บันเทิง

'บางระจัน'ตอนที่20

'บางระจัน'ตอนที่20

12 ก.พ. 2558

'บางระจัน'ตอนที่20

 
 
หลวงพ่อธรรมโชติเพ่งมองน้ำมนต์ในบาตร แฟง เฟื่อง จวง สไบ มองร้อนใจ เมื่อเห็นสีหน้าขึ้งเครียดของหลวงพ่อ 
ที่คลองสะตือ ทัพประครองพ่อแท่นขึ้น ใจวิ่งเข้ามาถึงตัวทัพ เงื้อหอกขึ้น ทัพหันมามองใจ สองสายตาประสานกัน ใจเงื้อหอกสูง ทัพมองวัดกับใจ ใจพุ่งหอกออกไป ทัพชะงัก เห็นหอกพุ่งปักทหารอังวะที่วิ่งเข้ามาอีกด้านหมายจะฟันทัพ ทหารอังวะโดนหอกล้มลงตรงหน้าทัพ ทัพมองใจ ใจตะโกน
"ทัพ ระวัง"
ทัพเอี้ยวไปเห็นทหารพุ่งเข้ามา ยกดาบปะทะ สังข์ ขาบพุ่งม้าตามเข้ามา ทัพตะโกนสั่ง
"พาพ่อแท่นออกไป"
ขาบ เอิบ ช่วง รีบควบม้าฟันปะทะพวกอังวะ ทัพประคองพ่อแท่นส่งให้ สังข์ดึงพ่อแท่นขึ้นม้า ทุกคนฟันปะทะเปิดทางให้สังข์พาร่างพ่อแท่นฝ่าวงล้อมทหารอังวะออกไป ทหารอังวะดาหน้าเข้ามา ทหารองครักษ์อุ้มร่างไร้หัวของสุรินจอข่องออกไป 
"บางระจัน รบ" 
ทัพวิ่งนำนักรบบ้านระจันตามไล่ฟัน ใจยืนตลึง ทำอะไรไม่ถูก มองศพสุรินทจอข่องที่ไร้หัวด้วยสายตาสลด  
ที่ทุ่งโล่งอีกด้าน จาดมองทหารม้าที่นำร่างสุรินทจอข่องมารายงาน
"สุรินทจอข่องเสียหัวให้กับชาวบ้านระจันกลางทัพ เพลานี้พวกมันกำลังต้อนไล่พวกเราอยู่ที่คลองสะตือ"   
"บอกพวกเราดำเนินการแผนที่สอง หลอกพวกมันให้ลงไปติดอยู่กลางคลอง"
ทหารม้าเร็วรับคำสั่งแล้วหันกลับไป จาดหันไปสั่งทหาร
"ทหาร เคลื่อนกำลังไปที่คลองสะตือ ตีกระหนาบฆ่ามันให้หมด"
จาดควบนำทหารตามออกไป   
ที่ลานโล่งริมคลองสะตือ พวกพ่อค่าย และนักรบระจัน ไล่ตีฟันกองทหารอังวะลงไปในคลอง ทัพตะลุยไล่ฆ่าทหารอังวะลงไปในน้ำโดยไม่ทันคิดอะไร พ่อค่าย นักรบทุกคนไล่ฟันทหารอังวะที่ล่าถอยอยู่ในคลองอย่างลืมตัว   
ทัพกับพ่อค่ายวิ่งไล่ต้อนทหารอังวะมาจนถึงกลางคลอง ทหารอังวะทำเป็นถอยร่นวิ่งข้ามคลองไปอีกด้าน เข้าไปหลังแนวพุ่มไม้ใหญ่ พ่อค่ายและนักรบ ยืนไชโยโห่ร้องด้วยความดีใจกันอยู่กลางแม่น้ำ นึกว่าพวกอังวะวิ่งหนี นายทองเหม็นยังฮึกเหิมอยู่
"เอาชัยชนะให้ขาด ตามมันไป"
ทัพ ขาบ กับนายทองแสงใหญ่ มองหน้ากัน สังหรณ์ใจ 
"อย่าเพิ่งตาม"
