
บางระจันตอนที่21
16 ก.พ. 2558
บางระจันตอนที่21
จาดยืนมองเจิด ซึ่งร่างกายฟื้นตัวขึ้น เดินตรงเข้ามาหา แววตากร้าว เจ็บแค้น
"ให้ข้าไป สยา ข้าจะฆ่าพวกบ้านระจันนั้นด้วยมือข้าเอง"
ที่ลานบ้านฟัก ทัพเดินไปหาไอ้เลาที่คอก ลูบหัวด้วยความเอ็นดู เพื่อนๆ ทุกคนเงียบไปหมด ไม่มีใครกล้าแหย่ทัพ ต่างแยกนั่งตามมุมตัวเอง จวงวิ่งเข้ามาเกาะแขนพี่ชาย ขอร้องน้ำตาคลอ
"พี่ทัพ อย่าถือพี่สังข์เลยนะพี่ พี่สังข์เขาเมา เขาไม่ได้ตั้งใจจะว่าพี่"
แฟงกับเฟื่องมองหน้าทัพ ขาบเองก็ลำบากใจ
"เดี๋ยวฉันไปพูดให้พี่สังข์มาขอสมาพี่กับพี่ใจ พี่ทัพอย่าเคืองพี่สังข์เลยนะจ๊ะ"
"ข้ารู้สันดานผัวเอ็งดี จวง เพราะไอ้สังข์มันเคยเป็นเกลอรักของข้า"
ทัพดึงมือจวงออก จวงหน้าเสีย แฟงรีบเข้าไปหาทัพ
"พี่สังข์เขาพูดไปเพราะความโมโห"
"มันคิดแต่เรื่องของตัวจนขาดสติไม่ฟังเหตุฟังผลใคร อย่างนี้หรือที่คิดจะนำคนออกไปรบ"
"ให้ฉันไปพูดกับสังข์เอง"
"ไม่ต้องไอ้ใจ ไม่ใช่เรื่องเอ็งเรื่องเดียวดอก ไอ้สังข์มันบ้ายศบ้าศักดิ์ ไม่คิดถึงส่วนรวม ไม่คิดถึงความสามัคคีที่จะพาเรารอด"
"ไม่จริง พี่สังข์เป็นคนดี ฉันจะพาพี่สังข์กลับมาอยู่กับพวกเรา"
จวงวิ่งออกไป ทัพมองตามน้องสาว เครียด ก่อนจะหันกลับมาเห็นแววตาขอร้องของทุกคน เขาไม่สนใจ เดินออกไป แฟงเดินตามไป
จวงวิ่งมาหาสังข์ สวนกับสังข์ที่เดินสะพายห่อผ้า จวงมองตกใจ
"พี่สังข์ พี่จะไปไหน"
"พี่อยู่ที่นี่ไมได้แล้ว"
สังข์ทอดสายตามองจวง จวงคว้าข้อมือผัวไว้แน่น
"พี่ต้องอยู่ที่นี่ พี่ไปไหนไม่ได้ ที่นี่เป็นบ้าน เป็นเรือนของเรา"
สังข์มองเมียที่น้ำตารินไหล อ้อนวอน
"พี่ต้องไป จวง"
"พี่สังข์ ให้ฉันไหว้พี่ก็ได้ อย่าโกรธอย่าเกลียดพี่ทัพ พี่ชายฉันเลย พี่เป็นเพื่อนกันมา พี่ทัพไม่เคยคิดชิงดีชิงเด่นกับพี่เลยสักครั้ง"
"จวง วันหนึ่งเอ็งจะเข้าใจพี่"
สังข์กอดจวงแน่น จวงสะอื้นถาม
"พี่จะทิ้งฉัน พี่ไม่รักฉันแล้วหรือ พี่สังข์"
"รักสิ จวง พี่รักเอ็งมากเหลือเกิน ไม่ว่าตัวพี่จะอยู่ที่ไหน ขอให้รู้ว่าใจพี่อยู่กับเอ็ง รักษาตัวให้ดีนะ จวง"
สังข์มองทอดสายตาไปที่เมียรัก แล้วหันหลัง ตัดใจเดินออกไป
"พี่สังข์ พี่สังข์ อย่าทิ้งฉันไป"
ทัพยืนอยู่ที่คอกม้าอย่างกดดัน แฟงเดินเข้ามาดักหน้า
"พี่สองคนเป็นเกลอกัน รบเคียงบ่าเคียงไหล่กันมากี่ครั้ง พี่ทัพ พี่เองเป็นคนพูดว่าคนไทต้องมีน้ำหนึ่งใจเดียวถึงจะชนะข้าศึกได้ ทำไมพี่ถึงให้เรื่องขี้ผง มาทำลายน้ำใจของเกลอที่ร่วมเป็นร่วมตายกันมา"
แฟงย้อนถาม ทัพมองแฟงด้วยความอึดอัดใจ
สังข์เดินมาที่หน้าประตูค่าย จวงวิ่งตามหลังมา ขาบกับเฟื่องมาขวางสังข์ไว้ สไบจับมือใจเดินตามมาขวางไว้อีกทาง ขาบพูดขึ้น
"ไอ้สังข์คิดให้ดี ข้างนอกนั่น ไม่มีใครรักแล้วก็หวังดีให้โอกาสเอ็งเท่าเพื่อนอย่างไอ้ทัพอีกแล้ว"
"มึงเลิกพูดชื่อไอ้ทัพสักที"
ทัพกับแฟง ฟัก เคลิ้ม เอิบ ช่วง เดินมาอีกด้าน ได้ยินสังข์พูดอย่างเจ็บใจ
"ถ้าคนอย่างไอ้ทัพ มันเป็นเทวดา ก็เชิญกราบไหว้กันไป แต่สำหรับข้า ไอ้ทัพมันคือเกลอที่เอาดีเข้าตัวคนเดียว"
ทัพผิดหวังกับคำพูดของสังข์
"สักวันหนึ่งไอ้ขาบ มึงก็ต้องเป็นแบบกู ถูกไอ้ทัพมันเหยียบย่ำขึ้นไปยืนเหนือทุกคน"
