บันเทิง

บางระจันตอนที่23

บางระจันตอนที่23

17 ก.พ. 2558

บางระจันตอนที่23


 
    ที่ค่ายปากน้ำประสบ สุกี้นายกองยืนอยู่หน้ากระบะทราย จำลองแผนที่การรบ และแบบจำลองค่ายขนาดเล็ก 3 ค่าย ประกอบเส้นทางเดินทัพสู่ค่ายระจันให้เนเมียวสีหบดีดู
    "บ้านระจันเป็นบ้านดอน อยู่ระหว่างแคว้นวิเศษไชยชาญสุพรรณและเมืองสิงห์ต่อกัน"
    เนเมียวสีหบดีนั่งอยู่บนตั่ง มองลงมาที่สุกี้นายกอง นายกองชาวมอญที่พูดไทยชัด
    "พวกมันมีทั้งชาวบ้านจากที่ต่างๆ ทหารอาทมาตจากแขวงวิเศษไชยชาญ ฝีมือดาบเก่งกล้ามารวมตัวกัน ถ้าสู้กันกลางแปลงตัวต่อตัว เราจะชนะได้ยาก"
    เนเมียวสีหบดียิ้มมองสุกี้พระนายกองที่ประเมินการรบด้วยรูปแบบใหม่
    "ข้าจะขอตั้งค่ายเป็นสามค่าย เอาปืนใหญ่ขึ้นหอรบ แล้วขยับค่ายเดินหน้าสลับกัน เพื่อป้องกันพวกมันมาลอบโจมตีอย่างค่ายอากาปันยี แล้วจะเดินค่ายเข้าหามันทีละค่ายๆๆ พอประชิดในระยะยิง ข้าจะเอาปืนใหญ่ยิงถล่มเข้าไปในค่ายมันให้แหลก เมื่อกำแพงค่ายมันทลาย ข้าจะให้ไพร่ราบบุกตะลุยข้ามกำแพงค่ายเข้าไปให้ถึงใจกลางค่ายมันอย่างไม่ยากเย็น ทีนี่ต่อให้พวกมันหนังเหนียว มีปีก หายตัวได้ ก็ไม่มีวันรอดกระสุนปืนใหญ่ของข้าได้"
    เนเมียวสีหบดีนั่งมองอย่างพอใจ
    "มิเสียแรงที่เราส่งท่านมาอยู่ในแผ่นดินโยเดียนับสิบปี ขอให้ท่านใช้ความรู้ความสามารถเอาชนะพวกบางระจันทดแทนคุณแผ่นดินอังวะเถิด ตั้งแต่นี้ ข้าขอแต่งตั้งให้ท่านมีตำแหน่งเป็นชุกคยี นายกองใหญ่ เป็นผู้มีอำนาจสิทธิ์ขาด จะฆ่าใครก็ได้ที่มันขัดขวางแผนการทำลายค่ายระจัน แล้วเมื่อเราชนะปราบโยเดียได้ย่อยยับ เราจะยกแผ่นดินโยเดียให้ท่านปกครอง"
    เนเมียวสีหบดีพูดอย่างมั่นใจ
    ที่ลานครัวในค่ายบ้านระจัน ระเบิดตกลงมาใกล้ๆ หลายลูก ชาวค่ายวิ่งกันอลหม่าน ทัพวิ่งมากับแฟง สวนกับชาวค่ายที่กำลังหนี    
    "พวกมันยิงปืนใหญ่มาตกเต็มไปหมด พวกเราหลบไปทางหลังค่ายก่อน"
    ทัพ สังข์ ขาบพากันวิ่งสวนไปช่วยชาวบ้าน
    "ต้อนคนไปที่หลังค่ายเร็ว" แฟงร้องบอก
    ระเบิดตกลงมาหลายลูกใกล้เรือนใจ ใจพยายามลุกขึ้นมองไปที่ถนน
    "ช่วยข้าด้วย ช่วยข้าด้วย ช่วยฉันที อย่าทิ้งให้ฉันตายอยู่ที่นี่เลย"
    ชายแก่ระจันคนหนึ่งวิ่งมาเห็นสงสาร หยิบพร้าฟันขื่อคาให้ ใจเดินโซเซออกไปทันที
    ระเบิดลูกปืนใหญ่อังวะถูกยิงมาตกเต็มหน้าค่าย พ่อแท่นนอนน้ำตาไหลอยู่ที่เตียง เพราะไม่อาจลุกขึ้นไปช่วยชาวค่ายได้ นักรบคนสนิทนั่งเฝ้าอยู่ใกล้ๆ ไม่กล้าทิ้งพ่อค่ายไปไหน พ่อหมอเดินเอายาเข้ามาให้กิน พ่อแท่นโมโห ปัดกระเด็น
    "พวกมึงจะมัวมาเฝ้ากูทำไม ออกไปช่วยพวกข้างนอกโน้น กูมันไร้ค่าไม่มีปัญญารบกับศัตรูได้แล้ว ไม่ต้องมาพยาบาลกู ไปช่วยพวกที่เขามีมือ มีตีนจับดาบสู้โน่น"   
    นักรบและพ่อหมอร้องไห้ ไม่กล้าทิ้งพ่อแท่นไป พ่อแท่นยิ่งแค้นใจ ตวาดไล่ ทุกคนจำต้องออกไป
    ใจเดินหลบหลีก สวนกับชาวค่ายที่กำลังวิ่งหนี จนถูกชน ล้มลง ใจตาลายเพราะอดข้าวจนไม่มีแรง พ่อทองเหม็นเข้ามาประคอง  
    "ไอ้ใจ เอ็งจะไปไหน พวกข้าศึกมันระดมยิงใส่หน้าค่ายเราเต็มไปหมดแล้ว"
    ใจไม่มีแรงตอบ นายทองเหม็นมองสภาพอิดโรยของใจ
    "ทำไมเมียเอ็งถึงปล่อยให้เอ็งวิ่งหลงทางมา ไม่ดูแลเอ็งเลย"  
