กล้าบอกว่ามีใจอยู่ ใจตกใจ
    "พี่สไบมาทำอะไรที่นี่"
    ใจมอง เห็นท่าไม่ดีกลัวว่าสไบจะร้องให้ช่วย จึงรีบหันหลังผลุบหายไปทันที แฟง จวง รีบเดินไปค้นดูในพุ่มไม้ด้วยความสงสัย แต่ไม่เห็นใคร แฟงกลับออกมา สไบสีหน้าไม่ดี
    "พี่ใจใช่มั้ย"
    "จ้ะ"  
    "เขากลับมาทำไม" จวงถาม
    "แฟง เขาจะมาพาพี่หนี แต่พี่ไม่ไป"
    แฟงจะวิ่งตาม จวงดึงไว้
    "อย่าไปแฟง อาจมีพวกทหารอังวะรออยู่"
    "ฉันไม่กลัว"
    "อย่าแฟง อย่าตามไป แฟงกำลังท้องกำลังไส้ห่วงตัวเองก่อน กลับไปบอกพวกผู้ชายให้มาคอยระวังแถวนี้ไว้ดีกว่า พี่ใจเขาคงหนีไปไกลแล้ว"    
    สไบห้ามแฟงไว้ ทั้งๆ ที่ก็ห่วงว่าใจอาจจะยังไม่ไปไหนไกล
    ใจวิ่งคลำทางมาอย่างเร็ว พอถึงมุมหนึ่งใต้ต้นไม้ใหญ่ มีพุ่มไม้ใบหนา เขาพุ่งไปด้านหลัง  มีเนินดินที่ถูกปิดไว้ ใจคลำยกซากกิ่งไม้แห้งออก เปิดฝาที่ปิดไว้ มีโพรงที่ถูกขุดลึกลงไป ใจมุดลงไปในโพรงแล้วเอากิ่งไม้แห้งปิดบังไว้เหมือนเดิม
    ภายในอุโมงค์มืด ใจคลานมาด้วยความยากลำบาก จนกระทั่งมาถึงปากหลุม ใจกระทุ้งแผงปิดออก โผล่ขึ้นมาสูดลมหายใจ ก่อนพยายามพยุงร่างตัวเองเดินต่อ
    ใจเดินแอบลัดเลาะมาตามทาง กองม้าลาดตระเวนของสุกี้ขี่ผ่านไป ใจหมอบ แล้วออกจากที่ซ่อน ปัดเนื้อตัวที่เลอะเศษดิน แล้วเดินคลำทางไปไม่ให้ใครผิดสังเกต
    ทัพ สังข์ และขาบ ค้นหาร่องรอยของใจ จากปากคำของสไบและพวก แต่ไม่พบ  
    "มันคงกลับมาดูลาดเลา" แฟงบอก
    สไบสีหน้าไม่ดี ทุกคนมอง
    "มันพูดบอกอะไรบ้างหรือเปล่า สไบ" ขาบถาม
    "เขาบอกว่า ค่ายระจันมิมีวันรอด อังวะจะเอาปืนใหญ่ยิงถล่มจนแหลก และกรุงศรีอยุธยาจะต้องถูกลบชื่อไปด้วย"
    "ชาติชั่ว หากเป็นอย่างมันว่า ศึกนี้เหี้ยมโหดกว่าคราวบุเรงนองยกมาเสียอีก" สังข์โกรธ
    "เขายังบอกอีกว่าถึงน้ำหลากท่วม ทัพอังวะก็จะไม่ถอย"
    "นี่พวกมันจะอยู่กันจนเลยหน้าน้ำหลากเชียวหรือ" จวงสลด
    "มันรู้เรื่องเรากำลังหล่อปืนใหญ่มั้ย" ทัพถาม  
    "น่าจะรู้"
    "มันคงคิดว่าเราไม่มีทางสู้" สังข์แค้น
    "เขารู้ว่าเราต้องสู้ เขาถึงเสี่ยงเข้ามาเอาตัวสไบ" เฟื่องติง
    ทุกคนมองเฟื่องที่เห็นต่าง เฟื่องมองสไบ
    "เขาคงรักสไบจริงๆ"
    สไบส่ายหน้าไม่ยอมรับ กลัวทุกคนระแวง
    "ฉันจะไม่มีวันหนีเอาตัวรอดไปคนเดียว ยังไงฉันก็จะสู้กับทุกคนอยู่ในค่ายนี้"  
    "เรากำลังจะมีปืนใหญ่ไว้ยิงพวกมัน ให้มันรู้ว่าคนระจันนั้นสู้ขาดใจ"
    แฟงยิ้มกับทุกคนด้วยความเชื่อมั่น