ทัพกำหมัดแน่น สังข์หันมาเห็นทัพ แต่ไม่ยี่หระ หันหลังเดินตรงไปที่ประตูระเนียด เฟื่องมองขอร้องทัพ แฟงช่วยพูดให้ทัพห้ามสังข์ ใจขยับออกมาทรุดเข่าลง พนมมือ
"ให้ข้ากราบเอ็งก็ได้ อย่าไปเลย สังข์"
ใจพนมมือจะไหว้ สังข์หันหน้ากลับ ไม่มอง เดินตรงไปที่ประตู
"พี่สังข์ อย่าไป"
จวงวิ่งตาม แฟงกับเฟื่องรีบเข้าไปคว้าตัวจวงไว้
"พี่สังข์ พี่บอกว่ารักฉัน พี่อย่าไป พี่สังข์ กลับมา ที่นี่เป็นบ้าน เป็นครอบครัวของพี่ กลับมา"
จวงสะอื้น น่าเวทนา ใจได้ยินทุกอย่าง พนมมือค้าง สไบทรุดลงกอดใจด้วยความเศร้า ทัพนิ่ง มองสังข์เดินออกไป แล้วหันหลังเดินกลับไป ทุกคนมองเพื่อนรักแยกกันเดินคนละทาง ด้วยความเศร้าใจ
กลางคืน ทัพยืนมองไปไกล แฟงเดินมาด้านหลัง สีหน้ามีแต่ความผิดหวัง เสียใจ
"ข้างนอกค่ายมีแต่ข้าศึก พี่ไม่สนใจเลยหรือพี่ทัพว่าเกลอพี่จะเป็นหรือตาย"
"ไอ้สังข์มันเลือกเอง"
"พี่สังข์ไปอย่างคนตามืดตามัว พี่เป็นเกลอกัน ทำไมไม่ห้าม พี่ทัพที่ฉันรู้จัก ไม่ใช่คนใจจืดใจดำ ทิ้งเกลอให้ไปตายเอาดาบหน้าอย่างนี้"
"แฟง" แฟงสะบัดหน้า วิ่งออกไป ทัพได้แต่เสียใจ
จวงนั่งพิงเสา น้ำตายังไหลซึมเพราะความเสียใจที่สังข์ต้องออกไปจากค่าย สไบ กับเฟื่องคอยนั่งปลอบใจ แฟงเดินมา
"พี่ทัพว่าอย่างไรบ้าง แฟง พี่ทัพจะไปตามพี่สังข์กลับมาใช่มั้ย"
แฟงส่ายหน้า จวงลุกขึ้นพุ่งไปที่แฟง
"ทำไม แฟง ช่วยพูดกับพี่ทัพให้ฉันทีเถิด"
"จวง ใจดีๆ ฉันพูดแล้ว"
"พูดอีกสิ แฟง พูดอีก พี่ทัพเชื่อแฟง พี่ทัพรักแฟง พี่ทัพต้องช่วยพี่สังข์ อย่าปล่อยพี่สังข์ไป ตายแบบนี้"
จวงร้องไห้โฮ แฟงกอดเพื่อนไว้ สไบ กับเฟื่องมองสีหน้าไม่ดี
"จวง รอให้พี่ทัพใจเย็นลง ฉันจะไปช่วยพูด"
"พี่ขาบจะต้องไปช่วยตามพี่สังข์" เฟื่องบอก
"ถึงตอนนั้นพี่สังข์ก็เป็นผีเฝ้าป่าแล้ว"
"จวง อย่าพูดให้ร้ายผัว" เฟื่องขอร้อง
"แล้วที่พี่ทัพ พี่ขาบทำกับพี่สังข์ล่ะ ปล่อยผัวฉันออกไปตายเอาดาบหน้า พี่สังข์เขาไม่ใช่คนเลว พี่ทัพไม่รักเพื่อน ไป ไปให้พ้นหน้าฉันทั้งหมด พวกแกมันพวกคนดี ปล่อยฉันอยู่คนเดียว"
"จวง เราเป็นเพื่อนกันนะ"
"ไม่ ฉันไม่นับใครเป็นเพื่อนอีกแล้ว ฉันจะไปตามพี่สังข์"
จวงดิ้นสุดแรง ผลักแฟงล้ม เฟื่องเข้ามา จวงผลักเฟื่องกระเด็นไปอีกคน สไบพุ่งเข้ารวบตัวจวงไว้
"จวง จวงยังมีพวกเรานะ พี่สังข์ต้องไม่เป็นอะไร พี่สังข์ต้องกลับมารับจวง"
จวงร้องด้วยความเสียใจ จนทุกคนไม่อาจกลั้นน้ำตาแห่งความสงสารไว้ได้
ทัพยืนหน้าเครียดอยู่ที่เรือน ใจเดินเปะปะมีไม้คอยช่วยนำทางมา
"ถ้าเอ็งจะมาพูดเรื่องไอ้สังข์ ข้าว่าเอ็งกลับไปเถอะ ใจ"
"เห็นแก่ความเป็นมิตรสักครั้ง"
"เอ็งก็เห็น ไอ้สังข์มันคิดว่าข้าเหยียบย่ำคนอื่น เอาดีเข้าตัวคนเดียว"
"สังข์มันพาลโมโหที่พี่เห็นใจฉัน ช่วยฉัน"
"ข้าไม่แตกกับเกลอด้วยเรื่องคนอื่น"
"ขาดสังข์ไป พี่จะมีใครช่วยร่วมรบ"
"คนทั้งค่ายนี่ไงเล่า ใจ คนทั้งค่ายบ้านระจันที่ยังสามัคคี น้ำหนึ่งใจเดียวไล่ข้าศึก ข้าถือว่า เนื้อไหนร้าย ปล่อยให้เน่า มันก็ลามไปเนื้อดี ยอมเจ็บเพลานี้ ตัดแขนข้างเดียว ดีกว่าต้องเน่าตายทั้งตัว ขาดไอ้สังข์คนเดียว ค่ายบ้านระจันก็ไม่ล่ม"
ทัพจ้องใจด้วยแววตานิ่ง