    นายทองเหม็นหันไปทางนักรบ 2 คนที่ติดตามมาให้รีบพาใจไปหลบหลังค่าย
    "ไปซะ ไม่งั้นเอ็งจะโดนลูกหลง เดี๋ยวข้านี่แหละจะออกไปฟันคอไอ้คนยิงปืนใหญ่เอง"
    "อย่าออกไป"
    นายทองเหม็นไม่ฟัง จะไป ใจคว้าขานายทองเหม็นไว้อย่างหมดแรง ทองเหม็นก้มลงประคองใจขึ้น
    "ไม่ต้องห่วงข้า ไอ้ใจ ห่วงตัวเองเถิดไอ้ลูกชาย"
    ใจอึ้ง นายทองเหม็นเอามือลูบหัวใจเบาๆ ยิ้มให้ ใจมองตื้นตัน พยายามห้าม แต่นายทองเหม็นยังคงถือขวานเดินไปกับหมู่คนยังหน้าค่าย  
    นายทองเหม็นขี่ควายวิ่งฝ่าดงระเบิดอย่างไม่กลัวตาย ตบหลังควายบุญเลิศให้วิ่งเร็วขึ้น
    "ไปบุญเลิศ พาข้าไปบั่นคอไอ้คนยิงปืนใหญ่"
    สุกี้พระนายกองยืนมองอยู่ นึกขำ
    "มันคงจนหนทางสู้แล้ว ถึงขี่ควายออกมาหาที่ตาย ทหารออกไปฆ่ามันซะ ข้าเสียดายลูกปืนใหญ่"
    ทหารอังวะ 20 คน วิ่งออกมาจากประตูค่ายพร้อมอาวุธ ทั้งดาบและปืน นายทองเหม็นถือขวานขี่ควายบุญเลิศ เผชิญหน้ากับทหารอังวะที่ดาหน้า ด้วยสายตาไม่กลัวเกรง
    ใจถูกนักรบลากมา กัดฟันออกแรงฮึด สะบัดตัวอย่างแรง แล้ววิ่งกลับไป ทัพเข้ามาขวางไว้
    "มึงหนีออกมาได้ยังไง"
    ใจไม่ห่วงตัวเอง นึกถึงแต่เรื่องนายทองเหม็น  
    "พ่อทองเหม็น"
    "มึงว่าอะไร ไอ้ใจ"
    "พ่อทองเหม็นออกไปนอกค่าย รีบไปช่วยกลับมา"
    ทัพมองไปด้านนอกค่าย เครียด
    นายทองเหม็นมองทหารอังวะ 50 คนที่กำลังดาหน้าเดินเข้าหา ด้วยสายตาไม่ครั่นคร้าม
    "ให้กูตายเสียยังดีกว่า ให้พวกมึงเยี่ยมหน้ามาเย้ย นักรบบ้านระจันยอมนอนกลางเลือด มันถึงจะเรียกว่าผู้ชายสยาม"
    ทองเหม็นควงขวานในมือ อีกมือลูบหัวควายคู่ใจ    
    "เลือดเนื้อมึงกับกู จะขอหลั่งทาดิน ฝากธรณีไว้บูชาแผ่นดินที่อาศัย"
    ทหารอังวะมองเห็นนายทองเหม็นยิ้ม คนเป็นหัวหน้าร้องสั่ง
    "ฆ่ามัน"
    นายทองเหม็นเห็นทหารอังวะกรูเข้ามา ก็ควงขวาน ด้วยรอยยิ้ม
    "ขอฝากเลือดไว้กับหญ้าเขียว เราบุกมาตายเพราะตั้งใจจะรบตาย รบมันเข้าไป"
    สิ้นคำ ควายบุญเลิศพานายทองเหม็นพุ่งทะยานไปข้างหน้าอย่างไม่กลัวตาย ทหารอังวะกรูกันเข้ามาฟัน ล้อมรอบนายทองเหม็นไว้ ควายบุญเลิศขวิดกวาดไปรอบวง ให้ทองเหม็นกวัดแกว่งขวาน ฟันทหารอังวะเลือดกระฉูด  
    ที่ถนนหน้าเรือนแม่หมอ ใจมองทัพแล้วดึงแขนไว้ อยากจะออกไปช่วยนายทองเหม็น แต่ทัพไม่ยอม ให้มัดใจไว้แล้วให้ขาบเฝ้า ส่วนทัพออกไปช่วยนายทองเหม็นกับสังข์ ฟัก เคลิ้ม
    นายทองเหม็นเลือดโทรมกายจากแผลที่ถูกรุมแทงฟัน ควายบุญเลิศไล่ขวิดทหารอังวะที่รุมล้อมรอบ แต่ทหารฟันขาทั้งสี่ของควายบุญเลิศจนทรุด นายทองเหม็นถูกกระชากลงจากหลังควาย ทัพ สังข์ ฟัก เคลิ้มวิ่งเข้ามา พุ่งเข้าฟันทหารอังวะ แตกกระเจิง
    ควายบุญเลิศนอนตายเลือดท่วมอยู่ข้างศพนายทองเหม็นที่มือยังกำขวานแน่น เนื้อตัวมีแต่เลือด ทัพกับทุกคนมองสลดกับความเสียสละของทองเหม็น
    ขาบกระชากใจจะลากไปทางด้านหลังค่าย ชาวค่ายยังวิ่งหนีกันอลหม่าน ใจรวบรวมกำลัง สะบัดหลุดจากขาบ วิ่งหนีไปได้