    พระศักดิ์สงครามและคณะเดินตรวจพิมพ์ปืนใหญ่ทั้งสองกระบอก รอเวลาถอดพิมพ์ ทุกคนนั่งมองอย่างใจจดจ่อ
    หลวงพ่อธรรมโชตินั่งวิปัสสนาอยู่ในวิหาร ภาพในนิมิต เห็นค่ายบางระจันถูกระเบิด ไฟเผาผลาญไปหมด ชาวค่ายวิ่งหนีการสังหารจากพวกอังวะอย่างน่าเวทนา หลวงพ่อลืมตาขึ้นมอง ไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้นเหมือนในนิมิต พระยารัตนาธิเบศร์นั่งอยู่ใกล้ๆ หันไปมองอย่างแปลกใจ หลวงพ่อธรรมโชติรู้สึกวิตกกับลางร้ายบอกเหตุหลายอย่างที่เกิดขึ้น
    "เห็นทีคงหนีชะตาแผ่นดินไม่พ้นเสียแล้ว"
    หลวงพ่อธรรมโชติมององค์พระพุทธรูป ก้มลงกราบ พระยารัตนาธิเบศร์ขยับเข้าใกล้
    "พระคุณเจ้าเกิดนิมิตอันใดหรือ"
    พระอาจารย์ธรรมโชติเดินไปที่หน้าต่าง มองไปยังศาลาการเปรียญที่ชาวค่ายกำลังนั่งรอแกะพิมพ์ปืนใหญ่อยู่  
    "โยมเจ้าคุณจงพาคณะกลับกรุงศรีอยุธยาเถิด โยมเจ้าคุณทำดีที่สุดแล้ว"
    "แต่กระผมอยากจะอยู่รอแกะพิมพ์ก่อนพระคุณเจ้า"
    "โยมไม่มีเวลาเหลืออีกแล้ว รีบกลับไปป้องกันกรุงศรีเถิด ค่ายบางระจันนี้เป็นหน้าที่ของชาวค่ายเอง"
    "นี่คือนิมิตที่พระคุณเจ้าได้เห็นหรือ"
    "ชะตาชีวิตของคนเกิดแต่กรรม สรรพสิ่งในโลกล้วนเป็นไปตามกรรม กลับไปเถิด เราต่างมีกรรมต่างวาระกัน"
    "แล้วชาวค่ายจะรู้สึกอย่างไร เขาจะเสียขวัญ"
    "ก็อย่าบอก พาคณะออกไปทางหลังค่ายเงียบๆ"
    พระยารัตนาธิเบศร์นิ่งเงียบ ก่อนจะคุกเข่าพนมมืออย่างยอมจำนน
    "ขอกระผมได้พบกับไอ้ทัพสักคนได้มั้ย"
    "อาตมาจะให้มันตามไปพบที่ป่าหลังค่าย"
    พระยารัตนาธิเบศร์ก้มลงกราบ พระอาจารย์ธรรมโชติยังคงมองออกไปนอกหน้าต่างนิ่ง  ไม่มองพระยารัตนาธิเบศร์แม้แต่นิดเดียว

000000000000000000

    ทัพควบอ้ายเลามาอย่างรวดเร็วจนมาถึงกลุ่มพระยารัตนาธิเบศร์ที่ยืนรออยู่ใต้ต้นไม้กับกองทหารม้า ทัพหยุดม้ากราบพระยารัตนาธิเบศร์อย่างสำนึกในบุญคุณ
    "พระคุณเจ้าธรรมโชติคงบอกเหตุผลเอ็งแล้วนะว่าทำไมข้าต้องรีบกลับกรุงศรี"
    "ขอรับ"
    "ข้าไม่อาจกลับกรุงศรีโดยไม่ลาเอ็ง อยากขออภัยเอ็ง ที่ช่วยได้เท่านี้จริงๆ"
    "แค่นี้ก็เป็นพระคุณแก่เกล้ากระผมอย่างหาที่สุดมิได้แล้ว อย่าร่ำไรอาลัยเกล้ากระผมเลย หนทางเข้ากรุงศรีอยุธยาคงแคบลงกว่าเดิม ท่านเจ้าคุณและคณะจะมิปลอดภัย"
    "เอ็งและชาวค่ายระจันนี้ หัวใจมันกล้าเกินคน เป็นบุญข้านัก ที่ได้มีโอกาสมาเห็นหน้าพวกเอ็งทุกคน"
    "เกล้ากระผมขอสาบานว่าจะขอปกป้องแผ่นดินนี้ด้วยชีวิต"
    พระยารัตนาธิเบศร์ ยกมือขึ้นไหว้จบเหนือหัว
