บันเทิง

บางระจันตอนที่22

บางระจันตอนที่22

16 ก.พ. 2558

บางระจันตอนที่22


 
    สังข์สู้อยู่กับเจิดตะลุยลงไปในน้ำ จนเจิดเสียทีถูกฆ่าตาย
    "มึงหมดหน้าที่แล้ว แต่กูยัง" ศพเจิดค่อยๆ จมน้ำไป  
    ที่คลองหลังค่ายระจันทัพมองจ้องใจ มือกำดาบแน่น สายตากร้าว
    "ต่อให้รักสไบมากแค่ไหน ข้าก็ยังเป็นอังวะ"  
    ใจชักมีดสั้นที่ซ่อนเหน็บเอว ออกมา
    "ข้าไม่อยากฆ่าเอ็ง เอ็งเป็นคนดีเคยช่วยข้าไว้"
    "มึงเอากองทัพมาย่ำยีแผ่นดินกู ปล้น ฆ่า ข่มเหงพ่อแม่พี่น้องกู คิดหรือว่าความเป็นมิตรที่มึงกับกูเคยมีจะทำให้มึงรอดวันนี้ไปได้ ไอ้ใจ นับจากนี้กูจะลืมว่ากูเคยช่วยชีวิตมึง มึงก็จงลืมว่าเป็นหนี้บุญคุณกู มึงบอกว่ามึงเป็นอังวะ กูก็ขอบอกว่ากูคือไท กูกับมึงคือศัตรูกัน มา มึงกับกูมาสู้กันอย่างศัตรู ถ้ากูไม่ตายก็อย่าหมายจะเอาแผ่นดินกูไป"
    ทัพปลดผ้าคาดเอวขึ้นมาปิดตา
    "มึงตาบอด คนอย่างกูก็จะมิคิดเอาเปรียบมึง มา เข้ามาเลยไอ้อังวะ"
    ทัพและใจค่อยๆ ย่างเข้าหากันอย่างระมัดระวัง ใจพุ่งเข้าหาก่อน ทัพหลบหลีกมีดสั้นว่องไว ทั้งสองสู้กันอย่างดุเดือด ทัพเตะเข้าปลายคาง ใจสลบลงกับพื้นทันที ทัพมองด้วยสายตาเจ็บแค้น
    สังข์รออยู่ที่คลองหลังค่ายอังวะ ทหาร 5 คนเดินผ่านมาทางที่เขาซ่อนตัวอยู่ สังข์กำมีด ตั้งใจว่าตายเป็นตาย
    "กลับไปรายงานท่านจอกยีโบเถอะว่าไม่พบ"
    ทหาร 5 คนเดินผ่านไป ทุกอย่างไม่มีอะไรผิดปกติ
    ใจฟื้นขึ้นจากสลบ ลุกพรวด แต่ล้มเซไปเพราะแรงกระชาก เห็นแขน ขา ตัวเองถูกมัดด้วยเชือกเส้นใหญ่ ผูกไว้กับเสากลางเรือน ทัพกับขาบ ยืนมองอยู่ ขาบเดือดดาล
    "ถ้าไอ้ทัพไม่ห้าม กูจะเป็นคนบั่นคอมึงเอง ไอ้สันดานงูพิษ"
    "ต่อให้เอาเชือกประกำล่ามช้างมัด กูก็จะหาทางออกไปจากที่นี่ให้ได้"
    ขาบถีบใจกลางอกจนเซไป
    "เก่งนัก ก็ฆ่าเลยสิวะ"
    ขาบชักดาบออกจากฝัก
    "ฆ่ามันก็เหมือนเหยียบมดตัวหนึ่ง เก็บมันไว้ก่อน ข้าอยากรู้เรื่องในค่ายอังวะ" ทัพบอก
    ใจตาลุกวาวที่โดนดูถูก
    "ถึงมันพูด เราจะเชื่อใจไอ้คนสองหน้านี่ได้ยังไง ฆ่ามันเลยดีกว่า"  
    "มันเป็นคนที่สไบรัก"
    "หักหลังเราอย่างนี้ สไบคงรักมันไม่ลง"
    "ให้สไบบอกมาว่าหมดรักมันวันไหน ไอ้ขาบ เอ็งเอาหัวไอ้ใจไปได้เลย"
    ทัพหันหลัง จะเดินออกไป แฟงกับสไบวิ่งเข้ามา เห็นสภาพใจก็อึ้ง สองสาวมองทัพ แต่ทัพไม่พูดอะไร ขาบจึงเล่าเอง
    "มันหลอกเราว่าตาบอด มันกำลังจะส่งข่าวกลับไปให้กองทัพของมัน"
    สไบมองใจด้วยความผิดหวัง เจ็บปวด ทัพดึงแฟงออกไป ขาบเดินตาม ทิ้งให้สไบอยู่กับใจตามลำพัง สไบน้ำตานอง
    "พี่หลอกฉันว่าตาบอด หลอกฉันทุกอย่าง จิตใจพี่ทำด้วยอะไร ถึงย่ำยีความรัก ความเชื่อใจ ที่ฉันมีให้พี่ได้ถึงเพียงนี้"
    ใจมองสไบด้วยสายตากดดันที่ทำให้คนรักเจ็บปวด
    ทัพจูงมือแฟงเดินมา แฟงมองหน้าทัพแล้วรู้ว่าทุกข์มาก
    "พี่คงเสียใจมากที่พี่ใจหักหลัง หลอกพวกเรามาตลอด"
    "แต่ยังมีคนที่เสียใจกว่าพี่"
    "สไบ สไบรักพี่ใจ รักอย่างหมดหัวใจ สไบคิดอยู่ทุกเมื่อว่าความรักจะผูกพี่ใจไว้ที่นี่ ไม่ว่าพี่ใจจะเป็นใครมาจากไหน" แฟงเศร้า
    สไบเดินมาคุกเข่าลงตรงหน้าใจ ใจมองคนรักซึ่งน้ำตานองหน้า