ตามเส้นทางไปวิเศษชัยชาญทหารอังวะพากันขนข้าวของที่ปล้นขึ้นเกวียน บางคนก็ลากพวกผู้หญิงมา เสียงผู้หญิงกรีดร้อง สังข์กำดาบเตรียมพร้อม เข้าขวางทันที ต่อสู้กับทหารจนถูกจับไปเป็นเชลยที่ค่ายของอังวะ สังข์มองไปรอบๆ ค่ายอย่างตื่นเต้น สมใจอยากที่จะได้เข้ามาในค่ายนี้ทั้งๆ ที่จะหมดแรง
สังข์เดินผ่านสิ่งต่างๆ ในค่ายอย่างจดจำ เชลยชายบางคนถูกจองจำในเครื่องทรมานอย่างทารุณ เขาเห็นทหารอังวะทำร้ายเชลยหญิงไทยก็ทนไมได้ เข้าไปสู้ทั้งๆ ที่มือติดขื่อคาอยู่ พวกทหารอังวะจึงพากันรุมสังข์จนน่วมไปทั้งตัว เงื้อดาบจะรุมฟัน มยิหวุ่นร้องสั่งให้ปล่อยสังข์ แล้วกระโดดลงจากหลังม้า ตรงมาที่สังข์อย่างเยือกเย็น
"ลุกขึ้น ข้าดูเอ็งสู้อยู่นาน ฝีมือเอ็งมิใช่ชาวบ้านธรรมดา"
"กูคือคนระจัน เคยเป็นทหารกรุงศรี"
มยิหวุ่นเดินยิ้มกวนๆ ก่อนจะทั้งเตะและต่อยสังข์
"ข้าอยากเจอคนระจันนัก มา เข้ามา"
สังข์ไม่รอช้ากระโดดเข้าสู้กับมยิหวุ่นทันที ต่างคนต่างแก้เชิงมวยกันเป็นพัลวัน จนท้ายสุดสังข์พลาด ถูกแม่ไม้เด็ดของมยิหวุ่นจนสลบ
"ค่ายระจัน มีคนเคยเป็นทหารมานี่เอง ถึงเอาชนะมิได้สักที คืนนี้จอกยีโบจะเป็นคนสอบสวนมึงเอง"
มยิหวุ่นพูดอย่างแค้นเคือง
ใจนั่งอยู่ที่เรือน ครุ่นคิดเรื่องสังข์ สไบเดินเข้ามาใกล้
"สังข์มันจะไปไกลถึงไหนแล้ว ข้างนอกมีแต่อังวะทุกหย่อมหญ้า"
"บางที พอหายโกรธ พี่สังข์อาจจะเปลี่ยนใจกลับมา"
"พี่ผิดเหลือเกิน ผิดมามาก"
"พูดออกมาเสียบ้างเถอะจ้ะ สไบจะรับฟังพี่ทุกอย่าง"
"พี่อยากจะลืมมันให้หมด ลืมว่าเคยทำอะไรลงไป จำแค่วันนี้ ที่นี่ มีสไบที่ผูกใจพี่ไว้"
"ที่ค่ายบ้านระจัน ทุกคนเราเหมือนพี่กันน้องกัน ทุกข์ยากเราก็จะลำบากด้วยกัน รอวันที่อังวะถอยทัพไปจนหมดแผ่นดิน เราจะสร้างบ้านของเราอยู่ที่นี่"
"พี่ก็อยากฝันแบบสไบ แต่ทัพอังวะต้องการตีกรุงศรีให้ได้"
"พี่ใจตอบฉันสักคำเถอะนะ ตอบเมียของพี่ พี่เลือกที่จะอยู่ข้างอังวะหรืออยู่ข้างเมียพี่"
"ถ้าพี่เลือกอังวะ สไบก็จะหมดรักพี่"
"ฉันไม่มีวันหมดรักพี่ ฉันขอแค่รู้ว่าคนที่ฉันรักรู้สึกอย่างไร"
ใจนิ่งอั้น คิด สไบมองจ้องรอคอยคำตอบ
"พี่เป็น อังวะ"
สไบได้ยินแล้ว ให้ทำใจมาแค่ไหน ก็น้ำตาคลอ
"แต่ฉันเป็นไท เราไม่มีวันร่วมแผ่นดินเดียวกัน"
สไบน้ำตาไหลริน ใจควานมือไปประคองหน้าสไบไว้
"พี่กำลังรับโทษคนทรยศแล้วสไบ ตาพี่มองไม่เห็น ชีวิตพี่มีแต่ความมืดมิด สไบคือแสงเดียวในชีวิตพี่"
สีหน้าสไบเกินจะรับได้กับสิ่งที่สงสัยมาตลอด สไบมองใจที่อยู่ตรงหน้า น้ำตาไหลริน สายตามีแต่ความเจ็บปวด
ในค่ายย่อยวิเศษไชยชาญ สังข์ถูกสาดน้ำปลุกให้ฟื้น เขาถูกตรึงไว้กับเสาไม้ เจิดจิกหัวสังข์ขึ้นมา
"มึงนี่เอง ไอ้เจิด ไอ้งูพิษ เป็นอย่างที่กูคิดไว้ไม่ผิด"
เจิดชกเข้าหน้าสังข์สะบัด
"มึงจะตายแล้วยังปากดี"
"ยิ่งกูใกล้ตาย กูจะด่ามึง กูจะสาปแช่งพวกมึงให้พินาศฉิบหาย ตายอยู่ใต้ตีนคนไทย"
เจิดกระหน่ำชกจนสังข์คอตก
"อย่าเพิ่งให้มันตาย"
จาดร้องบอก เจิดจิกหัวสังข์ขึ้น สังข์มองจาด
"ข้าต้องการรู้เรื่องในค่ายบ้านระจัน"
"กูไม่มีวันหักหลังคนไทยด้วยกัน"
"ข้ารู้อยู่แล้วว่าพวกเอ็งไม่มีวันเปิดปาก"
จาดเหลือบมองทหารที่รออยู่ จิ้มเหล็กลงไปในเตาไฟที่ก่ออยู่ สังข์มองเหล็กที่นาบไฟแดงวาบ จ่อมาใกล้หน้าอก