    "ข้าก็จะขอให้สัตย์สาบานกับเอ็งว่า ข้าก็จะรักษาแผ่นดินกรุงศรีอยุธยาด้วยชีวิตข้าเช่นกัน"
    "อย่างไรเสียแผ่นดินกรุงศรีก็สำคัญกว่าชีวิตพวกเกล้ากระผมมากนัก"
    "ไม่มีแผ่นดินไหนจะสำคัญกว่าแผ่นดินของเรา เรายอมตายเพราะมันเป็นแผ่นดินของเรา"
    ทัพก้มลงกราบ ไม่ยอมเงยหน้า พระศักดิ์สงครามเข้ามา
    "เราคงต้องเร่งออกเดินทางแล้วท่านเจ้าคุณ หนทางมันอันตรายนัก"
    พระยารัตนาธิเบศร์ตัดสินใจขึ้นม้าควบออกไปทันที พระศักดิ์สงครามและคณะควบตามไปอย่างรวดเร็ว ทัพมองทั้งน้ำตา รู้ชะตากรรมตัวเอง
    พนักงานตีกลองศึก พวกพ่อค่ายวิ่งขึ้นมาบนระเนียด ทัพควบม้ามาจากหลังค่าย สังข์ควบม้ามาจากอีกทางหนึ่ง ทั้งสองวิ่งขึ้นไปหาพวกพ่อค่ายบนระเนียดมองตรงไปข้างหน้า ใจหายวาบ เห็นหอปืนใหญ่ของสุกี้นายกอง และกองทหารยืนประจันหน้าอยู่เต็มทุ่ง
    สุกี้นายกองควบม้าผ่านแถวทหารที่ยืนอยู่หน้าหอปืนใหญ่มาที่จาด
    "อองนายไปไหน สยา"
    "คนใจอ่อน ตาบอด ไม่จำเป็นต้องมาอยู่หน้าทัพ"  
    "สยา ต่อไปนี้ข้าจะขอเป็นคนตัดสินโทษอองนายเอง คนใจอ่อนจะเป็นกองสอดแนมไม่ได้"
    จาดไม่ตอบ สุกี้เงยขึ้นไปมองหอปืนที่สูงตระหง่านข้างหลัง อย่างแค้นใจ
    "วันนี้ ปืนใหญ่ข้า จะได้ยิงข้ามกำแพงค่ายมันได้เสียที กองปืนใหญ่ พร้อม ยิง"
    ปืนใหญ่บนหอ ยิงออกไปราวห่าฝน
    ทัพ สังข์ และพวกพ่อค่ายที่ยืนอยู่บนระเนียดค่ายยังไม่ทันตั้งตัว กระสุนปืนใหญ่ก็ตกลงมาใกล้ๆ ชาวค่ายต่างวิ่งหนีตายอลหม่าน ลูกปืนใหญ่พุ่งมาโดนหอกลองเข้าอย่างจัง หอปืนระเบิดล้มลงกระแทกพื้นอย่างแรง ทัพและพวกพ่อค่ายหันไปมองใจหาย
    "ต้องเอาปืนใหญ่มายิงสู้มัน" นายโชติบอก
    "ไปแกะพิมพ์ปืนใหญ่กันเถอะ"   
    นายทองแก้ววิ่งนำลงไป นายโชติวิ่งตาม ในขณะที่ปืนใหญ่ยังยิงระดมมาไม่ขาดสาย
    "ไปช่วยพ่อทองแก้วเถิดพวกเรา"
    นายดอกไม้วิ่งไป นายอินกับนายเมืองวิ่งตาม ทองแสงใหญ่หันมาสั่ง
    "ไอ้ทัพ ไปห้ามซิ ยังไม่ถึงเพลาแกะพิมพ์ ยังแกะไม่ได้"
    ทัพวิ่งตามไปทันที สังข์กำลังงงว่าจะทำอย่างไรดี ก็พอดีกับที่นายพันเรืองร้องสั่ง
    "พวกเรา เอาไม้ค้ำประตูค่ายไว้"
    สังข์รีบโดดลงไปช่วยพวกชาวค่ายเอาเสาไม้มาค้ำประตู จวงวิ่งเข้ามาด้วยความเป็นห่วงสังข์ สังข์เห็นจวงวิ่งมาก็ตกใจรีบไปดึงจวงหลบ
    "ออกมาที่หน้าค่ายนี่ทำไม"
    "ก็ฉันเป็นห่วงพี่"
    "รีบกลับไปที่หลังค่าย หน้าค่ายนี่มันอันตราย"
    "พวกอังวะมันยิงปืนใหญ่มาอย่างกับห่าฝน เราจะรอดไปได้อีกกี่มื้อจ๊ะพี่"