    "ที่พี่เฝ้าถามฉันว่าจะยกโทษให้ได้มั้ย ก็เพราะเหตุนี้ พี่รู้อยู่แก่ใจ รู้ทุกครั้งที่กอดฉัน รู้ทุกครั้งที่พูดคำว่ารักออกมา"
    "พี่รักสไบจริงๆ รักตั้งแต่แรกเห็น รักทั้งๆ ที่ไม่ควรรัก รักไม่ได้ พี่อยากพาสไบไปอยู่ด้วยกัน พี่จะทำให้สไบสุขสบาย"
    "พี่คิดว่าพาฉันจากบ้าน จากแผ่นดินนี้ไปอยู่อังวะ มันจะเป็นความสุขของฉันแล้วหรือ ฉันรักพี่ รักที่ให้ได้แม้ชีวิต แต่พี่เป็นศัตรูแผ่นดิน คิดแต่จะฆ่าคนไท แย่งแผ่นดินนี้ไป แล้วยังจะให้ฉันเห็นแก่ตัว หนีไปอยู่กับศัตรูหรือ"
    "สไบ"
    "พี่คิดว่าฉันไม่รู้ว่าพี่เป็นใคร ฉันก็เหมือนพี่ทัพ หวังว่าความรัก ความดีจะเปลี่ยนใจพี่ได้ หวังให้แผ่นดินนี้เป็นบ้านที่เราจะอยู่ด้วยกัน ตายด้วยกัน"
    สไบสะอื้น ใจโผเข้ากอดสไบ สไบผลักแรง
    "แต่รักของฉันที่ให้พี่ ไม่อาจทำให้ฉันทรยศแผ่นดิน หักหลังพ่อแม่ปู่ย่าตายาย ฉันแลกแผ่นดินที่ฉันเกิดกับความรักของศัตรูไม่ได้"
    สไบตัดใจ ลุกขึ้น ใจมองแววตาเด็ดเดี่ยวของสไบก็ใจหาย
    "สไบไม่ยกโทษให้พี่"
    "พี่ก็รู้ว่าฉันรักพี่แค่ไหน ชาตินี้ขอให้เราจบกันเพียงแค่นี้ แม้ชีวิตฉันจะสิ้นไปแล้ว แต่ฉันอยากบอกพี่ให้รู้ว่ารักของฉันจะยังคงอยู่ จะขอตามพี่ไปทุกชาติทุกภพ เกิดชาติหน้าฉันใดขอเราอย่าได้เกิดมาเป็นศัตรูกันเหมือนชาตินี้เลย"
    ใจรู้ว่าสไบกำลังคิดจะทำอะไร เขาพุ่งจะคว้าตัวสไบ แต่สไบหันหลังให้ เดินห่างออกไป  
    "สไบ สไบอย่าทำอย่างนั้นนะ พี่รักสไบ"
    สไบกลั้นน้ำตา หันหลังออกไป ใจรู้สึกสูญสิ้นทุกอย่างในชีวิต
    "สไบ สไบ พี่รักสไบ พี่รักสไบ" ใจตะโกนก้อง
    สไบเดินน้ำตาอาบ มองน้ำในคลองที่ไหลแรง แล้วตัดสินใจถอดรองเท้า เดินลงไป ร่างสไบจมดิ่งลงไปในคลองช้าๆ แฟงวิ่งมามองเห็นรองเท้าสไบ เห็นน้ำมีฟองอากาศผุดขึ้นมา ตกใจ
    "พี่สไบ พี่สไบ"
    แฟงรีบกระโจนลงไปในน้ำ ควานหาสไบ เห็นสไบของสไบลอยขึ้นมาก็รีบดำดิ่งลงไป จนคว้าตัวสไบได้ รีบดึงร่างที่หมดสติของสไบขึ้นเหนือน้ำอย่างสะบักสะบอม เฟื่องกับจวงตามมาเห็นรีบช่วยทั้งสองไว้ เฟื่องเขย่าตัวสไบ จนน้ำกระฉอกออกจากปาก สไบได้สติ มองทั้ง 3 คน น้ำตาไหลพราก
    "ช่วยฉันทำไม ปล่อยให้ฉันตายยังดีเสียกว่าอยู่สู้หน้าคน ผัวฉันเป็นคนทรยศ"    
    "ตายไม่ได้นะพี่สไบ เราต้องอยู่ อย่างน้อยก็อยู่เพื่อแผ่นดินเรา อยู่ช่วยกันไล่ไอ้พวกศัตรูให้พ้นแผ่นดินก่อน" แฟงให้กำลังใจ     
    "พี่สไบจะทิ้งพวกเราไปไม่ได้นะ อดทนนะ พี่สไบ" จวงปลอบ
    "ฉันจะอยู่ได้ยังไง ฉันถูกทรยศจากคนที่ฉันรักที่สุด"
    "สไบ ฟังฉัน ความรักที่แท้จริง หาใช่มีแต่สุข มันยังมีรสขมขื่นที่สุด ถ้าจะรักเราต้องยอมรับรสขมขื่นนี้ด้วย และพิษร้ายของรสขมนี้จะทำให้ชีวิตเราแข็งแกร่ง ชีวิตคนเราต้องอยู่เพื่อวันข้างหน้า ไม่ใช่วันนี้ เข้มแข็งไว้" เฟื่องปลอบ
    สไบสะอื้น แฟงมองให้กำลังใจ
    "ความรักนี่แหละจะทำให้คนอ่อนแอเป็นคนกล้าขึ้นมา อย่าให้ความรักทำให้หัวใจกล้าของเราต้องยอมแพ้กับความเจ็บปวดเลยนะพี่สไบ"
    สไบมองทั้งสามคนที่ห่วงใยด้วยแววตาทุกข์ถึงที่สุด
    ที่ทุ่งเลี้ยงม้าค่ายบ้านระจัน ทัพแกะผ้าที่สังข์เขียนบอกเรื่องอุบายศึกมากับบังเหียนอ้ายเลา  