"พวกมึงมีกี่คน ใครเป็นหัวหน้า"
สังข์ถุยน้ำลายใส่หน้าจาด จาดคว้าเหล็กเผาไฟนาบลงไปกลางอก สังข์ร้องลั่นด้วยความเจ็บปวด
000000000000000000
ในวิหารหลวงพ่อธรรมโชติ ทัพ ฟัก เคลิ้ม ก้มลงกราบหลวงพ่อที่นั่งสมาธิอยู่ ขาบกับเฟื่อง แฟง จวงนั่งหมดอาลัยตายอยาก เฟื่องกับแฟงต้องคอยมองด้วยความห่วงใย ใจนั่งอยู่ข้างสไบ สไบอมทุกข์เรื่องใจเป็นอังวะ
"ข้าศึกยังไม่ถอย พวกเราคงต้องรบกับมันอีก และระจันเราก็คงต้องรับศึกหนักขึ้นเรื่อยๆ" ทัพบอก
"ถึงหน้าน้ำเหนือหลากมา ไม่รู้พวกมันจะถอยร่นกลับไปอย่างที่คิดหรือไม่" เคลิ้มพูดขึ้น
"ถ้าน้ำเหนือหลากมา แล้วมันไม่ถอย เราจะทำอย่างไร มิเสียแผ่นดินให้พวกมันหรือ"
ฟักพูดจบ หลวงพ่อธรรมโชติลืมตาขึ้น กวาดตามองทุกคนแล้วมาหยุดที่ใจ
"เมตตาคนคดไม่ได้ผล เพราะใจมันไม่มีวันตรง"
ทัพเหลือบมองใจกับสไบ แต่ไม่พูด ใจนั่งนิ่ง สไบน้ำตาไหล
เวลาต่อมา ขาบเดินมาหาทัพที่ยืนมองน้ำในบ่อ อย่างใช้ความคิด
"หลวงพ่อธรรมโชติท่านหมายถึงใคร ไอ้ใจหรือเปล่า"
ทัพถอนใจหนักๆ
"ข้าบอกตรงๆ นะทัพ ข้ายังไม่วางใจใครทั้งนั้น จนกว่าจะจับไส้ศึกได้"
"ข้าก็ไม่ได้นิ่งนอนใจหรอก แต่ตอนนี้ไอ้ใจมันตาบอด ลำพังจะซอกแซกไปไหนมันก็ยาก แล้วยังเรื่องมองเห็น การจะรู้กลศึกก็แทบจะไม่มีทาง รบครั้งที่ผ่านมา เราชนะเพราะพ่อค่ายท่านเปลี่ยนแผน ไม่เหมือนที่เรารบมาทุกครั้ง ข้าก็ยืนยันไม่ได้หรอกว่าไอ้ใจมันไม่รู้ไม่เห็นเรื่องไส้ศึก เพราะที่ผ่านมาหลายอย่างมันส่อพิรุธในตัวมัน แต่ตอนนี้มันมองไม่เห็นแล้ว ถ้านี่เป็นการลงโทษที่เคยผิดคำสัตย์สาบาน ข้าก็คิดว่าคุณพระคุณเจ้า สิ่งศักดิ์สิทธิ์ได้ให้โอกาสมันที่จะกลับตัวเสียใหม่"
"ทำไมเอ็งไม่ถามมันตรงๆ"
"ข้าไม่อยากตอกย้ำความผิดของใคร บาปบุญคุณโทษ เราต้องรู้อยู่แก่ใจ ขอให้เชื่อเถอะเพื่อน ข้าไม่ได้ปล่อยให้เรื่องนี้ผ่านไปเฉยๆ ถึงเวลาเอ็งจะรู้ ว่าข้าทำอะไรอยู่"
ทัพมองเพื่อนอย่างให้ความเชื่อมั่น
สังข์ถูกตรึงอยู่กับเสาอย่างทรมาน เนื้อตัวมีแต่แผลถูกมีดกรีด กลางอกมีแผลไหม้ เจิดกระชากหัวสังข์ขึ้นมา
"มึงจะยอมตายแทนคนอื่นทำไม ทำไมไม่รักษาชีวิตไว้อยู่กับเมียสวยๆ ของมึง"
เจิดกรีดมีดลงไปแขน สังข์ร้องสั่นด้วยความเจ็บ
"คิดดู ตอนที่พวกมึงแพ้ นังจวงเมียสาวของมึง จะต้องมาบำเรอทหารกูทั้งค่ายนี่"
สังข์ดิ้นพราดเมื่อเจิดจี้ใจ
"ทำไมมึงไม่รักษาชีวิตของมึงไว้"
"พอแล้ว พอ"
"งั้นก็บอกมา ใครเป็นหัวหน้าวางแผนรบของพวกมึง"
"พ่อค่ายระจันมีทั้งหมด สิบคน พวกมึงไม่มีวันเอาชนะได้ดอก ฮะๆๆๆ"
สังข์หัวเราะชอบใจที่หลอกเจิดได้ เจิดโกรธ ต่อยหน้าสังข์อย่างแรง แต่สังข์ก็หัวเราะชอบใจอย่างไม่กลัวตาย
แฟงเดินออกมาจากวิหารหลวงพ่อ พอเห็นทัพก็หันหลัง เดินหนี ทัพรีบเดินตาม
"ยังไม่หายโกรธพี่เรื่องสังข์อีกรึ"
"ฉันเคยเห็นแต่พี่ทัพ คนที่รักเกลอร่วมตาย"
"พี่ไม่ขอให้เอ็งเข้าใจพี่ตอนนี้หรอก แฟง"
"ดี ถ้าพี่ไปตามพี่สังข์กลับมาเมื่อไหร่ เราค่อยกลับมาคุยกัน"
แฟงดึงแขนออกอย่างแง่งอน เดินออกไป ทัพมองตามอย่างอ่อนใจ
สังข์มองจาดฟาดแส้ในมือลงกับพื้น หวังขู่รีดเค้นเอาความลับในค่าย หน้าตาสังข์ยับเยินมากขึ้นกว่าเดิม