    ใจวิ่งลัดเลาะตามแนวป่ามา ทรุดลงเพราะหมดแรงหลายครั้ง แต่ก็พยายามทรงตัววิ่งไปจน เห็น สังข์ ฟัก เคลิ้ม นั่งม้าลัดเลาะมาตามแนวป่า มีทัพและนักรบระจันเดินจูงม้าที่พาดศพนายทองเหม็นมา ใจหลบซุ่มมองศพนายทองเหม็น น้ำตาคลอ รู้สึกเหมือนสูญเสียคนที่นับถือไป ก่อนจะได้ยินเสียงม้าควบมา ใจตกใจหันไปมองแล้วรีบวิ่งหนี ลูกดอกชนิดพิเศษ พุ่งเข้าใส่ด้านหลังใจ ใจสะดุ้ง หมดแรงตกลงเนินสูง หมดสติไป     
    ในอดีต นายทองเหม็นนั่งคุยกับใจอยู่ที่แคร่หน้าเรือนพ่อค่าย อารมณ์ดี   
    "กูนี่มีอาคม ยิง ฟัน แทงอย่างไรก็มิเข้า กูหนังเหนียว มิใช่หนังเหี่ยวนะโว้ยไอ้ลูกชาย"
    ลูกน้องที่นั่งกินเหล้าอยู่ด้วยหัวเราะชอบใจ
    "พ่อทองเหม็นมิมีวันตาย ฮะๆๆ"
    "คนเราเกิดมาจะมิตายได้อย่างไรพ่อ" ใจท้วง
    นายทองเหม็นเข้ามาโอบไหล่ กอดคอใจด้วยความเอ็นดู สนิทสนม
    "พ่อจะบอกให้ ในฐานะชอบพอเป็นพ่อลูกกัน ถ้าเอ็งอยากฆ่าพ่อนะ ต้องแรม 15 ค่ำ คืนพระจันทร์ดับ อาคมในตัวพ่อจะหมดพลัง วันถึงฆาต เอ็งรู้แล้วอย่าบอกใครนะไอ้ลูกชาย"
    ใจมองนายทองเหม็นนิ่ง ตาไม่กะพริบ   
    ที่ป่าหลังค่ายบางระจัน ในอดีต ใจลอบมาพบสุกี้พระนายกอง
    "ดีมาก ดวงไอ้คนขี่ควายมันต้องถึงฆาตตามนี้ ข้าจะเตรียมธนูหัวเงินลงอาคม ล้างมันเอง"
    ใจหน้าเสีย
    "ไว้ชีวิตพ่อทองเหม็นสักคนมิได้หรือ"
    "ไม่ได้ ถ้าต้องการชัยชนะ อย่าสงสารศัตรู"
    ใจนิ่งเงียบ เสียใจมากที่นำความลับทองเหม็นมาบอกสุกี้พระนายกอง
    ศพพ่อทองเหม็นถูกวางไว้บนตั่ง พ่อค่ายต่างนั่งหน้าเครียด หลวงพ่อธรรมโชติเดินมา ทุกคนพนมมือกราบ หญิงชาวค่ายหลายคนร้องไห้ พระอาจารย์สวดอุทิศกุศลให้แก่ร่างนายทองเหม็น  
    "พ่อทองเหม็นสละชีพเพื่อรักษาค่าย รักษาชาวระจันไว้" นายพันเรืองพูดขึ้น  
    "พวกมันตั้งค่ายปืนใหญ่ถึงสามค่าย สลับเดินหน้าเข้าหาเราเรื่อยๆ อีกมินาน ค่ายเราคงตกอยู่ในระยะยิงของมัน ลูกกระสุนปืนใหญ่ได้ตกมาใกล้ค่ายเราทุกทีแล้วเราจะทำอย่างไรดี พ่อแท่นก็เจ็บหนักมิรู้จะอยู่ได้อีกกี่วันเสาหลักเราเริ่มกร่อนแล้วหลวงพ่อ" ขุนสรรค์พูด
    พระอาจารย์ธรรมโชตินิ่ง สวดพึมพำเงียบๆ  
    "อีกมินาน ค่ายระจันเราคงแตก" นายดอกไม้พูดอย่างเสียใจ
    นายโชติวิ่งกระหืดกระหอบมาจากหน้าค่ายด้วยความตกใจ ลงกราบพระอาจารย์
    "พระอาจารย์ พ่อแท่นอาการทรุดหนักแล้วขอรับ อยากนิมนต์พระอาจารย์ไปทำพิธีสืบชะตาให้ด้วยขอรับ"
    ทุกคนได้ยินยิ่งเสียใจหนัก พระอาจารย์หันมามองหน้าพ่อค่ายทุกคนแล้วเดินออกไปไม่พูดอะไร
    ในเรือนพ่อค่าย หลวงพ่อธรรมโชติสวดสะเดาะเคราะห์ให้พ่อแท่น พ่อแท่นฟังแล้วสะเทือนใจ น้ำตาไหล มองทุกคนแล้วเอ่ยสั่งเสีย
    "พระเสื้อเมืองทรงเมืองช่วยรักษาข้าให้หายทีเถิด ข้าจะได้ออกไปช่วยปกป้องพ่อแม่พี่น้องข้า  ข้านอนฟังเสียงปืนใหญ่แล้วอยากจะจับดาบออกไปสู้กับมันจริงๆ"
    "พี่แท่นต้องได้สู้กับมันแน่ ขอเพียงรักษาตัวให้ดีก่อน"
    พ่อแท่นส่งมือควานหามือนายอิน นายอินจับมือพ่อแท่นไว้
    "อิน เอ็งกับข้าร่วมตายกันมาหลายศึก เอ็งอย่ากลัวมันนะ"
    "ข้าไม่เคยกลัวมัน ขอพี่แท่นรักษาตัวให้หายเร็วๆ เถอะ ข้ารอจับดาบยืนข้างพี่แท่น"
    นายโชติ นายเมือง เอื้อมมือมาจับมือพ่อแท่น ทั้งสี่ประสานมือกัน
    "ถ้าพ่ออินยืนข้างซ้าย ข้าจะจับดาบยืนข้างขวาเอง" พ่อโชติบอก
    "เราสี่คนไม่เคยทิ้งกัน เราจะรบเพื่อพี่น้องเรา" นายเมืองย้ำ    