    "พวกพ่อค่ายกำลังไปเอาปืนใหญ่มายิงสู้กับมัน จวงกลับไปอยู่กับแม่เถอะ ไป"
    "ให้ฉันอยู่กับพี่ไม่ได้หรือ"
    "ไม่ได้ ไป ไปดูแม่เถอะ"
    "พี่สังข์"
    จวงร้องไห้โผเข้ากอดสังข์แน่นไม่อยากจาก สังข์เข้าใจความรู้สึกจวงจึงไม่กล้าไล่อีก
    นายทองแสงใหญ่ หันมามองพันเรืองอย่างขอความเห็น
    "เอาไงดีพ่อพันเรือง"
    "ไม่เอาปืนใหญ่สู้ เราจะใช้อะไร"
    ทองแสงใหญ่เองก็หมดหนทาง  
    สังข์ ขาบ และเหล่านักรบช่วยกันพาชาวบ้านหลบมาจากหน้าค่าย นายทองแก้วตะโกนขึ้น
    "แกะพิมพ์ปืนใหญ่ ช่วยกันแกะพิมพ์ปืนใหญ่ออกเร็ว"
    ชาวบ้านชายรีบวิ่งขึ้นไปบนนั่งร้านทันที
    "ไหนว่าวันเพ็ญอาสาฬหะบูชาโน้นถึงจะแกะพิมพ์ได้ไงพ่อ" สังข์ถาม
    "ต้องแกะเดี๋ยวนี้ ต้องเอาปืนใหญ่ไปสู้กับมัน เร็ว ช่วยกัน" นายดอกไม้สั่ง
    พวกพ่อค่ายพากันวิ่งขึ้นไปบนนั่งร้านปืนใหญ่ ถอดไม้ปะกบ ทัพวิ่งเข้ามา
    "อย่า อย่าแกะพิมพ์ พ่อทองแสงใหญ่ยังไม่ให้แกะ"
    ชาวบ้านชะงักมองทัพ
    "เอ็งไม่เห็นหรือพวกอังวะมันเอาปืนใหญ่ยิงถล่มค่ายเรา ดาบเอ็งจะไปสู้อะไรปืนใหญ่ได้" นายอินท้วง
    "ใช่ อย่าไปฟังมัน ช่วยกันเร็ว เดี๋ยวได้ตายกันหมด"
    ชาวบ้านไม่ฟังเสียง ช่วยกันเอาฆ้อนใหญ่มารื้อนั่งร้านทันที
    "ปืนใหญ่เท่านั้นจะสู้ปืนใหญ่ได้ แกะพิมพ์เร็วกว่ากำหนดไม่กี่วันเอง ไม่เป็นไรดอก"
    นายเมืองบอกกับชาวบ้าน ทัพไม่อาจห้ามได้ ยืนมองอย่างหมดหวัง
    ชาวบ้านวิ่งหนีระเบิดหลบเข้ามาอยู่ในศาลาเก็บของวัดโพธิ์เก้าต้น ฟักพาจันทร์กับเฟี้ยมตามเข้ามา ทุกคนตกใจทำอะไรไม่ถูก ปลิวกับโย่งกอดกันร้องไห้ที่รู้ว่าลูกหายไป เฟี้ยมนึกถึงเฟื่องกับแฟง ฟักนึกได้จะวิ่งออกไปตามน้อง จันทร์ตะโกนให้ตามทัพกับจวงให้ด้วย
    ปืนใหญ่กระบอกแรกถูกทุบพิมพ์ออก ชาวบ้านช่วยกันดึงกว้านลงวางบนแท่นไม้ ทุกคนดีใจวิ่งเข้ามาดู แต่พากันเงียบ ทัพวิ่งไปดูใกล้ๆ ว่าเกิดอะไรขึ้น ตกใจ ชาวบ้านเสียใจร้องไห้โฮทั้งชายหญิง ทัพยืนมองน้ำตาไหลออกมาอย่างไม่รู้ตัว
    เสียงปืนใหญ่ยังดังต่อเนื่อง สไบช่วยพาชาวค่ายหลบระเบิด แล้วตัวเองก็หลบเข้าไปอยู่ข้างกระท่อม มองไปข้างหน้าว่าจะเกิดอะไรขึ้น ตกใจที่เห็นใจ สไบมองอย่างเกลียดชัง
    "พี่มาดี"
    "จะหลอกให้ฉันเชื่ออีกหรือ"
    "พี่มีโอกาสเพียงครั้งนี้ครั้งเดียว สไบ ชุกคยีนายกองจะบุกก่อนวันเพ็ญมาฆะ สไบต้องหนี"
    "คิดว่าฉันจะขี้ขลาดถึงขนาดนั้นหรือ"
    "เพราะคนระจันไม่ขี้ขลาด ไม่วิ่งหนี เพราะคนระจันเป็นน้ำหนึ่งใจเดียว ชุกคยีนายกองถึงต้องใช้วิธีเหี้ยมโหดกับชาวระจัน"  