"พวกมึงมีอาวุธมากเท่าไหร่"
"อาวุธพวกกูมีน้อยกว่าพวกมึงเป็นหลายร้อยเท่า แต่พวกกูก็ไม่กลัวมึง พวกกูรบด้วยใจ รบด้วยชีวิตของพวกกู แผ่นดินนี้กูเป็นเจ้าของ พวกมึงอย่าหมายมาแย่งไป กูยอมตาย"
เจิดสุดจะบังคับถามอะไรได้ หยุดคิด แล้วเดินมาถามอีกคำถาม
"อองนาย เพื่อนข้า ไอ้ใจ มันเป็นหรือตาย"
สังข์มองเจิด เห็นแววตาเป็นห่วงวูบหนึ่งของเจิด
"สยาบอกว่ายิงมันด้วยมือตัวเอง"
"มันเจ็บหนัก ไม่ตายก็เหมือนตาย"
เจิดฟาดแส้ลงไปที่พื้นอย่างระบายความโกรธ สังข์มองอย่างสังเกตที่เจิดยังเป็นห่วงใจ
ใจนั่งอยู่ตามลำพัง สไบเดินเข้ามาเงียบๆ เห็นใจเอื้อมมือไปหยิบน้ำจากกระบอกที่วางอยู่บนแคร่ สไบรีบหลบวูบ สีหน้าไม่ดี รีบเดินไปหาแฟงที่เรือนครัว
"แฟง ถ้าพี่ใจไม่ได้ตาบอด ถ้าพี่ใจหลอกพวกเราอยู่"
แฟงฟังแล้วตกใจมาก
ใจวางกระบอกน้ำลงที่เดิม ลุกเดินเปะปะ แฟงกับสไบหลบมองอยู่ สองคนมองจับตาใจที่อยู่ด้านในตามลำพัง ใจยืนคว้างกลางเรือน แล้วขยับเดิน แต่ชนเข้ากับเสา ใจเซ ล้มลง สไบเผลอตัวอยากจะเข้าไปช่วยดึง แต่แฟงดึงสไบไว้ มองปราม ใจพยายามลุกขึ้นเองแต่ยากลำบาก ใจกำหมัดแล้วทุบลงพื้นอย่างเจ็บใจ น้ำตาไหลออกมาเงียบๆ สไบเห็นก็น้ำตารื้น ใจอ่อนลง แฟงดึงสไบออกมา
"พี่ใจเขาตาบอดจริงๆ"
สไบพยักหน้ารับรู้ แล้วเดินเข้าไปโอบกอดใจ
แฟงมองจวงที่ไม่ยอมกินข้าวกินปลา หน้าตาอิดโรย ร่างกายผ่ายผอมเพราะตรอมใจ
"จวง ถ้าเอ็งไม่กิน ไม่นอนเลย เอ็งจะเอาแรงที่ไหนไปจับดาบไล่ศัตรู"
"ให้ฉันตายเถอะ แฟง ฉันจะได้ไปเจอพี่สังข์"
"แล้วถ้าพี่สังข์เขายังอยู่ล่ะ พี่สังข์ทิ้งเอ็งไว้ที่นี่เพราะเหตุใด เพราะอยากให้เอ็งรอดใช่มั้ย ทำไมไม่รักษากาย รักษาใจ รักษาชีวิตไว้รอเจอคนที่เอ็งรักอีกครั้งล่ะจวง"
แฟงจับมือให้กำลังใจจวง จวงฟังแล้วยิ่งน้ำตาร่วง
ในเรือนพ่อค่าย ทัพ กับพวกขาบ และพ่อค่ายทั้ง 9 คน นั่งรอประชุมอยู่เงียบๆ นายพันเรืองเดินออกมาจากในห้องพ่อแท่นอย่างหนักใจ บอกว่าพ่อแท่นอาการไม่ดีขึ้น พ่อค่ายต่างกังวล ขุนสรรค์กรมการเอ่ยขึ้น
"ข้าศึกมันคงเตรียมแก้แค้นให้นายทัพมันที่ถูกพ่อแท่นตัดหัว"
"ให้มันมาเถิด พวกเรานักรบจะขออาสาตายก่อนชาวค่าย"
ทัพมองขุนสรรค์ นายจันหนวดเขี้ยวและนักรบทุกคนยิ้มด้วยใจอาจหาญ ขยับตัวไปใกล้อย่างนอบน้อม แล้วเอ่ยขึ้นกับพ่อค่าย
"ข้าศึกต้องเกณฑ์ไพร่พลมามากกว่าเดิม เราคนน้อยกว่า อาวุธก็มีน้อยกว่า แต่เราจะชนะได้ถ้ารู้เส้นทางเดินทัพ และหาทางสกัดพวกมันไว้ด้วยอุบายศึก"
"แล้วเราจะรู้ได้อย่างไรว่ามันมีแผนจะยกทัพมาทางไหน" นายทองแก้วถาม ทัพตามีประกาย
ที่ค่ายอังวะปากน้ำประสบ เนเมียวสีหบดียืนอยู่อย่างไม่พอใจ จาดนั่งลงหน้าเนเมียวสีหบดี ประเมินแล้วว่าเป็นเรื่องสำคัญ ถึงถูกเรียกมาพบตามลำพัง
"บัดนี้ทัพของท่านมังมหานรธา มุ่งไปทุ่งสีกุก ประชิดกำแพงกรุงโยเดียทางทิศตะวันตกเข้าไปแล้ว แต่ทัพของข้ายังติดอยู่แค่ปากน้ำประสบ ห่างไกลกำแพงโยเดียหลายเท่าตัว เพราะเสบียงข้ามีไม่พอให้เดินหน้า มันเพราะอะไร"
"พวกชาวบ้านไทยมันแข็งข้อ ไม่ยอมให้ข้าวเราง่ายๆ และเวลานี้ค่ายบางระจันมันก็แข็งแกร่งขึ้น ชาวบ้านไทยมันจึงกล้าต้านกองทหารเรา"