    "ไอ้สังข์เขียนแผนของจิกแก ปลัดเมืองทวาย มาให้เรา"  
    "โชคดีที่เอ็งจับไอ้ใจไว้ได้ก่อนที่มันจะส่งข่าวกลับไป" ขาบบอก  
    "เสียแรง ที่ข้านับไอ้ใจมันเป็นเพื่อน"  ฟักคำรามออกมา   
    ใจนั่งหมดอาลัยเพราะความเสียใจเรื่องสไบ ทัพกับพวกเดินเข้ามา ทุกคนมองใจด้วยสายตารังเกียจดูหมิ่น
    "กูอยากจะตัดคอมึงเซ่นสังเวยศพไอ้ดอกรักนัก ไอ้คนชั่ว" ฟักพูดอย่างคลั่งแค้น
    "คนชั่วมันไม่มีวันยอมรับว่าตัวเองชั่วหรอก" ช่วงย้ำบอกด้วยความแค้น
    "บุญคุณข้าวแดงแกงร้อนที่ราดรดหัว เอ็งไม่เคยรู้คุณเลยหรือไง" เคลิ้มพูดอย่างเสียใจ  
    "มันไม่ใช่พวกเรา ไม่ใช่คนไท มันมาเพื่อสอดแนมกำลังคนในค่ายเรา มาเพื่อเปิดประตูให้พวกมันเข้ามาย่ำยีเข่นฆ่าพวกเรา" ขาบพูดด้วยความแค้น
    "พวกเอ็งผลัดกันคอยเฝ้า คอยดูมันไว้ แต่อย่ามีพิรุธรู้ถึงหูคนอื่น ถ้าพ่อค่ายรู้มันตายแน่" ทัพบอก
    "อย่าเก็บมันไว้ให้หนักแผ่นดิน ให้ฉันฟันคอมันเอง" ฟักแค้น
    "ยังก่อน ข้าจะสอบสวนมัน รอจนไอ้สังข์กลับมา เราจะได้มีโอกาสทำลายค่ายพวกมันให้ย่อยยับบ้าง"
    ทุกคนมองใจกระเหี้ยนกระหือรือ  
    "พวกเอ็งจะไม่มีทางรู้อะไรจากปากข้า"
    "อย่ารีบตาย ไอ้ใจ ข้าขอให้เอ็งอยู่ดูคนไทยปกป้องบ้านเกิดเมืองนอนของตัวเองด้วยเลือด ด้วยชีวิต จงจำความรักที่พวกข้ามีต่อแผ่นดินเกิด เอาไปเล่าให้พวกเอ็งฟัง เอาไปเล่าให้ลูกหลานอังวะฟัง จะได้หลาบจำไม่คิดริอ่านมาย่ำยีกันตามใจชอบอีก แผ่นดินนี้ต้องเป็นของคนไท ลูกหลานพวกกูเท่านั้น"    
    ทัพกับใจประสานสายตากัน
    จาดเตรียมตัวออกไปส่งทัพจิกแก นายทหารคนสนิทเดินเข้ามา จาดถามทันที
    "เจออูทินหรือยัง"
    "ข้าไม่เห็นท่านอูทินตั้งแต่ท่านแม่ทัพเนเมียวกลับไปจากค่ายเราเมื่อวาน"
    "แล้วการสอบความไอ้เชลยระจันที่จับได้ ได้ความอะไรบ้าง"  
    "ไอ้เชลยมันบอกว่า ท่านอองนายยังไม่ตาย"
    จาดตกใจ "อองนายยังไม่ตาย"
    "แต่เจ็บหนัก เหมือนตาย ท่านอูทินอาจจะหนีไปช่วยท่านอองนายก็ได้"   
    "ไปเอาตัวไอ้เชลยคนนั้นมาหาข้าซิ"     
    เสียงกลองศึกดังขึ้น
    "กลองตีให้สัญญาณจิกแกปลัดทัพยกไปตีค่ายบ้านระจันแล้ว ท่านคงต้องออกไปส่งท่านจิกแกปลัดทัพก่อน"  
    จาดรีบออกไป     
    ใจนั่งซึมอยู่เหมือนคนหมดสิ้นทุกอย่าง เสียงกลองเรียกระดมพลดังเป็นจังหวะเร่งเร้า ใจผงะหันไปตามเสียง
    "กลองเรียกระดมพล พวกบ้านระจันกำลังจะไปรบ"
    ใจมองหาทางหนี พยามยามเอามือถูเชือกให้ขาด จนเลือดหยดออกมา ใจกัดฟัน ทนความเจ็บ สไบตาคมกริบ ก้าวเข้ามา ถือดาบของพ่อไว้ในมือ ใจหันไปมอง
    "พวกระจันกำลังจะไปรบ แล้วต้องชนะกลับมา"
    สไบมองใจด้วยสายตาเย็นเยียบ ห่างเหิน
    "ฉันรู้ว่าพี่จะใช้เวลานี้ หลบหูหลบตาพวกเราออกไปส่งข่าวนอกค่าย เหมือนกับที่พี่หลอกฉันทุกครั้ง"
    "พี่ต้องทำ พี่จะไม่ขอความเห็นใจจากสไบ ถ้าสไบคิดว่าพี่สมควรจะตายก็ฆ่าพี่ด้วยมือของสไบเสียซิ ให้พี่ตายด้วยคมดาบของคนที่รักที่สุด วิญญาณพี่จะได้ตายตาหลับ"
    สไบชักดาบออกจากฝัก ใจมองนิ่ง ไม่สะทกสะท้าน
    แฟงห่มตะเบงมาน เดินออกจากเรือนมา เห็นทัพแต่งตัวพร้อมจะไปรบยืนรออยู่หน้าเรือน ทัพกุมมือแฟงขึ้นมาจูบอย่างทะนุถนอม แฟงมองเอียงอาย