    "ฉันยอมตายอยู่ทีนี่ ไม่มีวันหลบไปอยู่กับศัตรู"
    ใจเดินเข้ามาใกล้ สไบถอยห่าง
    "ฉันถือว่าเราตายจากกันแล้ว"   
    "แต่พี่ไม่เคยลืม สไบ"
    "ลืมฉันเสียเถิด จำไว้ก็ไม่มีวันได้สมหวัง"
    ใจไม่สนใจ พุ่งเข้ากอดสไบ สไบดิ้นรน แต่ใจกอดไว้แน่น
    "ไม่ลืม พี่จะไม่ลืมสไบ แม้หมดลมหายใจ"
    สไบฟังแล้วพยายามกลั้นน้ำตา
    "ไปซะตอนนี้ อย่าให้ฉันต้องเรียกคนมาฟันคอพี่"  
    ใจกอดสไบแน่น สไบสะอื้นออกมาเบาๆ หยุดดิ้น ใจได้ยินเสียงสะอื้น ยกมือปาดน้ำตาให้ ทั้งๆ ที่ตัวเองก็น้ำตาไหลออกมา
    "จำไว้ พี่รักสไบ ไม่เคยคิดจะทอดทิ้ง ที่บากหน้ามาทั้งๆ ที่รู้ว่าอาจจะถูกจับ ถูกฆ่า ก็เพื่อรักษาชีวิตทุกคนที่นี่ พี่จะมาพาทุกคนหลบออกไป ทุกคนที่นี่ดีกับพี่ โดยเฉพาะสไบ พี่รักสไบ ถึงรักไม่ได้ก็จะรัก รักไปจนวันตาย พี่มีอุโมงค์ลับ สามารถพาสไบออกไปจากที่นี่   สไบไปกับพี่เถอะ"
    สไบน้ำตาไหลพราก ใจเข้ามาจะจูงมือสไบไป สไบผลักใจออกห่าง
    "ไป ไปให้ไกล ที่นี่บ้านฉัน ฉันจะตายที่นี่"
    ใจเสียใจ สไบหันหลังร้องไห้สะอื้น ใจอยากเข้าไปกอดปลอบ แต่รู้ว่าไม่มีวันเปลี่ยนใจสไบได้อีกแล้ว ใจเดินหายออกไป ทิ้งให้สไบร้องไห้สะอื้นด้วยความเศร้าอยู่เพียงลำพัง
    จันทร์ เฟี้ยมและทุกคนตกใจไม่รู้อนาคตตัวเอง พ่อดอกไม้ก็เดินเข้ามา
    "ใครไม่กลัวตาย ไม่คิดจะหนี จงออกไปสู้กับข้า โย่งลุกขึ้นทันที
    "งั้นตามข้ามา"
    นายดอกไม้เดินออกไป โย่งกอดลาเมียด้วยความอาลัย แล้วตามพ่อดอกไม้ไป  
    ฟักพาแฟง เฟื่อง จวง และชาวค่ายอีกกลุ่มวิ่งเข้ามา ทุกคนร้องไห้อยู่รอบๆ แท่นปืนใหญ่ เฟื่องเดินไปหาขาบซึ่งนั่งเสียใจอยู่
    "มีอะไรกันหรือพี่ขาบ เราแกะพิมพ์ปืนใหญ่แล้วหรือ"
    "ก็ดีซิ เราจะได้เอาไปยิงสู้กับพวกอังวะ" จวงบอก
    สังข์เข้ามาดึงจวงออกมากอดไว้ จวงงง ไม่เข้าใจ แฟงเขย่าทัพให้ลุกขึ้น
    "ทำไมพี่ทัพไม่เอาปืนใหญ่ไปยิงสู้พวกมัน ช่วยกันเข็นปืนใหญ่ไปซิ เอาไปยิงสู้กับมัน"
    ทัพมองแฟงอย่างสงสาร
    "ใจเย็นก่อนแฟง ใจเย็นไว้ ปืนใหญ่มัน ใช้ยิงไม่ได้แล้ว"
    แฟงตกใจ ค่อยๆ เดินเข้าไปดู เห็นรอยร้าวที่กระบอกปืนใหญ่เป็นรอยยาว แฟงกอดปืนใหญ่ร้องไห้
    "ไม่จริง ไม่จริง"
    ทัพเข้ามากอดแฟงไว้
    "ทำไมมันเป็นอย่างนี้ไปได้ ทำไม พี่ทัพ"
    เสียงพระอาจารย์ธรรมโชติดังขึ้น
    "บุญของชาวระจันยังไม่ถึงจะมีปืนใหญ่มาประดับบารมี ลูกเอ๋ย อย่าทุกขเวทนาเป็นสังเวชอยู่เลยลูก การไม่มีปืนใหญ่มิได้หมายว่าทุกอย่างจะดับสูญ"