"ทหารอังวะมันไร้ฝีมือรึไงถึงสู้ไม่ได้ จะปล่อยให้ไอ้พวกบ้านระจันมันรั้งทัพข้าไว้อย่างนั้นหรือ ข้าอยากจะตัดหัวพวกเอ็งทิ้งนัก ค่ายมันมีคนไม่ถึงพัน แต่กองทัพข้ามีทหารกว่าครึ่งแสน กลับหาใครไปปราบมันไม่ได้"
จาดก้มหน้านิ่ง เนเมียวสีหบดีสั่ง
"ข้ายกทัพออกจากกรุงอังวะ ไล่ตีล้านนา ล้านช้าง ได้ชัยมาตลอดแดนเหนือ เหลืออีกเพียงไม่กี่ก้าวข้าก็จะเอื้อมมือถึงกำแพงโยเดียแล้ว พวกเอ็งจะรอให้ทัพมังมหานรธามันได้กรุง โยเดียเอาไปถวายแก่พระเจ้าอยู่หัวเซงพยูเชงก่อนข้ายังงั้นหรือ ไปบอกพวกนายทัพนายกองทั้งหลายว่า ใครที่มันทลายค่ายบางระจันแหลกได้ ข้าจะแบ่งแผ่นดินโยเดียให้มันปกครองครึ่งหนึ่ง"
จาดมองเนเมียวสีหบดีด้วยสายตาที่อยากเอาชนะอโยธยาไม่แพ้กัน
สังข์ถูกทหารอังวะพาร่างสะบักสะบอมมาโยนที่กรงไม้ ในส่วนของค่ายเชลยคนไทยที่ถูกกวาดต้อนมา เชลยคนไทย ร่างกายผ่ายผอม อีกด้านเชลยผู้ชายกำลังผ่าฟืน มีทหารอังวะคุม โบยตี เจิดมองสังข์ แล้วสั่งทหาร
"ขังมันไว้กับพวกเชลย ให้ข้าวให้น้ำ ให้มันทำงานเหมือนทุกคน"
ทหารรับคำ สังข์มองภาพเชลยที่ถูกใช้งาน ถูกคุมขัง ด้วยสายตาเจ็บแค้น
ทัพกับขาบเดินมาที่ทุ่งเลี้ยงม้า อ้ายเลายืนเด่นสง่าอยู่ท่ามกลางม้าหลายตัว เขาเอาหญ้าให้อ้ายเลากิน
"กินเถอะ อ้ายเลาเพื่อนยาก ข้าจะให้เอ็งทำงานสำคัญ"
"เอ็งจะขี่อ้ายเลาไปไหน" ขาบถาม
"ข้าไม่ต้องขี่มันไปหรอก อ้ายเลามันฉลาดอย่างคน แค่ข้าบอก มันก็จำได้ว่าต้องทำยังไง"
ทัพอมยิ้ม ทุกคนมองอย่างแปลกใจ
ทหารอังวะเอาข้าวหม้อหนึ่งมาวางให้เชลย สังข์มองเห็นทุกคนที่กรูกันไปที่หม้อข้าวด้วยความหิวโหย แย่งกันเอามือจ้วงแทบจะต่อยกัน ทหารอังวะโยนเนื้อแห้งปลาแห้งลงมาให้ เชลยบางคนวิ่งไปเก็บมา สังข์สุดทน ตะโกนบอกทหาร
"กูเป็นคน จะให้ก็ให้อย่างคน ไม่ใช่ให้อย่างหมา"
ทหารหันมาเตะสังข์ เชลยไทยมองกลัว ชายชาวบ้านคนหนึ่งทนไม่ไหว เข้าขวาง
"พวกมึง ไอ้ชาติหมา กูไม่ใช่ทาสมึง"
ทหารหันมาจะเล่นงานชายชาวบ้านคนที่ห้าม สังข์พุ่งเข้ากระแทกทหารล้มไป เหตุการณ์ชุลมุนเมื่อเชลยหลายคนรุมเข้าทุบตีทหารด้วยความแค้น ทหารอังวะกลุ่มใหม่เห็นรีบวิ่งมา สังข์เห็นท่าจะสู้ไม่ไหวรีบแล้วถอยห่างออกมา ก่อนจะวิ่งออกไปจากตรงนั้นได้คนเดียว
เวลาต่อมา ทหารอังวะคนหนึ่งกำลังเดินตรวจตรา สังข์โผล่ออกมาจากพุ่มไม้ ล็อกคอทหารลากเข้าไป
ในค่ายเกียกกายอังวะ วิเศษไชยชาญ แยจออากา และกองทหารม้า ควบม้าเข้ามาอย่างอึกกระทึก เจิดกับจาด ยืนรับรวมอยู่กับทหารคนอื่นๆ แยจออากา มองจาดอย่างยะโส โยนสาส์นแต่งตั้งให้ทหารที่อยู่ใกล้ๆ ไม่ยอมลงจากหลังม้า
"ข้า แยจออากา นายทัพเรือ ท่านแม่ทัพเนเมียวสีหบดีได้มอบหมายให้ข้านำทหารไปขยี้ชาวบ้านระจัน ที่กล้าตั้งค่ายปล้นกองเสบียงอาหารของพวกเรา ข้าจะมาเอาชัยชนะไปมอบให้แก่ท่านเนเมียวสีหบดี"
จาดอ่านสาส์นที่ทหารนำมาให้ มองแยจออากาอย่างผู้มีประสบการณ์ จึงเตือน
"ข้ายินดีจะจัดกองทหารตามท่านสั่ง แต่ขอให้ท่านอย่าปรามาสฝีมือชาวบ้านไท จงรบอย่างรัดกุมอย่าชะล่าใจ ชาวบ้านระจันมันไม่ใช่กองโจรที่เราจะประมาทฝีมือได้ เราแพ้มันมาถึงสี่ครั้งแล้ว"
แยจออากาลำพองตน ระหว่างนั้นสังข์ยืนปะปนในกลุ่มยามรักษาการณ์โดยใส่ชุดทหารอังวะ