    "พี่น้องข้า เราหนีร้อนจากศรีบัวทองมาที่บ้านระจัน เพราะหวังที่จะรวมกันรักษาแผ่นดินนี้ไว้ให้คนไท เราอย่าทิ้งกัน จงสามัคคีกัน เพื่อรักษาค่ายระจันนี้ไว้ด้วยชีวิต รักษาที่มั่นไว้ จนลมหายใจสุดท้าย รักษาค่ายนี้ไว้ ด้วยเลือดเนื้อของเรา"
    พ่อแท่นมองหน้าทุกคนอย่างฝากฝัง แล้วค่อยหมดแรงลงไปเรื่อยๆ และสิ้นลมไป  
    ตอนค่ำ พระจันทร์ครึ่งดวง สีส้มแดง น่าวังเวงใจ ทัพนั่งมองไปไกล มีแต่ความเครียด แฟงเข้ามาโอบกอดทัพไว้
    "วันนี้ทั้งค่ายมีแต่เสียงร่ำไห้ พ่อทองเหม็น พ่อค่ายคนสำคัญมาจากเราไป"
    ทัพดึงแฟงมากอดไว้ในอก แฟงมองผัวด้วยความเห็นใจ
    "วันหน้าคงถึงตาพี่"
    "ตายเพื่อไท ไม่มีอะไรต้องเสียดาย"    
    ทัพปลื้มกับหัวใจคนรัก
    "แฟง พวกข้าศึกเอาปืนใหญ่มายิงเกือบถึงกำแพงค่ายเราแล้วนะ"  
    "พี่อย่าบอกให้ฉันหนี"
    "พี่"
    "พี่ทัพ พี่ก็รู้ว่าฉันจะไม่หนี"
    "พี่เห็นแก่ตัวใช่มั้ยแฟง พี่ทนไม่ได้ ถ้าเห็นแฟงต้องเป็นอะไรไป พี่รักแฟงเหลือเกิน"
    "ฉันก็รักพี่จ้ะพี่ทัพ ฉันอยู่ไม่ได้ถ้าไม่มีพี่ พี่ทัพจ๋า เราต้องชนะศึก เราจะได้กลับไปอยู่บ้านคำหยาดของเรา"
    "นอนเถิดแฟง นอนในอกพี่"
    ทัพประคองแฟงลงกอดในอกแล้วโอบไว้แน่น แฟงยิ้มมองไปไกลในความมืด  
    "ชีวิตพี่มีความสุขเหลือเกิน ชื่นใจนักที่ได้กอดแฟงไว้ในอกทุกคืนทุกวันอย่างนี้"  
    แฟงยิ้มปลื้ม เบียดชิดซุกลงในอกทัพ
    "พวกเราสู้ศึกด้วยกตัญญูแผ่นดิน เสียดายนักถ้าแผ่นดินนี้ต้องตกเป็นของคนอื่น ผีปู่ผีย่าคงอยากให้พวกเรารักษาบ้านรักษาเมือง เหมือนที่พวกท่านรักษาไว้ให้พวกเรา ผีค่ายผีเมืองต้องคุ้มครองรักษาพวกเราที่ทำเพื่อแผ่นดินนะจ๊ะ"
    "แฟงอยู่ใกล้พี่ไว้นะ พี่จะป้องกันแฟงของพี่ พี่ต้องตายก่อน แฟงเอ๋ย ให้ข้าศึกล้นฟ้ามานับหมื่น  พี่ก็จะผลาญมันให้ย่อยยับ มิให้ล้ำมาถึงแฟง ดาบสองเล่มพี่ไม่หักก็อย่าหมายเลยที่ศัตรูหน้าไหนจะได้ล่วงเข้ามาใกล้แฟงของพี่"   
    แฟงฟังแล้วชื่นใจ ขยับมาหอมแก้มผัวรัก ทัพกอดแฟงไว้แน่น สองคนสบตาและยิ้มให้กันอย่างเปี่ยมกำลังใจ
    ใจลืมตาฟื้นขึ้นมา มองไปรอบๆ เห็นทหารอังวะยืนเฝ้าอยู่ เขาพยุงร่างขึ้น จาดก้าวเข้ามาใกล้ที่นอน
    "ข้านึกว่าเอ็งตายไปแล้ว เอ็งไปช่วยพวกระจันทำไม"
    ใจยังไม่ทันตอบก็โดนจาดตบหน้าอย่างแรง   
    "เพราะสไบ ผู้หญิงโยเดียที่เปลี่ยนใจเอ็งใช่มั้ย"
    "ข้าช่วยพวกบ้านระจันเพราะพวกเขาช่วยข้า พวกเขาไว้ชีวิตข้า"
    จาดตบหน้าใจอีกสองฉาด เลือดซึมออกจากปาก
    "ข้าอยากจะตัดหัวเอ็ง ไอ้คนทรยศ"
    "สยายิงข้าไปแล้ว"    
    "ทำไมเอ็งไม่ตายเสียตอนนั้น"
    "ถ้าอยากให้ตาย ทำไมถึงพาข้ากลับมา"  
    "ข้าเลี้ยงเอ็งมากับอูทิน เห็นเป็นลูกคนหนึ่ง"  
    "สยาไม่เคยเห็นข้าเป็นลูก สยาเห็นข้าเป็นเหมือนสัตว์เลี้ยง ให้ข้าวให้น้ำ ฝึกให้ข้าแกร่ง เพื่อไว้ใช้งาน"   
    จาดชักดาบขึ้นมาจ่อคอ แต่ใจมองนิ่งไม่สะทกสะท้าน
    "บุญคุณสยายิ่งใหญ่ท่วมหัวเด็กกำพร้าอย่างข้า ฟันเถอะสยา ข้าดีใจที่ได้กลับมาตายด้วยมือคนที่ป้อนข้าวป้อนน้ำ"
    จาดเงื้อดาบ แล้วฟันขวับลงเฉียดร่างใจ