    "พี่จะไปเป็นกองหน้า บุกขยี้ทัพจิกแกปลัดเมืองทวายให้มันราบพินาศเป็นหน้ากลอง ให้มันสำนึกถึงหัวใจของชาวบ้านระจันที่มอบให้แผ่นดิน"
    "ไปเถิดพี่ทัพ พวกฉันจะเป็นกองหนุน รอฟังคำสั่งให้ออกไปช่วยพี่"
    "คราวนี้เราวางแผนกันไว้อย่างดี นักรบหญิงคงไม่ต้องไปเสี่ยง"
    "พวกฉันอยากออกไปช่วย ถึงจะฟันได้ไม่เท่ากับคมดาบของพวกผู้ชาย แต่หัวใจพวกฉันก็ฮึกเหิม ยินดีนัก ถ้าข้าศึกมันตายลงได้แม้สักคนด้วยดาบของผู้หญิงอย่างเรา"
    ทัพโอบกอดแฟงเข้ามาไว้แนบอก ชื่นใจ แฟงกอดตอบอย่างอบอุ่น
    "ใจเจ้างามนัก ชนะครั้งนี้กลับมา พี่จะไปขอเจ้ามาเป็นแม่ศรีเรือนตามสัญญาของเรานะ แฟง"
    ทัพเชยคางแฟงขึ้นมองสบตาหวานฉ่ำ
    "พี่ขอมัดจำให้ชื่นใจ"
    ทัพก้มลงจูบแก้มแฟงอย่างทะนุถนอม แฟงเขินอาย สองสายตามองให้กำลังใจกันอย่างซาบซึ้ง
    ในเรือนใจ ใจมองสไบด้วยสายตารักหนักแน่น เหมือนทุกครั้ง
    "ถึงยังไง พี่ทัพกับพวกก็ไม่ปล่อยให้พี่รอดไปได้ สไบเองก็ชังน้ำหน้าพี่ หมดรักพี่แล้ว จะอยู่หรือจะมีลมหายใจ ชีวิตพี่มันก็ไร้ค่า"  
    "หยุด"
    "ไหนๆ วิญญาณพี่ก็จะหลุดจากร่างด้วยมือสไบแล้ว ขอให้พี่ได้พูด"
    "ฉันไม่อยากฟัง ฉันไม่อยากได้ยินคำพูดปดมดเท็จจากปากคนปลิ้นปล้อน หน้าไหว้หลังหลอกอย่างพี่อีก"
    "พี่รักสไบ"
    ใจมองเห็นมือสไบที่กำดาบเกร็ง สั่น
    "ต่อให้ต้องตาย ความรักของพี่ก็จะไม่เปลี่ยนไปจากสไบ"
    สไบกำดาบแน่น ความเข้มแข็งของเธอกำลังถูกคำพูดและแววตาของใจสั่นคลอน
    ขาบมองเฟื่องที่ถือดาบคู่กายมายื่นให้ ตื้นตัน เฟื่องยิ้มอ่อนหวาน ขาบขยับไปใกล้ มองเฟื่องแล้วจูบลงที่แก้ม
    "พี่จะเอาชัยชนะมาให้"
    "เพื่อแผ่นดินที่เราใช้ปลูกข้าว เพื่อลูกหลานของเรานะจ๊ะ"
    ขาบกับเฟื่องกอดกันด้วยความหวังเต็มหัวใจ
    ใจลุกขึ้น พยายามเดินเข้ามาหาสไบ
    "ฟันคอพี่ลงตรงนี้" สไบยกดาบขึ้น
    "มองพี่ว่าเป็นข้าศึกคนหนึ่ง เหมือนที่สไบออกรบ แล้วฟันทหารอังวะตาย"
    "ใจคอพี่ เลือดเนื้อพี่ มันเหี้ยมนัก"
    "พี่ต้องทำสไบ พี่เป็นทหารอังวะ หน้าที่พี่คือทำทุกทางเพื่อเข้าไปยึดกรุงศรีอยุธยา"
    สไบเงื้อดาบขึ้นสูงทันที
    "ทุกคนรักแผ่นดินเกิด ทุกคนต้องสละชีวิตเพื่อบ้านเมือง พี่ก็เหมือนกัน ชีวิตพี่มีเพื่ออังวะ หลายครั้งที่สไบทำให้พี่รู้สึกอยากจะอยู่ที่นี่ ใช้แผ่นดินอยุธยาเป็นเรือนตาย แต่เลือดในตัวพี่คืออังวะ มันเตือนพี่ว่าพี่ต้องสละได้แม้ชีวิต เพื่ออังวะ"  
    สไบเงื้อดาบพร้อมจะฟัน
    "ฟันให้พี่ตายเถิด สไบ ให้ความรักของเราจบสิ้นไปพร้อมกับลมหายใจพี่"
    สไบมองใจที่ใบหน้ามีแต่รอยยิ้ม แววตาที่มองสไบมีแต่ความรัก ใจขยับเข้ามาใกล้  สายตามองจดจำแต่ใบหน้าสไบ
    "สไบไม่ได้ทำผิดอะไรเลย พี่ต่างหากที่ทำให้สไบเจ็บช้ำเพราะความรักของพี่ ฆ่าพี่เสีย สไบ  ฆ่าพี่"
    สไบเงื้อดาบ แล้วตัดใจทำไม่ลง หันหลังวิ่งออกไป ใจสลดวูบ มองด้วยความเศร้าไม่ต่างกัน
    สไบวิ่งมา ทิ้งดาบลง น้ำตาไหลริน มีแต่ความทุกข์เมื่อความจริงประจักษ์แก่ใจว่าคนรักคือศัตรู และตัวเองก็ฆ่าใจไม่ได้

000000000000000000