ทุกคนชะงักหันมามองพ่อทองแสงใหญ่ นายทองแสงใหญ่มองบรรยากาศรอบๆ ที่ทหารอังวะหายเข้าไปในแนวพุ่มไม้เงียบกริบ 
"พวกเราเสียรู้มัน" 
ขาบร้องบอก สักครู่เสียงฝีเท้าม้าควบดังขึ้น จาดควบม้านำกองทหารมาหยุดล้อมเต็มพรืดตลอดแนวฝั่งคลอง พวกทัพยืนมองเลิ่กลั่ก ทหารอังวะที่วิ่งหนีเข้าป่าวิ่งกลับออกมาจากทุกทิศทุกทาง ล้อมรอบกลุ่มนักรบบ้านระจันที่อยู่กลางคลอง  
"พวกมันล่อเรามาจนมุมที่นี่" ทัพร้องบอก
สังข์ควบม้าพาร่างนายแท่นกลับมาที่ค่าย  
"พ่อแท่นถูกยิง"  
นายจันรีบเข้าไปอุ้มร่างนายแท่นลงมาวาง นายแท่นหน้าซีดขาว เพราะเสียเลือดมาก ที่เข่าขวาแผลเปิดเพราะรอยกระสุนทะลุ เลือดทะลักไม่หยุด นายพันเรืองสั่งให้พาพ่อแท่นไปให้หลวงพ่อธรรมโชติดู สังข์รีบรายงานพ่อค่ายทุกคน
"พวกเรากำลังปะทะอยู่ที่คลองสะตือ คราวนี้มันยกกำลังมามากกว่าที่เราคิดนัก"       
พ่อค่ายทุกคนเครียด กังวล 
ที่กลางคลองสะตือ ทัพ ขาบ พ่อค่าย และนักรบทุกคนมองไปรอบๆ ทหารอังวะกำลังล้อมรอบ ทัพและทุกคนกำดาบเตรียมพร้อม จาดมองนักรบบางระจันอย่างเกลียดชัง ตะโกนสั่ง
"ฆ่ามันให้หมด"
ทหารอังวะวิ่งกรูลงคลองเข้าหากลุ่มนักรบระจัน ทัพ ขาบ นักรบทุกคนพุ่งเข้าหา ฟันกับทหารอังวะอย่างไม่กลัวตาย ใจวิ่งเข้ามา จาดเห็นพอดี หันไปสั่งทหาร
"ไปเอาตัวอองนายมันมาให้ข้า"
ทหารรีบพุ่งออกไป ใจกำดาบแน่น มองไปเห็นจาดไกลๆ ทหารอังวะหลายคนบนหลังม้าประทับปืน แล้วเล็งยิงไปที่แม่น้ำ กระสุนเจาะร่างนักรบบ้านระจันและทหารอังวะไม่เลือก หลายคนล้มตาย ทัพกับพวกยังฟันทหารอังวะท่ามกลางห่ากระสุน ทหารอังวะเข้ามาจับแขนใจ
"จอกยีโบให้มานำตัวท่านออกไป" 
ใจถูกลากออกไป แต่สายตายังมองทัพกับพวกรบกัน เขานึกถึงสไบ ใจรู้สึกกดดันมาก ตัดสินใจถีบทหาร แล้ววิ่งลงคลองไปสู้กับอังวะ จาดมองไม่พอใจ 
"อองนาย มึงทรยศกู มึงเห็นแก่พวกโยเดีย"
ทัพเห็นใจเข้ามาร่วม ทหารอังวะฟันใจ แต่ใจหลบว่องไว ถีบเตะทหารอังวะล้มลง ใจมาถึงตัวทัพ กับขาบ
"อย่ามัวปะทะ ตีฝ่าออกไปให้ได้"   
ทัพมองใจด้วยความเชื่อใจเมื่อเห็นใจตะลุยเข้ามา จาดโมโห ดึงปืนจากมือทหารที่อยู่ใกล้ ยกขึ้นเล็ง ไปที่ใจ ทัพหันหลังชนกับใจ สู้ทหารอังวะที่กำลังเข้ามา ทัพฟัน จาดเหนี่ยวไก กระสุนเฉียดหน้าใจ ใจหันไปมอง เห็นจาดถือปืน ใจสลด