    "ข้าให้คนลากเอ็งกลับมา เพราะทุกอย่างที่เอ็งรู้จะทำให้เราวางแผนหักค่ายบ้านระจันได้ ชุกคยีนายกองมอญ กำลังเดินหน้าป้อมปืนใหญ่เข้าใกล้ค่ายระจันแล้ว ค่ายบ้านระจันมันต้องแหลกสิ้นชื่อ ในอีกไม่กี่วันนี้แน่นอน"   
    จาดหันหลังเดินออกไป ใจฟังแล้วนั่งนิ่ง ตัวชา
    ที่เรือนใจ ขาบกำลังงัดเชือกที่เคยผูกใจหลุดออก สไบกับเฟื่องยืนมองอยู่ด้านหลัง
    "ฉันจะถือว่าฉันกับพี่ใจตายจาก สิ้นวาสนากันแค่ชาตินี้"
    "ดีแล้วสไบ ใจมันเป็นศัตรู ทุกอย่างที่ทำก็เพื่อพวกมัน" ขาบย้ำบอก  
    "แต่ฉันรู้ พี่ใจรักสไบด้วยใจจริง"  
    เฟื่องเดินเข้ามากุมมือให้กำลังใจสไบ
    "ถ้าทำเพราะหน้าที่ พี่ใจคงเผาค่ายนี้ไปเสียตั้งนานแล้ว แต่หัวใจเขาอยู่ที่สไบ พี่ใจถึงรั้งรอ ไม่กล้าจะลงมือ"
    "เรารักกันไม่ได้อีกแล้ว"
    "รักเถิด สไบ หัวใจรักใช่บังคับด้วยเหตุด้วยผล รักก็คือรัก พี่ใจเองก็รู้ข้อนี้ดี"  
    "แต่บุญคุณแผ่นดินสำคัญกว่ารัก ชาตินี้เราไม่อาจเคียงคู่กันได้ ถ้าชาติหน้ามีจริง ขอให้เราได้เกิดมาเป็นคนไท เกิดมาร่วมแผ่นดิน ได้รักกันอีกสักครั้งเถอะ"
    สไบกลั้นน้ำตาแห่งความเสียใจไว้อย่างที่สุด

000000000000000000000

    สุกี้นายกองกำลังวางแผนอยู่กับนายกองคนอื่นๆ จาดมองสุกี้นายกองด้วยสายตาเห็นด้วย ใจก้าวเข้ามา เข้ามามองค่ายบางระจันจำลองที่อยู่บนกระดานแผนการรบ ตัดสินใจเข้านั่งประจำที่ สุกี้มองใจนิ่ง
    "หอปืนใหญ่เราเดินหน้าเข้าใกล้ระยะยิงเต็มทีแล้ว ใกล้เวลาที่เราจะได้เห็นค่ายบางระจันมันย่อยยับลงต่อหน้าต่อตาเสียที ข้าจะเอาปืนใหญ่ยิงทำลายขวัญมันให้กระเจิง แล้วเอากองทหารบุกล้อมเข้าไปพร้อมกันทุกทิศทุกทาง ทีนี้ก็คอยดู แม้แต่หนูสักตัวก็ไม่มีวันเล็ดลอดออกมาได้"  
    ใจมองทุกคนแล้ว นิ่งอยู่อึดใจ แล้วก้มมองแผนผังจำลองบนกระดาน
    "ไม่ต้องใช้กำลังล้อมค่ายขนาดนั้น เข้าตีแค่เพียงด้านหน้าทางเดียว พวกระจันก็รักษาค่ายไม่ได้แล้ว"
    ใจเลื่อนที่เป็นปืนใหญ่อ้อมมาวางด้านหน้าระเนียดจำลอง จาดแย้งขึ้นทันที
    "แต่เจ้าเคยแจ้งว่ามันมีทางเข้าออกหลายทาง รอบค่าย"  
    สุกี้มองใจอย่างระแวงใจ ใจยังสีหน้าปกติ ไม่มีพิรุธ  
    "พวกค่ายบ้านระจันทำทางเข้าออกหลายทางไว้หลอกพวกเรา ทำลายจากทางด้านหน้า ตรงเข้าใจกลางค่าย เป็นวิธีที่รวดเร็วและง่ายที่สุด ไม่ต้องเปลืองแรงทหาร ค่ายบางระจันไม่มีปืนใหญ่ พวกเราสามารถล้อมจับมันมาเป็นเชลยได้ไม่ยาก"
    "ทำอย่างเจ้าว่า พวกที่ไม่คิดสู้ก็หนีออกทางด้านหลังได้" จาดแย้ง
    "เขาไม่สู้ก็ปล่อยให้เขาหนีไปซิ"
    "ข้าไม่ปล่อย ไม่ต้องการเชลย"
    ใจตกใจ มองสุกี้ตาวาวทันที
    "ศึกนี้ เนเมียวไม่ต้องการให้คนในบางระจันรอดไปได้แม้แต่ชีวิตเดียว เราจะไม่เก็บใครไว้เป็นเชลย ข้าอยู่ในกรุงศรีมาหลายปี ข้ารู้จักพวกมันดี คนไทรักอิสระ พวกมันจะสู้จนตัวตาย แต่จะไม่ยอมเป็นทาสใคร เราไม่ควรเอามันไว้ ข้าจะถล่มค่ายบ้านระจันให้แหลก ฆ่ามันให้หมดทั้งค่าย แม้เด็กกินนมก็จะไม่ให้เหลือ ด้วยปืนใหญ่นี้"   
    สุกี้ขยับปืนใหญ่กลับมาล้อมค่ายบางระจันด้านข้างไว้เหมือนเดิม    
    พ่อแท่นนอนสงบนิ่งอยู่บนตั่งกลางห้อง พระอาจารย์ธรรมโชติเดินไปนั่งที่ตั่งมุมห้องเหนือเตียงเงียบๆ