ที่สนามซ้อมยิงปืน ป่าหลังค่ายระจันขุนสรรเล็งปืนเป็นตัวอย่างให้ทุกคนดู ทัพและเพื่อนๆ ยืนฟังอย่างตั้งใจ
"อาวุธปืน คือการรบที่ไม่ต้องประชิดตัว ปืนกับฝีมือเล็งที่แม่นยำจะช่วยให้เราชนะง่ายขึ้น เอา ทุกคนพร้อม ประทับ ยิง"
ทัพซ้อมยิงปืนกับกลุ่มชายฉกรรจ์ ตามที่ขุนสรรค์สั่ง ทุกคนยิงพร้อมกัน ทัพลดปืนลงช้าๆ
"ข้าจะเล็งที่หัวนายกองอังวะทุกคน"
"ฝีมือดาบอาทมาตบนหลังม้าของพวกเอ็งก็ไม่เป็นรองใคร" นายจันหนวดเขี้ยวชื่นชม
"ปืนยังหายาก รบครั้งหน้าเราต้องยึดปืนมันให้ได้มากที่สุด" ขุนสรรบอก
"พวกเราจะฝึกซ้อมกันทุกวัน ฝึกให้ทุกคนที่นี่ด้วย" ฟักยืนยัน
"ดี แต่อาวุธจะดีแค่ไหน ก็ไม่สำคัญเท่ากับความสามัคคี จะรบก็ต้องรบให้เป็นน้ำหนึ่ง
ใจเดียวกัน" นายจันหนวดเขี้ยวสอน
"พวกอังวะมันเปลี่ยนนายกองคุมทัพมาสู้ไม่หยุดหย่อน มันคงคิดว่าเราแค่หยิบมือ จะย่ำยียังไงก็ได้" ขาบพูดด้วยความแค้น
"ตราบใดที่เรายังรักกัน สามัคคีกันรบ มันคงเอาชนะเรายาก เราต้องสามัคคีกันอย่างพ่อจันเขี้ยวบอก"
ทัพบอกด้วยแววตาเชื่อมั่น
ที่ลานซ้อมดาบ พ่อค่ายกำลังซ้อมดาบให้แฟง สไบ และหญิงชาวบ้าน เมื่อซ้อมเสร็จ แฟงกับสไบ เก็บดาบ เอาน้ำลูบเนื้อลูบตัว
"ข้าศึกมันต้องบุกมาอีกแน่ๆ เราต้องพร้อมไว้ทุกเมื่อ" แฟงบอก
"เรื่องศึก เราพร้อมรบ ไม่มีถอย ห่วงก็แต่จวง ป่านนี้ยังโศกเรื่องพี่สังข์"
"เฮ้อ ฉันก็สุดปัญญาจะขอร้องพี่ทัพแล้ว ดื้อ รั้น"
สไบอมยิ้มมองแฟง
"จริงๆ นะ สไบ พี่ทัพน่ะหัวดื้อที่สุด ฟังใครซะที่ไหน"
"ก็เหมือนแฟงนั่นแหละ"
"ฮื้อ ไม่เหมือนสิ ฉันไม่เหมือนพี่ทัพ อย่ามาหาว่าฉันเหมือนคนดื้อพรรค์นั้น ไม่เอาละ ฉันไปหาจวงดีกว่า"
แฟงเขิน เดินออกไป สไบยิ้มมองตาม ขำที่แฟงพยายามเถียงทั้งๆ ที่เป็นความจริง
จวงนั่งกอดเข่า น้ำตาซึมอยู่ที่เรือนสังข์ แฟงเดินมาหา
"จวง"
"พี่สังข์จะเป็นตายร้ายดียังไง ก็ไม่รู้ แฟง"
"ที่นี่มีจวง พี่สังข์ต้องกลับมา"
"พี่ทัพไม่ไปตามพี่สังข์ เขาตัดเพื่อนกันได้จริงๆ"
จวงส่ายหน้า ไม่อยากจะเชื่อ แฟงโอบกอดเพื่อนไว้ด้วยความเศร้าเหมือนกัน
ในเรือนพ่อค่าย ทัพ ขาบ และเพื่อนๆ นั่งวางแผนอยู่กับพ่อค่ายทั้งสิบ ท่าทางทุกคนตื่นเต้น จริงจัง
"พวกอังวะมันส่งกองทหารทัพใหม่ขึ้นมาบุกเราแล้ว" ทัพบอก
"คราวนี้มันยกกันมาเท่าไหร่" นายพันเรืองถาม
"คงไม่น้อยกว่าคราวก่อน ประมาณพันคน"
"มันจะมากี่พันกี่หมื่นคน เราก็ไม่มีวันถอย แผ่นดินนี้เป็นของเรา ข้าไม่มีวันยอมให้มันมา
ย่ำเป็นรอยง่ายๆ ดอก" นายทองแสงใหญ่ยืนยัน
"คราวนี้คงจะหนักขึ้นกว่ารบครั้งก่อนแน่ และถ้าเราชนะ มันก็จะส่งกองทหารมาเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เป็นแน่" นายจันหนวดเขี้ยวคาด
"เพื่อความไม่ประมาท ข้าเห็นว่าน่าจะให้ผู้หญิงคอยฝึกดาบไว้ อย่างน้อยก็เอาไว้ช่วยตัวเองก็ยังดี" นายโชติเสนอ
"ข้าก็เห็นพ่อทองเหม็นกับพ่อทองแสงใหญ่ได้ฝึกซ้อมดาบให้พวกผู้หญิงไว้ไม่น้อย พวกเขา
คงอยากออกรบร่วมกับพวกผู้ชายเหมือนกัน" นายทองแก้วบอก
"เวลานี้ ไม่ว่าผู้หญิงหรือผู้ชายก็ต้องสู้เอาตัวรอดกันไว้ทั้งนั้น ยามคับขันเราอาจพึ่งให้
พวกผู้หญิงเป็นกองหลังไว้ก็ดี จะได้เอาไว้หลอกขู่พวกอังวะว่าคนในค่ายของเราก็มีไม่น้อยกว่าพวกมัน" นายทองแสงใหญ่เสนอ