    ณ สมรภูมิรบ จิกแกคุมกองทหารอังวะเดินลัดเลาะมาในป่าละเมาะอย่างใจเย็น ขุนสรรค์ยืนอยู่บนคาคบไม้ กับพวกแม่นปืนระดมยิงปืนลงมา ทหารจิกแกโดนยิง ล้มตายลงเป็นใบไม่ร่วง นายทองเหม็นขี่ควายซุ่มอยู่หลังพุ่มไม้ พุ่งนำชาวบ้านระจันออกมา
    "บางระจันรบ"
    ทหารอังวะถูกไล่ฟันแตกตื่น พยายามหาทางหนี นายทองแก้ว ทัพ และนายดอกไม้ พาพวกชาวบ้านระจันที่แอบซุ่มอยู่ข้างหลังกรูกันออกมาดักไว้ เข้าไล่ฟันทหารอังวะอย่างไม่ปรานี ทั้งสองฝ่ายรบกันอย่างดุเดือด จิกแกตกใจนึกไม่ถึง
    "มันมาซุ่มล้อมเรา ตีฝ่าออกไป แหวกทางออกไปให้ได้"
    ทัพฟันฉับลงที่คอทหารอังวะคนหนึ่งล้มลง  
    "สู้ตาย ชาวระจัน ฆ่ามันให้หมด"
    ขาบรบอยู่อย่างดุเดือด จิกแกควบม้าสั่งการอยู่ มีทหารกางร่มให้ และทหารถือปืนยาวยืนล้อมมากมาย
    "ฆ่ามันให้หมด พวกมันมีแค่กระหยิบมือเดียว บุกฝ่าออกไปให้ได้"
    กองทหารอังวะกับชาวบ้านระจันรบกันอย่างดุเดือด ฟักรบอยู่บนหลังม้าตะโกนขึ้น
    "พี่ทัพ บุกเข้าไปฟันคอไอ้นายทัพมันให้ได้"
    ทัพหันไปทางจิกแก พยายามตะลุยไป ขุนสรรค์กับกองปืนวิ่งลงมาจากต้นไม้ ยืนเล็งยิงอยู่ห่างๆ หันไปเห็นทัพตะลุยไปหาจิกแกก็ตกใจ
    "ไอ้ทัพอย่าเข้าไปพวกมันมีปืน"
    ขุนสรรค์รีบวิ่งไปทางทัพ ทัพพยายามฟันตะลุยไปที่จิกแก จิกแกมองทัพ
    "ยิงไอ้คนที่มันกำลังตะลุยมา เร็ว"
    กองปืนอังวะวิ่งออกมาระดมยิงปืนไปที่ทัพทันที ทัพเอาทหารอังวะบังกระสุนไว้ได้ แล้วบุกต่อ ขุนสรรค์วิ่งมาถึงยิงพวกกองปืนอังวะทันที กองปืนอังวะล้มระเนระนาด จิกแกตกใจขยับม้าหนี ขุนสรรค์ใส่ดินปืนเสร็จพอดี ยิงไปทันที จิกแกโดนกระสุนเข้าเต็มหลัง ตกม้า ทัพวิ่งมา จิกแกชักดาบออกมาสู้ ทัพฟันจิกแกตาย
    ที่กองบัญชาการค่ายวิเศษไชยชาญ จาดกับนายทหารอังวะอื่นๆ ยืนมองศพจิกแกที่นอนคลุมผ้าอยู่กลางสนาม เนเมียวสีหบดีควบม้ามากับกองทหารอย่างเร็งรีบตรงมาดูเหล่าทหารบาดเจ็บ ร่างโชกเลือด ที่นั่งรออยู่อย่างเจ็บแค้น หลายคนแขนขาขาดเพราะถูกฟัน
    เนเมียวสีหบดีกระโดดลงจากม้า กระชากผ้าที่คลุมศพจิกแก ทหารทุกคนเงียบกริบ เนเมียวสีหบดีจ้องมองด้วยความคั่งแค้น
    "จิกแกนี้เป็นนายทหารฝีมือดีที่ข้าไว้ใจที่สุด แต่กลับมาแพ้ ถูกฆ่าตายด้วยคมดาบไอ้พวกชาวบ้านโยเดียโง่ๆ มันหมายความว่ายังไง จะให้ข้าไปกราบทูลพระเจ้าอยู่หัวเซงพยูเชงว่าไอ้พวกชาวบ้านโยเดียมันเก่งกว่านายทหารอังวะอย่างงั้นหรือ"  
    จาดเงียบ เนเมียวสีหบดียิ่งโมโห นายทหารคนสนิทของจาด นำกองลาดตระเวนอังวะแบกแคร่หามศพเจิดเข้ามา จาดรีบไปดู  
    "เราพบศพท่านอูทินที่ริมน้ำ ห่างจากค่ายเราไปสักร้อยเส้น"
    จาดเงียบ พยายามระงับความโกรธ
    "ศพใคร" เนเมียวสีหบดีถาม
    "อูทิน นายทหารฝีมือดีของข้า เขารู้เรื่องค่ายบางระจันดี แต่ถูกลอบฆ่าเสียแล้ว"
    "นี่มันลอบมาสังหารทหารท่านถึงในค่ายเชียวหรือ จะมัวรีรออะไรอีก รีบหานายทหารคุมทัพไปปราบมัน อย่าปล่อยให้พวกมันผยองอยู่ได้นาน จะเอาทหารไปอีกกี่ร้อยกี่พันก็เอาไป ข้าต้องได้เหยียบซากศพไอ้พวกบ้านระจัน ก่อนที่จะตีกรุงโยเดียแตก เข้าใจมั้ย" เนเมียวสีหบดีแค้น
    หน้าวิหารหลวงพ่อธรรมโชติ ชาวค่ายร้องรำทำเพลงอยู่ที่ลานหน้าโบสถ์อย่างสนุกสนาน  รอทัพกับแฟงขอพรพิธีแต่งงานอยู่ในโบสถ์ หลวงพ่อธรรมโชติรดน้ำมนต์ลงมาที่ทัพกับแฟง ทุกคนยิ้มแย้มมีความสุข