    "สิ้นบุญพ่อแท่นแล้ว ขวัญชาวค่ายระจันคงฝ่อ หมดกำลังใจสู้กับพวกอังวะแล้วหลวงพ่อ" นายโชติพูดขึ้นอย่างสะเทือนใจ
    "เราคงปลุกพ่อแท่นขึ้นมามิได้อีก คนที่อยู่นี่แหละจะต้องคิดต่อ ถ้าไม่สู้ก็หนีเข้าป่าไป" พลวงพ่อธรรมโชติให้ข้อคิด
    "ถ้าเข้าป่า ก็หมายว่าเรายอมยกแผ่นดินนี้ให้ไอ้พวกอังวะง่ายๆ" นายทองแก้วแย้ง
    "แล้วลูกหลานเราก็จะกลายเป็นเชลย กลายเป็นคนอาศัยแผ่นดินคนอื่นอยู่" นายดอกไม้ย้ำความคิด
    "ฉันไม่มีวันยอม" นายทองแก้วยืนยัน
    "ฉันก็ไม่ยอม ฉันจะอยู่ที่ค่ายนี้ ที่นี่คือบ้านที่ฉันเกิด ฉันไม่หนีไปไหน"
    นายทองแสงใหญ่เห็นด้วยกับนายทองแก้ว
    "พ่อแท่นพาพวกฉันมาอยู่บางระจันก็เพราะจะช่วยกันรักษาแผ่นดินปู่ย่าตายายไว้ จะให้ฉันหนีเข้าป่า ก็เท่ากับฉันทรยศคำที่ให้พ่อแท่นไว้" นายโชติย้ำบอก
    "พวกฉันเคยหนีเข้าป่ามาแล้ว จะไม่มีวันตาขาวอย่างนั้นอีก" นายดอกไม้ยืนยัน
    "แล้วพวกผู้หญิงกับเด็กๆ ล่ะ จะให้เขาไปอยู่ไหน จะให้เขาสู้ด้วยอย่างนั้นหรือ"
    หลวงพ่อธรรมโชติถาม ทุกคนเงียบ
    "อาตมาเป็นแค่พระ เป็นผู้อุทิศตนอยู่ใต้คำสอนของพระพุทธโคดม การจะแสดงความคิดเห็นให้คนฆ่าฟันกันนั้น ไม่ใช่กิจของอาตมา"
    "ขออย่าให้บาปของพวกเรา ไปเปื้อนชายจีวรของพระคุณเจ้าเลย พวกเราตั้งมั่นแต่แรกแล้วว่าเราจะไม่หนี เราสร้างค่ายรวมชีวิตกันมา ด้วยมีจุดประสงค์ร่วมกันว่าจะพลีชีพ รักษาแผ่นดินเกิดไว้ให้ลูกหลาน" นายพันเรืองบอก
    "ขอพระคุณเจ้าอย่าข้องแวะกับกิจนี้เลย เราจะประชุมชาวค่ายทั้งหญิงและชายเองว่าใครคิดจะอยู่ หรืออยากจะไป แล้วแต่สมัครใจ ส่วนพวกข้าตรงนี้ เห็นที่จะขอตายลงทีนี่"
    นายทองแสงใหญ่ก้มลงกราบพระอาจารย์ธรรมโชติเป็นคนแรก คนอื่นๆ คิดได้ ก้มลงกราบทีละคน พระอาจารย์ธรรมโชติมองทุกคนนิ่ง
    แฟงนั่งร้องไห้เสียใจอย่างหนัก คอยทัพอยู่หน้าบ้าน ทัพเดินเข้ามานั่งใกล้ๆ ไม่พูดอะไร แฟงหันมาซบไหล่ร้องไห้
    "พ่อแท่นเป็นคนพาฉันมาอยู่บางระจันนี่ ไม่มีพ่อแท่น ฉันก็จะไม่ไปไหน ฉันจะไม่หนีไปไหนแล้ว"
    "แล้วแม่ แม่ของเราทั้งสองคนจะทำอย่างไร แกทั้งสองคนแก่แล้ว คงไม่มีแรงจับดาบสู้พวกมันดอก พี่อยากให้แฟงพาแกไปอยู่ที่อื่น"
    แฟงมองหน้าทัพอย่างไม่แน่ใจ
    "พี่พูดจริง พี่สงสารแม่ สงสารแฟง เราไม่มีทางเลือกดอกแฟง พรุ่งนี้พ่อค่ายจะเรียกประชุม แฟงต้องตัดสินใจ"
    ทั้งสองต่างกอดกันร้องไห้
    รุ่งตัดสินใจพาชาวบ้านหนีเข้าป่า ไม่อยากอยู่ในค่ายบางระจันต่อไป เพราะกลัวตาย แต่โชคร้ายไปเจอทหารอังวะระหว่างทาง ทหารอังวะตัดหัวรุ่งและชาวบ้านทุกคน
    ในเรือนพ่อค่าย พ่อค่ายทั้งหมด นั่งประชุมกันเป็นการลับ ขุนสรรค์เห็นว่าถ้าบ้านระจันมีปืนใหญ่ก็จะสามารถยิงสู้กับอังวะได้ นายทองแก้วเห็นว่าหากได้ปืนใหญ่จากกรุงศรีอยุธยามาก็ช่วย ศึกนี้ก็อาจจะต้านไว้ได้ แต่นายเมืองคิดว่าทางกรุงศรีอยุธยาคงไม่ให้ปืนใหญ่มาง่ายๆ นายอินเสนอให้พาคนแก่ และเด็กหนีไปก่อน แต่นายจันหนวดเขี้ยวและนายโชติขอสู้ที่นี่ ทุกคนต่างมองหน้ากันว่าใครจะเป็นคนพาหนี
    พวกชาวบ้านต่างอยากหนีไปจากบ้านระจัน แต่ระหว่างนั้นมีชาวค่ายแบกศพรุ่งและชาวบ้านเข้ามา ทุกศพไม่มีหัวติดร่าง ทุกคนพากันร้องไห้ เพราะจะหนีออกไปก็คงถูกฆ่าตายเหมือนรุ่ง ทัพสงสารชาวค่าย จึงอาสาเป็นคนไปขอปืนใหญ่ที่กรุงศรีอยุธยาเอง