    "ไม่มีปืนใหญ่เราจะชนะมันได้อย่างไร" นายโชติถาม
    "ความกล้าของตนต่างหากคือบารมีคุ้มตัว"
    "สู้ไป เราจะรอดมั้ยพระคุณเจ้า" นายเมืองถาม
    "ขึ้นอยู่ที่เจตนา ว่าสู้เพื่ออะไร"
    ทุกคนเงียบ สำรวจเจตนาตัวเอง หญิงคนหนึ่งจูงลูกที่เนื้อตัวมอมแมมเพราะวิ่งหนีระเบิดลุกขึ้น
    "ฉันไม่สู้ หลวงพ่อดูลูกฉันซิ ฉันสงสารลูก อย่าให้ลูกฉันต้องมาตายในศึกนี้เลย"
    "การพลัดพรากเป็นเพียงการพ้นไปจากความเคยชิน ความรักความห่วง เป็นเพียงความรู้สึกว่าสิ่งนั้นเป็นของเรา แท้จริงในโลกนี้ไม่มีอะไรเป็นของเราเลย จงแยกย้ายกันไปตามบุญของตนเถิด"
    พระอาจารย์ธรรมโชติ เดินกลับไปที่โบสถ์อย่างสงบ ชาวบ้านหลายคนต่างร้องตะโกนว่าจะไม่อยู่ที่ค่ายนี้ แล้วพากันวิ่งไปคนละทิศละทาง สังข์พยายามห้าม
    "อย่าไป ออกไปตอนนี้ก็ตายเปล่า พวกอังวะมันล้อมไว้หมดแล้ว"
    ชาวบ้านไม่มีใครยอมฟัง วิ่งกันเตลิด สังข์เสียใจที่ไม่มีใครฟัง แล้วเสียงสไบก็ดังขึ้น
    "ถ้าใครไม่คิดจะอยู่ ฉันพอมีทางพาหนีได้ เด็ก ผู้หญิง คนเฒ่าคนแก่ที่จับดาบสู้ไม่ไหว ฉันพอพาหนีได้"
    จวงมองสไบอย่างแปลกใจ
    "พี่สไบมีทางหนีจริงๆ หรือ"
    "มี คิดว่ามีจ้ะ แต่คงไปได้ไม่มาก"
    "ใครมีห่วงก็หลบไป แต่ฉันจะอยู่สู้ตายที่นี่" นายอินบอก
    "ใครไม่อยู่ก็ตามแม่สไบไป" นายดอกไม้แนะ  
    ทุกคนรีบเช็ดน้ำตา ลุกขึ้นไปอยู่ข้างสไบ ทัพร้องเรียก
    "เดี๋ยวก่อน ฉันขอฝากแม่ไปด้วย"
    ขาบเดินมาหาเฟื่อง
    "เฟื่อง ตามไปกับแม่เถอะนะ"
    "พี่ขาบ พี่อย่าทิ้งฉันนะ"
    "เราคงทำบุญร่วมกันมาเพียงแค่นี้ ไปเถอะ แม่แกคงไม่ยอมทิ้งเฟื่องไว้กับพี่"
    เฟื่องกอดขาบร้องไห้ ไม่อยากจาก
    "ไอ้ฟัก พาเฟื่องไปเถอะ"  
    ฟักเดินเข้ามาดึงเฟื่องออกไปจากขาบ เฟื่องร้องไห้แทบขาดใจ จวงมองสังข์นิ่ง น้ำตาเอ่อ รู้ใจสังข์ว่าคิดเช่นไร สังข์เดินเข้ามาหาจวง ทั้งสองโผเข้ากอดกันแน่น ไม่คิดจะจากกัน
    "ไปดูแลแม่เถอะ ไม่ต้องห่วงพี่ พี่จะขออยู่รบที่นี่"
    "พี่อยู่ ฉันก็จะอยู่ ฉันจะอยู่สู้กับพี่"
    "ไม่ได้ พี่เป็นทหาร ชีวิตพี่มอบให้แผ่นดินไปแล้ว จวงพาแม่หนีเถอะไปซิ การรบเป็นหน้าที่ของผู้ชาย ทัพพาจวงไป"
    ทัพรีบเข้าไปดึงจวงออกมา จวงร้องไห้ใจจะขาด ทัพสงสารแต่จำต้องพรากออกไป ฟักวิ่งนำทุกคนออกไปทางข้างกำแพง ทัพหันมามองแฟงที่ยังคงยืนนิ่ง แฟงมองทัพนิ่ง ไม่แสดงความอ่อนแอใดๆ ทั้งสิ้น ทัพตัดสินใจวิ่งนำแฟงออกไป เคลิ้ม เอิบ ช่วง มองตามเพื่อนไปอย่างเห็นใจ