    "ขอให้เอ็งทั้งสองจงซื่อสัตย์ ครองรักมั่นคงจนแก่จนเฒ่า ขอให้ความรักของเอ็ง จงเป็นพลังให้สร้างแต่กรรมดีที่ไม่มีวันสูญสิ้น มีลูกสืบหลาน เป็นกำลังของแผ่นดินตลอดไป"
    ทัพกับแฟงยิ้มให้กันแล้วก้มลงกราบหลวงพ่อ  
    เรือนหอตกแต่งด้วยดอกไม้ป่า สวยงาม ทัพกับแฟงนั่งอยู่กันคนละด้าน ทัพนั่งอยู่กับฝ่ายชาย แฟงนั่งอยู่กับพวกผู้หญิง เมื่อถึงเวลาส่งตัว เคลิ้มกับผู้ชายคนอื่นๆ พากันแบกทัพขึ้น ทัพรีบร้องห้าม
    "อย่า อย่าแตะตัวเจ้าสาวข้านะเว้ย ใครก็ห้ามแตะ"
    แฟงตกใจ ฟักเข้ามาอุ้มน้องสาวขึ้นบ่า "พี่ฟัก"
    ทุกคนพากันมองตื่นเต้น พวกผู้ใหญ่หัวเราะ เจ้าบ่าว เจ้าสาวถูกแบกพาออกไปท่ามกลางรอยยิ้มและดอกไม้ที่จวงกับสไบนำชาวบ้านหญิงพากันโปรยให้  
    "ปราบพยศนังแฟงมันให้ราบเลยนะพ่อทัพ" เฟี้ยมตะโกนล้อ
    ในค่ายอังวะ เนเมียวสีหบดียืนอยู่กลางลาน อากาปันยี นายกองคนใหม่ยืนอยู่ในที่ประชุม ทุกคนเคร่งเครียด
    "พวกบ้านระจัน ฝีมือมันเก่งกล้า ใจมันห้าว ยอมตายแต่ไม่ยอมถอย คราวนี้ข้าขอสร้างค่ายขึ้นใกล้ๆ ค่ายพวกมัน การตั้งค่ายสู้ ก็เพื่อยึดพื้นที่มั่นไว้ให้นานที่สุด หากไม่ชนะข้าพเจ้าจะไม่ยอมถอย"
    "ข้ายอมให้เจ้าทำทุกอย่าง ขอให้ปราบไอ้พวกบ้านระจันนี้ลงให้ได้ หากพวกมันแข็งแกร่งมากกว่านี้ มันจะเป็นกำลังสำคัญช่วยทัพกรุงโยเดียตีกระหนาบหลังค่ายใหญ่ของข้าที่ปากน้ำประสบ จงรีบไปรื้อทลายค่ายมัน ล้างอายให้ข้าโดยเร็วที่สุด"
    สังข์ปลอมเป็นทหารยืนเวรยามฟังอยู่อย่างจดจำ
    ในเรือนทัพ ทัพกับแฟงนั่งอยู่คนละด้านของที่นอน ทัพขยับมาใกล้แฟงซึ่งนั่งตัวเกร็ง เขาค่อยๆ ดึงดอกไม้ที่ผมแฟงออก แฟงเขิน
    "บอกพี่สักคำได้มั้ย แฟงคนดี"
    แฟงสบตาทัพด้วยความอาย
    "รักพี่ทัพคนนี้บ้างมั้ย"
    "จะถามทำไมอีก"  
    "ก็พี่อยากได้ยิน"
    ทัพขยับมาชิดแฟง แฟงจะถอย แต่ทัพโอบไว้ ดึงแฟงมาใกล้
    "ว่าอย่างไร" ทัพซุกไซ้ คลอเคลียไปที่นวลแก้ม
    "รักพี่ทัพบ้างหรือไม่"
    "ไม่รัก"
    ทัพชะงักมองแฟง "แฟงปดพี่"
    "รู้ว่าจะปด แล้วถามทำไม"
    "อยากได้ยินให้ชื่นใจ"
    "ไม่รัก ไม่ชอบ แล้วจะมาแต่งด้วยหรือ"
    "ไม่เอา บอกว่ารัก ไม่ได้หรือ แฟง"
    ทัพโอบแฟงไว้ไม่ให้ดิ้นหนี
    "พี่ทัพนี่ โยเยเป็นเด็ก"
    "อยู่กับแฟง พี่เป็นอะไรก็ได้"
    "ไม่เอา ฉันง่วงแล้ว"
    แฟงทำท่าจะนอน ทัพได้โอกาสดันร่างแฟงลงบนที่นอน
    "พี่ก็ง่วงเหมือนกัน"
    แฟงไม่ทันดิ้นหนี ทัพก็รวบร่างแฟงไว้ มองแฟงแล้วก้มลงจูบแก้ม แฟงสะท้านอาย ทัพก้มลงใกล้กระซิบข้างหู
    "แม่ยอดหญิงของพี่ทัพ พี่จะรักแฟงให้มากกว่าที่แฟงรักพี่ จะทะนุถนอมดอกไม้ไพรดอกนี้ให้มีแต่ความหอมหวาน จะไม่ทอดทิ้งให้แฟงช้ำใจแม้เพียงน้ำตาหยดเดียว"
    "พี่สัญญากับฉันแล้วนะ"
    "สัญญา"
    "ฉันก็จะรักพี่ให้มากกว่าชีวิตฉัน รักพี่ทุกลมหายใจ"
    ทัพมองด้วยความปลาบปลื้ม ก้มลงจูบคนรัก
    ตอนเช้า ทัพจับมือแฟงป้อนข้าวให้ถึงปาก แฟงอาย ทัพมองสายตาหวานหยด ต่างหยอกล้อกันประสาผัวหนุ่มเมียสาว