    ทัพเดินเข้ามาไหว้พวกพ่อค่าย สังข์จูงม้า ขาบถือดาบตามมา ทุกคนรู้ว่าทัพจะออกไปขอปืนใหญ่ที่กรุงศรี มองด้วยสายตาห่วงใย
    "ความกล้าของเอ็ง จะเล่าขาน จะจดจำไปชั่วลูกชั่วหลานไอ้ทัพ" นายพันเรืองชื่นชม
    "ฉันไม่ต้องการคำสรรเสริญใดใดเลยจ้ะ พ่อค่าย ขอแค่ให้ได้ปืนใหญ่จากกรุงศรีกลับมาช่วยต้านศึก"
    "กรุงศรีคงเห็นใจชาวบ้านอย่างเรา เอ็งไปบอกท่าน ท่านก็คงให้กองทหารมาช่วยรบด้วย"
    ทุกคนฟังนายทองแสงใหญ่ด้วยความหวัง
    "พวกเราไม่ได้ทำเพื่อใครคนใดคนหนึ่งเลย ที่อดทนสู้ศึก หลบระเบิดกันไม่เว้นแต่ละวันทั้งหมดนี่ก็เพื่อแผ่นดินของเรา"
    เฟี้ยมพูดอย่างจริงจัง จันทร์กอดทัพไว้
    "คนดีพระต้องคุ้มครอง ไปเถิดลูกแม่ เกิดมาชีวิตเดียว ได้ทำดีตอบแทนแผ่นดินนับว่าสมชาติเกิดแล้ว เอ็งเกิดมาเป็นลูกแม่ แม่เลี้ยงเอ็งมา ลมหายใจนี้มีค่าเหลือเกินแล้ว"
    ทัพมองแม่ด้วยสายตาปลาบปลื้มใจ ก้มลงกราบที่เท้า แล้วเดินมาที่ม้า ขาบยื่นดาบให้ ทัพรับมาสะพายจะขึ้นม้า หันมามองแฟง แฟงผวาเข้ามากอด ไม่ร้องไห้ เพราะกลั้นไว้
    "ขอให้พี่รอดปลอดภัย แฟงจะคอย"
    ทัพจูบที่หน้าผาก ยิ้มให้ แล้วกระโดดขึ้นม้าไป  
    แฟงเดินกลับมาที่เรือนกับเฟื่อง รู้สึกเวียนหัว จนโงนเงน เซไปชนรั้วบ้าน
    "แฟง"
    "ไม่มีอะไรจ้ะ"
    "หน้าเอ็งซีดๆ นะ แฟง"
    "ฉันไม่เป็นไร เดี๋ยวฉันก็คงหาย"
    แฟงเดินมาโก่งคออาเจียน    
    "ระดูขาดใช่มั้ย แฟง"
    "จ้ะ ฉันเวียนหัว" เฟื่องอมยิ้ม  
    "พี่เฟื่องยิ้มทำไม ฉันไม่ได้ปดนะ ใจฉันมันหวิวๆ แต่ไม่ใช่ว่าฉันกลัวศึก"
    "พี่รู้ว่าแฟงเป็นอะไร แม่กับพี่กำลังจะมีหลานตัวเล็กๆ"
    เฟื่องเอามือแตะลงไปที่ท้องแฟง  
    "อยู่ในนี้"
    "จริงหรือจ๊ะ จริงหรือพี่เฟื่อง"
    "นี่พี่ทัพยังไม่รู้ใช่มั้ย"
    แฟงนิ่งลง ส่ายหน้า
    "ถ้าพี่ทัพนำปืนใหญ่กลับมารู้เข้า ต้องดีใจมากเลย"
    แฟงรู้สึกสังหรณ์ใจบางอย่าง
    ใจเดินอยู่ในค่ายอังวะ มองไปทางค่ายระจันอย่างครุ่นคิด จาดเดินมาด้านหลัง
    "อย่าพยายามคิดช่วยพวกบางระจัน อย่าใจอ่อน อองนาย"
    "สยาสอนข้ากับชุกคยีให้เชื่อมั่นแต่การฆ่า เชื่อในวิถีแห่งชัยชนะ แพ้ใครไม่ได้ แต่ข้า ค้นพบสิ่งหนึ่งที่สยาไม่เคยสอน"
    "อะไร"
    "การให้อภัย"
    "อองนาย แกคิดจะเปลี่ยนคำสั่งข้า"
    "สยา อย่าให้ข้าเข้าไปช่วยวางแผนอะไรอีก ยิ่งข้ารู้มาก ข้ายิ่งมั่นใจ คนบางระจันนั้นประเสริฐนัก ข้าอยู่ที่นั่น ข้ารู้จักพวกระจันทุกคน รู้จักมันทั้งความคิด ทั้งหัวใจ ถึงเราจะชนะ แต่เรามีแต่จะเสียใจ"
    "อองนาย แกเปลี่ยนไปแล้ว ข้าไม่น่าส่งแกเข้าไปอยู่กับพวกมันเลย มันกล่อมแกจนกลายเป็นพวกมัน แกจะไม่ช่วยข้าก็ได้ แต่แกห้ามทรยศต่อแผ่นดินอังวะ ของเรา"
    จาดโกรธ หันหลังเดินออกไป ใจหันกลับมา ครุ่นคิดกับตัวเอง
    "สไบ ค่ายบ้านระจันคงไม่รอดน้ำมือสยากับชุกคยีในอีกไม่กี่มื้อวันนี้แน่ พี่ต้องพาสไบออกมาให้ได้"
    ใจมุ่งมั่นกับความคิดของตัวเอง