"เรากลับไปลับดาบไว้ให้คมเถิด อีกไม่เกินสองวันมันคงมาถึงบ้านขุนโลกแน่ เราต้องหา
ทางสกัดไม่ให้มันยกข้ามคลองสะตือมาได้โดยเด็ดขาด" นายทองเหม็นบอก
แววตาทุกคนมุ่งมั่น ทัพเป็นจุดสนใจเดียวของทุกคน เพราะกำลังบอกเรื่องสำคัญกับการรบครั้งต่อไป
เสียงกลองศึกของบ้านระจันดังก้องเป็นสัญญาณ ทัพกับขาบอยู่บนหลังม้าเป็นกองหน้า เคียงข้างขุนสรรค์กรมการและนายจันหนวดเขี้ยว พ่อค่ายคนอื่นยืนส่งอยู่กับพระธรรมโชติ ทัพนำนักรบทั้งบนหลังม้า และเหล่าชายฉกรรจ์พลเดินเท้าเตรียมพร้อม นักรบบ้านระจันทุกคนฮึกเหิม
"พวกข้านักรบชาวเมืองสิงห์ สรรค์บุรี ทั้งวิเศษไชยชาญ และสุพรรณ ที่ร่วมใจกันสู้ศึก พลีชีวิตให้แก่ชาติ รวมเรียกว่า ชาวค่ายบ้านระจัน ไทยกอดคอไทย น้ำตาหลั่ง ตายเถิด จะตายเมื่อไหร่ก็ได้ ตายแทนชาติ"
ทัพนำพูดกึกก้อง ก่อนเตรียมเคลื่อนกำลัง
"บ้านใคร ใครก็รัก เมื่อชาติอื่นภาษาอื่นมาข่มเหงจนถึงบ้าน จะให้หนีไปไหน จะให้ทิ้งเหย้าที่เคยอยู่ ทิ้งลูกเมียให้ศัตรูเข้าครองชมเชยหรือ ปู่ย่าที่กราบไหว้ทุกวัน จะให้มันข้ามกรายเหมือนทาสเยี่ยงนั้นหรือ อย่า ถึงบ้านระจันจะเหลือผู้ชายอีกเพียงคนเดียว ก็จะไม่มีวันถอย คนอย่างพวกกูจะไม่ยอมเสียชาติเกิด"
เสียงโห่ร้องของเหล่านักรบที่เดินออกมาด้วยกันตะโกนก้อง
"ชาวระจันสู้ตาย ชาวระจันสู้ตาย ชาวระจันอย่าถอย"
ประตูระเนียดค่ายเปิดออก ทุกคนโห่ร้องเสียงดังก้องไปทั้งค่าย ทัพนำขบวนทั้งหมดออกไป กองปืนขุนสรร และกองดาบพ่อจันหนวดเขี้ยวตามออกประตูไป พ่อค่ายที่เหลือยืนมองตามอย่างเป็นห่วง พระอาจารย์ธรรมโชติมองนิ่งสวดภาวนาตลอดเวลา
0000000000000000000
ที่ทุ่งกว้างริมน้ำ กองทัพแยจออากาเคลื่อนมาอย่างยิ่งใหญ่เต็มทุ่ง กำลังจะข้ามลำน้ำ กองทหารม้าทัพ และชาวระจันซุ่มอยู่ นายจันเขี้ยวกับขุนสรรและชาวระจันอีกกลุ่มซุ่มคอยเวลาอยู่เหมือนกัน นายจันเขี้ยวให้สัญญาณ
"บางระจัน รบ"
ทุกคนวิ่งกรูออกไป ทัพชูดาบสั่ง
"บางระจัน สู้ตาย"
ทัพควบม้านำกองทัพม้าระจันกรูกันออกมาจากราวป่า ตรงเข้าล้อมกองทัพอังวะให้ติดอยู่กลางน้ำ นายจันหนวดเขี้ยว ขุนสรรค์ ทัพ และกองทหารม้าอีกกลุ่ม วิ่งออกมาดักหน้าอยู่บนตลิ่งอย่างห้าวหาญ แยจออากา ยืนม้ามองอย่างทระนง ชักดาบออก
"ข่าวทัพเรารั่วให้พวกระจันรู้เสียแล้ว ทหาร ฆ่ามันให้หมด"
กองทหารอังวะวิ่งบุกเข้าหากองทัพระจันทันที กองปืนขุนสรรต่างระดมยิงเข้าสกัด ม้าอังวะหลายตัวถูกยิงล้มลงตายอยู่กลางน้ำ นายจันหนวดเขี้ยวชูดาบวิ่งกรูลงน้ำไปฟันกับอังวะ ทัพควบม้าลุยน้ำเข้าฟันอังวะอย่างไม่ปรานี
ทุ่งกว้างริมน้ำ แยกออากาปะทะกับนายจันหนวดเขี้ยว ทหารอังวะเสียทีถูกฆ่าตายลงมากมาย แยจออากาเห็นสู้ไม่ได้ชักม้าหนี ขุนสรรได้ทีวิ่งไล่ยิงจนแยจออากาตกม้าจมน้ำ นายจันเขี้ยวตามเข้าไปฟันซ้ำ ศพของแยจออากาค่อยๆ จมน้ำหายไป
ใจนอนหลับอยู่ สะดุ้งเฮือก เหงื่อแตก เสียงกลองสัญญาณตีดัง ใจเปะปะลงจากเรือนอย่างรวดเร็ว แฟง เฟื่อง จวง สไบ และหญิงชาวบ้าน พากันชะงัก
"พวกไปรบกลับมาแล้ว" เฟื่องตะโกน
ผู้หญิงทั้งหมดรีบวิ่งออกไปหน้าค่ายอย่างรวดเร็ว แฟงยืนนิ่ง จวงจะวิ่งไปหันมามอง
"ไม่ไปหรือแฟง" แฟงส่ายหน้า
"จวงไปเถอะ