    ในเรือนใจ ใจนอนทรุดอยู่กับพื้น หน้าตาร่างกายทรุดโทรม จานข้าวยังเหลือเต็ม ไม่ได้แตะ สไบเข้ามายกชามข้าวออก
    "สไบ"
    ใจยิ้มดีใจแต่เป็นยิ้มที่อ่อนแรง สไบไม่พูดอะไร ขาบกับเฟื่องอยู่ด้านหลังมองใจ เฟื่องพูดขึ้น
    "กินข้าวเสียบ้างเถอะ อดข้าวอดน้ำไป จะตายเสียเปล่า"
    "ฉันไม่กิน"
    "กูไม่เชื่อขี้ปากมึงนักหรอก อยากจะให้ตายไปเสีย ติดว่าทัพมันคิดว่าเอ็งอาจจะเห็นแก่สไบคนรัก"
    สไบยืนนิ่ง ใจมองเห็นแววตาห่างเหินของสไบก็ใจหาย
    "กลับตัว กลับใจเสียตอนนี้ ซื่อสัตย์กับคนที่รัก พวกเราก็ไม่คิดรังเกียจหรอกนะ ว่าเคยเป็นใคร ทำอะไรมา" เฟื่องช่วยพูด
    ใจเอ่ยขึ้น แววตานิ่ง น้ำเสียงเครียด
    "จะฆ่าก็ฆ่า"  
    ขาบกำดาบ เฟื่องมองห้าม ขาบหยุด สไบมองจ้องใจ
    "ไม่ต้องร้องขอหรอก คนคด จะมีชีวิตอยู่ได้อีกไม่นาน"
    สไบเสียงแข็ง ใจฟังแล้วยิ่งหมดหวังที่จะกลับมารักกับสไบเหมือนเดิม
    ทัพกอดจูบอ้ายเลาด้วยสำนึกในคุณ ฟักมองอยู่ใกล้ๆ
    "ข้าขอให้เอ็งช่วยครั้งนี้อีกครั้งเดียวจริงๆ จงทำให้สำเร็จ พาไอ้สังข์มันกลับมาค่ายเราให้ได้นะ ไป อ้ายเลา ไปทำหน้าที่ของเอ็ง อีกครั้งเดียว"
    อ้ายเลายกขาหน้า ร้องดัง ทัพยิ้ม อ้ายเลาห้อออกไป ทัพกับฟักมองตามด้วยความหวัง
    "ขอให้มันช่วยพี่สังข์กลับมาได้ด้วยเถอะ ข้าเป็นห่วงพี่สังข์จริงๆ แอบสืบข่าวอยู่ในค่ายมันนานขนาดนั้น มันอันตรายเหลือเกิน"
    ฟักไม่รู้จะทำอย่างไร จึงยกมือไหว้ฟ้าดิน ทัพเองก็เป็นห่วงสังข์มาก

00000000000

    ที่ซากเรือพังริมน้ำ สังข์ค่อยๆ โผล่ขึ้นจากซากเรือริมน้ำมองทางท่าเรือค่ายอังวะ อ้ายเลายืนแอบอยู่ใต้ต้นไม้ริมน้ำ สังข์ยิ้มรีบวิ่งลงไปหา
    "เอ็งนี่ฉลาด สมเป็นม้าแสนรู้ที่ไอ้ทัพมันรักนักรักหนาจริงๆ นะอ้ายเลา"
    สังข์เอาลูกผลไม้ป่ามาเขียนสีติดกับหลังอ้ายเลา เอาโคลนทาทับเหมือนคราวก่อน แล้วลูบหัวอ้ายเลาเบาๆ
    "ขอบน้ำใจเอ็งจริงๆ นะอ้ายเลา กลับไปบอกไอ้ทัพว่าข้ายังกลับไม่ได้ ข้าขออยู่ช่วยเชลยไทที่นี่ก่อน ข้าทิ้งพ่อแม่พี่น้องไทของข้าไว้ในค่ายมันไม่ได้ดอก"
    อ้ายเลาหายใจแรง สังข์ยื่นหญ้าที่เตรียมมาให้ อ้ายเลารีบกิน
    "กินแล้วรีบห้อกลับไปนะอ้ายเลา ข้าต้องรีบกลับเข้าไปในค่ายมันเหมือนกัน พวกมันวางยามแข็งขันเหลือเกิน"
    อ้ายเลารีบสะบัดหัว วิ่งกลับไปอย่างรวดเร็ว
    "อ้ายเลาเอ็งสมเป็นม้าของกองทัพพระเจ้าอยู่หัวกรุงศรีจริงๆ"
    สังข์มองอย่างชื่นชม
    ทัพนั่งอยู่กลางวง บนเรือนพ่อค่าย ถือเศษผ้าที่สังข์ส่งมาพร้อมกับอธิบายแผนที่ที่ทรายตรงหน้า ทุกคนเคร่งเครียดมองแผนที่  
    "ไอ้สังข์มันว่า แผนของอังวะคือสร้างค่ายขึ้นที่บ้านขุนโลก ประชิดบ้านระจันเราไว้ พวกมันเตรียมเสบียง อาวุธสู้ศึกเต็มที่ พวกมันจะไม่ถอยกลับค่ายที่วิเศษไชยชาญจนกว่าจะปราบค่ายบ้านระจันของเราลงได้"
    "ถ้ามันคิดตั้งค่าย ศึกนี้ยืดเยื้อแน่" นายพันเรืองหวั่น
    "กำลังคนของเราไม่พอที่จะยื้อศึกกับมันดอก คนเฒ่าคนแก่ ลูกเล็กเด็กแดงเดือดร้อนกันไปทั้งค่ายแน่" นายทองแก้วบอก
    "เราเคยแต่ซุ่มโจมตีมัน ถ้าปะทะซึ่งๆ หน้า เราแพ้แน่" นายโชติกังวล
    "ถ้างั้นเราก็ชิงลงมือก่อนซิ"
    นายจันหนวดเขี้ยวเสนอ คนอื่นๆ เห็นด้วย