    ลานหน้าค่ายสุกี้ บ้านขุนโลก กองทหารอังวะกำลังช่วยกันเคลื่อนย้ายปืนใหญ่อยู่ ทหารกำลังสับเวรยามกันไปมาคึกคัก สุกี้พระนายกองบนหลังม้า ใจกับจาดร่วมขบวนมาด้วย ควบออกจากค่ายมาหยุดลงหน้าหอสูง มีปืนใหญ่ตั้งอยู่บนหอปืนหลายกระบอก
    "พรุ่งนี้ หอปืนใหญ่เราก็จะเคลื่อนเข้าในระยะยิงแล้ว" จาดบอก
    "ดี ข้าจะรอให้หอปืนเคลื่อนมาพร้อมกันทั้งสามค่าย แล้วจะระดมยิงทีเดียวให้มันแหลกสมใจท่านแม่ทัพเนเมียวสีหบดี" สุกี้ฮึกเหิม
    ใจมองปืนใหญ่หลายกระบอกที่หันหน้ายิงไปทางค่ายบ้านระจันด้วยความวิตก
    ทัพควบอ้ายเลาวิ่งลัดเลาะป่าอย่างเร็ว ไม่มีหยุดพัก
    "ค่ายระจัน มันเป็นแค่บางบ้านนอกที่ไร้สมบัติ อาวุธก็หากันตามมีตามได้ พวกอพยพหนีร้อนก็มีแต่ผ้าพันกายมากับพร้าเล่มเดียว เพลานี้จำต้องนั่งให้เขายิง นั่งคอยวันตาย แต่ไม่มีหนี ไม่มีทิ้งค่าย คงต้องกลายเป็นซากศพเกลื่อนค่ายดังว่า หากต้องตาย ข้าขอยึดค่ายระจันนี้เป็นป่าช้าฝังผีเสียจะดีกว่า"
    ทัพบอกกับตัวเองอย่างมุ่งมั่น ควบอ้ายเลาต่อมา ก็เห็นทหารอังวะกรูกันออกมาจากสองข้างทางเต็มไปหมด ทัพชักดาบออกมาทันที
    "เราอย่ายอมตายนะอ้ายเลา เราต้องฝ่าไปให้ถึงกรุงศรีให้ได้"
    กองทหารอังวะก็กรูกันออกมาอีก ทัพไม่รอช้า ควบอ้ายเลาพุ่งไปข้างหน้าทันที ฟันตะลุยกองทหารอังวะจำนวนมากมายมหาศาล ทัพรีบเร่งอ้ายเลาตรงไปจนหลุดฝูงทหารทั้งหมด กองทหารม้าอังวะควบตามออกไปทันที ทัพกับอ้ายเลากำลังจะหมดแรง ทันใดนั้น กระสุนปืนใหญ่ตกลงในกลุ่มทหารอังวะที่ตามมาหลายลูก ทัพตกใจ เห็นกองปืนใหญ่เจ้าพระยารัตนาธิเบศร์ ตั้งอยู่บนเนิน
    "ยิงสกัด ไล่มันไปให้หมด"
    ทั้งปืนใหญ่ และปืนยาวคาบศิลา ต่างระดมยิงไปไม่ยั้ง ลูกปืนใหญ่ตกใส่ทหารอังวะเต็มไปหมด นายทหารม้าอังวะรีบสั่งทหารถอย กองทหารม้ากรุงศรีควบนำเจ้าพระยารัตนาธิเบศร์มาหาทัพ ทัพโดดลงม้า ก้มกราบด้วยความดีใจ
    "เป็นความกรุณาท่านเจ้าคุณเป็นล้นพ้นที่ช่วยชีวิตเกล้ากระผมไว้"
    "เอ็งรู้จักข้าหรือ"
    "ท่านเจ้าคุณ เจ้าพระยารัตนาธิเบศร์"
    เจ้าพระยารัตนาธิเบศร์จ้องมองทัพ อยากรู้ว่าเป็นใคร
    ที่ ศาลาลูกขุน ในกำแพงกรุงศรีอยุธยา ทหารกรุงศรี กำลังให้น้ำให้อาหารอ้ายเลาอยู่ ทัพถูกมัดมือ นั่งอยู่ต่อหน้าเจ้าพระยารัตนาธิเบศร์ และคุณพระนายอยู่ที่ศาลาลูกขุน  
    "มันเป็นทหารหนีทัพ มันคือขบถแผ่นดิน ข้าพเจ้าไม่เชื่อใจมันดอก อยู่ๆ จะมาขอปืนใหญ่ไปสู้กับอังวะ มันอาจเป็นแผนของพวกอังวะมาลวงเรา"
    "เกล้ากระผมมาจากค่ายบางระจันจริงๆ คุณพระนาย นายกองสังข์กับหมู่ขาบก็อยู่กับเกล้ากระผมในค่าย"
    "ข้าได้ยินกิตติศัพท์พวกค่ายระจันมาหนาหูอยู่ ฟังเขาก่อนเถอะจหมื่นศรี"
    คุณพระนายฮึดฮัด ไม่สบายใจ
    "เพลานี้พวกอังวะมันระดมยิงปืนใหญ่ใส่ค่ายระจันไม่เว้นแต่ละวัน หากไม่ได้ปืนใหญ่ หรือกำลังทหารกรุงไปช่วย ค่ายบางระจันคงแหลก คนในค่ายจะไม่มีใครเหลือ"
    "คนน้อยแค่นั้น จะไปสู้อะไรมันได้ ทำไมไม่หนีเข้าป่าไป"  
    "แผ่นดินนี้เป็นของปู่ย่าตายายเขา คุณพระนายจะให้พวกเขาหนีไปอยู่ไหน"
    "คิดโง่ๆ อย่างชาวบ้าน กองทัพกรุงศรียังต้านมันไม่อยู่ ชาวบ้านแค่หยิบมือเดียวจะหาญไปสู้มัน"
    "แต่เขาก็สู้ต้านมันมาถึงเจ็ดทัพแล้ว ถ้าได้ทหารกรุงศรีไปช่วย มีปืนใหญ่ยิงสู้ เกล้ากระผมคิ