    ฟัก สไบวิ่งนำแฟง เฟื่อง จวง เข้ามา
    "ฉันมาพาทุกคนหนีไปจ้ะ เร็วเถอะจ้ะ"
    ทัพกับแฟงวิ่งตามมา จันทร์โผเข้ากอดทัพ แล้วรู้สึกแปลกใจ
    "อะไรกันทัพ แม่ไม่ไป แม่จะอยู่กับแก"
    "ไปเถอะนะแม่ ถ้าแม่อยู่ฉันจะพะวง รบไม่ชนะ"
    จวงร้องไห้โฮโผเข้ากอดแม่ จันทร์กอดลูกร้องไห้เหมือนใจจะขาด
    "ไม่ ไม่นะทัพ แม่จะอยู่กับเอ็ง จะตายก็ตายด้วยกัน แม่ไม่ไปไหน"
    ทัพไม่พูดก้มลงกราบเท้าแม่ ระเบิดลูกหนึ่งมาตกไม่ห่าง ทุกคนพากันหลบ แต่จันทร์ยืนนิ่ง
    ร้องไห้เหมือนใจจะขาด ฟักไหว้ลาเฟี้ยม เฟี้ยมโอบกอดลูก
    "แม่ไม่ไป แม่ไม่ไปไหนทั้งนั้น"
    "แม่อย่ารีรอเลย เดี๋ยวจะหนีไม่ทัน"
    "ทำไมไม่ให้แม่ตายเสียตรงนี้ ให้แม่ตายตรงนี้เถิด"
    ลูกปืนใหญ่ถูกยิงมาตกระเบิดขึ้นเสียงดังสะนั่น แฟงรีบเข้ามาหาแม่
    "รีบไปเถอะแม่ ฉันจะพาแม่ไปเอง"
    ทัพใจหาย แต่ไม่ห้าม แล้วหันมาบอกจวง
    "เอ็งไปกับแม่นะจวง"
    จวงไหว้ขอโทษแม่
    "บุญคุณฉันทดแทนแม่ได้แค่นี้ แม่ไปเถอะ"
    ทุกคนรีบพากันออกไป แฟงจะไป ทัพจับแขนแฟงไว้
    "ไปเถอะแฟง ดูแลลูกเราให้ดี"
    แฟงมองทัพนิ่ง ตัดสินใจวิ่งตามแม่ออกไป

000000000000000000

    ระเบิดยิงมาตกใกล้โบสถ์อีกลูก ทุกคนต่างระวังตัว นายทองแก้วก้าวออกมาอย่างไม่กลัวตาย
    "ชีวิตพวกเรามอบให้แผ่นดินแล้ว ไปเถิด ไปสู้กับพวกอังวะ ให้มันรู้ว่าปฐพีนี้เป็นของไท"
    "เราจะสู้ แม้ไม่ชนะก็สู้ สู้ให้สมศักดิ์ศรีของคนไท ให้ลูกหลานได้จำชื่อไว้" นายดอกไม้กร้าว
    ทุกคนมีกำลังใจฮึกเหิมขึ้น ชูดาบ
    "สู้ให้พวกข้าศึกมันรู้ว่าเรายินดีตาย แต่จะไม่ยอมให้พวกมันหยาม" นายอินย้ำ
    "ช่วยกันลากปืนใหญ่ออกไปด้วยเถิด ถึงจะร้าว แต่ขอให้เราได้ยิงมันสักนัดหนึ่งก็ยังดี" นายเมืองบอก
    ทุกคนมาช่วยกันลากปืนใหญ่ออกไปที่หน้าค่าย ทัพ ฟัก เฟื่อง จวง วิ่งออกมาช่วยเข็นปืนใหญ่ออกไป เฟื่องเข้ามาช่วยขาบ ขาบมองเฟื่องอย่างดีใจ
    "ไม่ว่าสุขหรือทุกข์ฉันจะไม่มีวันทิ้งพี่ไปไหน"
    จวงเข้ามาช่วยสังข์ สังข์ยิ้มดีใจ
    "ฉันไม่ใช่คนขี้ขลาดตาขาว ให้ฉันได้อยู่สู้อย่างเมียทหารเถอะนะ"
    ทั้งคู่ช่วยกันเข็นปืนใหญ่ออกไป หลวงพ่อธรรมโชตินิ่งมองอย่างสงบ
    แฟง สไบ นำจันทร์ เฟี้ยม และคนอื่นๆ วิ่งผ่านครัวมา มีระเบิดลูกปืนไล่ยิงตามมาติดๆ จันทร์วิ่งผ่านบ้านแล้วนึกได้ ฃวิ่งขึ้นไปที่หิ้งพระ แต่เอื้อมไม่ถึง แฟงวิ่งตามมาช่วยจนได้พระมา คนอื่นๆ วิ่งเข้าไปในครัว หยิบมีดพร้าเท่าที่มีมาถือไว้ ปลิวคว้าได้สากตำข้าว ระเบิดมาตกที่ลานครัวอีกลูก ทุกคนหลบกันอลหม่าน สไบวิ่งนำทุกคนไปทางท่าน้ำหลังค่าย มองหาทางไปอุโมงค์