    "ท่านว่าไง ขุนสรรค์" นายทองเหม็นถาม
    "ข้าก็คิดอย่างนั้น ลงมือเสียคืนพรุ่งนี้อย่าให้มันตั้งตัว อย่าให้มันตั้งค่ายได้สำเร็จ"
    ทัพมอง ทุกคนเตรียมพร้อมทำตามแผนของทัพ
    ที่เรือนทัพ ทัพยกมือขึ้นพนมไหว้ประเจียดมงคลของหลวงพ่อธรรมโชติที่อยู่บนหิ้งดาบ  แฟงมองอยู่ด้านหลัง
    "ขอประเจียดมงคลของหลวงพ่อธรรมโชติ จงช่วยคุ้มภัยให้ลูกชนะศึกใหญ่ครานี้ด้วยเถิด พวกศัตรูคิดตั้งค่ายปักหลักหมายเข้าทำลายค่ายบ้านระจันให้แหลกเป็นแน่แล้ว"
    แฟงถือดาบคู่ของทัพอยู่ด้านหลัง ฟังด้วยสีหน้ากังวล
    "การใหญ่ของมันจะต้องล่มลงด้วยสองมือ ด้วยหัวใจนักสู้ของพี่ทัพ และเหล่านักรบบ้านระจันของเรา"
    ทัพตั้งจิตอธิษฐาน ยกมือท่วมหัว รับดาบคู่จากแฟงมาสะพายหลัง มองแฟงด้วยสายตาหาญกล้า แฟงเดินเข้าไปกอดทัพไว้  
    "ไปเถิดพี่ทัพ คนกล้าของแฟง ไปรบ หลั่งเลือดเพื่อแผ่นดินของเรา พวกเราจะต้องมีแผ่นดินไว้ให้ลูกหลานได้อยู่ได้กิน"
    ทัพกอดกระชับแฟงไว้ แฟงยิ้ม เอ่ยให้กำลังใจ
    "เมียจะคอยฟังเสียงโห่ร้อง จะหุงหาข้าวปลา จะรอซับเหงื่อให้ผัวรักอยู่ที่ค่ายนี้"   
    "แฟง จงปลื้มใจเถิด ผัวเจ้าไปศึกเยี่ยงแม่ทัพ ไปล้างศึกเอาชนะมาให้เมีย ค่ายบ้านระจันจะโห่รับพี่เมื่อเสร็จศึก แฟงจะต้องมีหน้าเพราะผัวรักได้ชัยชนะกลับมา"
    ทัพและแฟงยิ้มให้กันอย่างเปี่ยมไปด้วยหวัง
    ขาบดึงหัวใจที่ไม่ยอมกินข้าว กินน้ำ สภาพหน้าตาทรุดโทรมขึ้นมา ใจมองจ้องตากับขาบ
    "คืนนี้กูอยากพามึงออกไปรบด้วย ให้มึงได้เห็นว่าวันนี้พวกกูจะทำลายค่ายของมึงให้ราบได้ยังไง"
    ใจสายตาวาบกร้าว เมื่อได้ยินคำของขาบ
    ที่ป้อมค่ายอากาปันยี บ้านขุนโลก ทหารยามบนป้อมแนวค่ายกำลังเร่งสร้างด้วยแรงงานเชลยไทยกว่า 30 คน ตลอดแนว ทหารมองไกลๆ เห็นฟักควบม้าวิ่งกลับไปกลับมาอยู่หน้าค่าย ทหารบนป้อมรีบส่งเสียงบอกด้านล่าง ฟักควบม้าวิ่งกลับไปกลับมา ทหารอังวะ และเชลยต่างยืนมองงงๆ อากาปันยีอยู่ด้านใน สั่งทหาร
    "เอาทหารไปลากตัวไอ้ระจันคนนั้นมา กูจะบั่นคอส่งหัวมันกลับไปให้พวกมันดู มันกำแหงมาก ที่ออกมาดูลาดเลาถึงหน้าค่ายเราคนเดียว"   
    ทหารรีบกรูกันออกไปอีก
    กองทหารม้าอังวะควบออกมาอย่างรวดเร็ว ฟักห้อม้าหนี ทหารอังวะ 10 คน ควบม้าตามหลังมา ทหารที่เหลือรีบสั่งเชลยไทสร้างค่ายต่อ
    ที่เนินพุ่มไม้หน้าค่ายอากาปันยี ทัพ นายจันหนวดเขี้ยว ขุนสรรค์ที่นำทัพ และพวกของทัพซุ่มอยู่ ทัพมอง พยักหน้าให้สัญญาณ เอิบ ช่วง คุมนักรบบ้านระจันเข็นล้อเกวียนที่ต่อขึ้นหยาบๆ สุมด้วยฟาง ราดน้ำมันตรงเข้าหาค่ายนับ 10 คัน เกวียนถูกสุมเพลิงโหมขึ้น พุ่งตรงไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว
    อากาปันยีควบม้าออกมาดูสถานการณ์กับนายทหารคนสนิท เห็นเกวียนพุ่งเข้ามา แปลกใจ
    "มันล่อให้เราเปิดค่ายให้มัน สกัดเกวียนเพลิงพวกนั้นไว้ เร็ว"
    ทหารอังวะวิ่งเข้าหาหมายจะสกัดเกวียนน้ำมันไว้ ทัพกับทุกคนมองเตรียมพร้อม ขุนสรรค์หันไปสั่งกองปืนไฟที่เตรียมอยู่ใกล้ๆ
    "กองปืนพร้อม"
    กองปืนไฟประทับปืนเล็งไปที่ทหารอังวะที่ออกมาสกัดกองเกวียนไฟทันที   
    "ยิง"  
    กองปืนไฟยิงไปที่เป้าหมายทหารอังวะทันที ทหารอังว