    "พี่ใจเคยพาฉันหนีมาทางนี้ พี่ใจบอกว่ามีอุโมงค์ลับ"
    สไบนำทุกคนวิ่งหา แต่ถูกทหารอังวะเข้ามาขวาง สไบพาทุกคนกลับมาทางเดิม พวกอังวะไล่ฟัน ชาวบ้านชายออกมากันพวกผู้หญิงไว้ จันทร์กันเฟี้ยมไว้ เอาพระพุทธรูปบังตัว อังวะจึงฟันถูกพระพุทธรูป
    "คุณพระคุณเจ้า พี่พัน ช่วยลูกหลานด้วยเถอะ"
    ปลิวพยายามปกป้องลูก ผัวปลิวพยายามสู้ แต่ถูกฟันตาย พวกผู้ชายมีแต่แก่ๆ สู้ไม่ไหว เริ่มตายไปทีละคน จันทร์ต้องสู้เอาตัวรอด คอยป้องกันพวกเด็กๆ เอาพระพุทธรูปไล่ทุบ ปริก ปลวก โปรย เห็นท่าไม่รอดจึงตัดสินใจเข้าช่วยสู้กับพวกอังวะ
    "สไบ พาพวกเด็กๆ ไป พวกฉันจะสกัดมันไว้เอง"
    สไบรีบพาทุกคนวิ่งไปต่อ ปริก ปลวก โปรย พยายามสกัดพวกอังวะไว้ไม่ให้ตาม ถูกฟันหลายแผล แต่ก็สู้ยิบตา สไบวิ่งนำมาตรงป่าใกล้ๆ หลุมอุโมงค์
    "ช่วยกันหาซิ อุโมงค์ต้องอยู่แถวนี้"
    ทุกคนช่วยกันค้นหา จนแฟงเจอ ทุกคนต่างรีบมาช่วยแฟงเปิดอุโมงค์
    "รีบลงไป"  
    พวกอังวะวิ่งมา 3-4 คน แฟงคว้าพร้าจากชาวบ้านวิ่งเข้าหา เฟี้ยมเรียกไว้
    "แฟง อย่าไป มานี่"
    "ฉันจะไปช่วยแฟงเอง รีบเอาตัวรอดก่อน เดี๋ยวจะหนีไม่ทัน" สไบบอก
    "ไปเถอะ ฝากลูกฉันด้วย" ปลิวตะโกน
    "ต้องปล่อยลูกมันไปตามยถากรรมเสียแล้วเฟี้ยม ช่วยพวกเด็กๆ นี้ให้รอดเถิด"
    จันทร์ตัดใจ เฟี้ยมร้องไห้จะขาดใจ พากันมุดลงไป ปลิวรีบปิดปากอุโมงค์ ถือสากวิ่งเข้าหาพวกอังวะ แฟงสู้ยิบตา สไบมาช่วย ปลิวสู้ด้วยสาก อย่างไม่กลัวตาย สไบเสียที ปลิวเข้าช่วยจึงถูกแทง แต่ก็สู้ต่อ แฟงได้จังหวะฟันพวกอังวะตาย สไบฟันตายไปอีกคน ปลิวเอาสากฟาดหัวอังวะสลบไปอีกคน
    ปลิวหมดแรง ถูกอังวะเข้ามาแทงอีกแผล แฟงกับสไบ เข้ามาช่วยรุม จนฆ่าได้อีกคน เสียงระเบิดจากหน้าค่ายยังดังอยู่
    "ฉันจะไปช่วยพี่ทัพรบ"
    "ฉันไปด้วย"
    แฟงกับสไบพากันวิ่งกลับไปทางเดิม ทัพช่วยกันยกปืนใหญ่ขึ้นหอรบ หันมาเห็นแฟง ทั้งตกใจและดีใจ รีบวิ่งลงมาจากระเนียดมาหาแฟง แฟงวิ่งฝ่าดงระเบิดไปหาทัพ ทัพกอดแฟงแน่น  
    "เอ็งกลับมาทำไม กลับมาทำไมแฟง"
    "ฉันทิ้งพี่ไปไม่ได้ดอก ฉันจะตายอยู่กับพี่"
    ทั้งคู่กอดกันร้องไห้ สไบอดตื้นตันไม่ได้ เสียงเฮขึ้นที่ระเนียดค่าย ทัพแฟงหันไปมอง เห็นพ่อค่ายและชาวค่ายเอาปืนใหญ่ขึ้นหอได้สำเร็จทั้งสองกระบอก ทัพหันมาเรียกสไบ แล้วรีบจูงแฟงวิ่งไปที่ระเนียด สังข์ดี