จาดคว้าปืนอีกกระบอกจากทหาร เล็งปืน ยิงซ้ำ ทัพผลักใจกระเด็น ไหล่สะบัดเพราะโดนกระสุนเอง
"พี่ทัพ" 
ใจหันกลับมา จาดเหนี่ยวอีกนัด กระสุนเจาะเข้ากลางอกใจ ใจกระดอนล้มลง หัวกระแทกลงที่แง่งหิน ทัพวิ่งเข้ามาประคอง เลือดทะลักออกจากอกและหน้าผากใจ
ที่วิหารหลวงพ่อธรรมโชติ นายแท่นนอนหน้าซีด หลวงพ่อธรรมโชติท่องคาถาแล้วโปะสมุนไพรบดละเอียดลงบนแผลที่เข่า นายแท่นสะดุ้งเฮือก พึมพำ ครางไม่ได้ศัพท์ ขุนสรรค์มองด้วยความหนักใจ
"ไม่มีพ่อแท่นเป็นผู้นำสั่งการเสียคน ทัพบ้านระจันเราจะเป็นอย่างไรบ้าง"
พ่อค่ายและชาวบ้าน กลุ่มผู้หญิง พากันมองด้วยความวิตก
ที่กลางน้ำคลองสะตือ ทัพช้อนหัวใจขึ้นมา ใจเริ่มไม่ได้สติ
"แข็งใจไว้ไอ้ใจ เอ็งโดนกระสุนเพราะช่วยข้า"
ใจอ่อนแรง แววตาเลื่อนลอย จาดมองด้วยแววตาโมโห 
พ่อแท่นเริ่มจับไข้ หลวงพ่อธรรมโชติพนมมือ ท่องคาถา แล้วกดผ้ายันต์ลงเหนือยาสมุนไพร นายพันเรืองกับพ่อค่ายทุกคนสีหน้าไม่ดี ขุนสรรค์กรมการหันไปมองทางหน้าต่างโบสถ์ก่อนพูดขึ้น
"พันเรือง ให้ฉันออกไปช่วยพวกเราเถอะ นี่มันก็บ่ายคล้อย ตะวันเลยหัวแล้ว พวกเรายังไม่กลับกันมา เห็นทีศึกนี้พวกเราจะหนักอยู่"
"ฉันไปด้วยพ่อขุนสรรค์" นายจันทร์หนวดเขี้ยวอาสา
"ฉันละ" นายทองแก้วถาม
"ใช่ ฉันก็อยากออกไปช่วยพวกเราเหมือนกัน" นายดอกไม้อาสาเช่นกัน
"พี่ทองแก้วกับพี่ดอกไม้อยู่รักษาค่ายกับพ่อพันเรืองเถอะ ไปกันหมดใครจะอยู่รักษาค่าย  หากอังวะมันวางแผนซ้อนมาตีค่ายเราเราจะเสียที พ่อแม่พี่น้องเราในค่ายนี้ก็มากโขอยู่" นายจันหนวดเขี้ยวท้วง พันเรืองคิด แล้วพยักหน้า
"รีบไปเถิด ขุนสรรค์ พ่อจันหนวดเขี้ยว ข้าฝากบัญชาการรบแทนพ่อแท่นด้วย"
ขุนสรรค์กระชับปืน ลุกขึ้นพร้อมจันหนวดเขี้ยว แฟงมองแล้วลุกพรวดขึ้นทันที
"ให้ฉันไปด้วย" สังข์มองตกใจ  
"เอ็งว่าอะไรออกมา นังคนนี้ ก็เห็นอยู่ว่าตัวเป็นผู้หญิง"
"เป็นผู้หญิง สองมือก็กำดาบฟันไอ้พวกอังวะตายได้เหมือนกัน"  
แฟงแววตามุ่งมั่น เฟื่อง สไบ จวง และชาวบ้านหญิงอีก 4- 5 คนลุกขึ้นทันที
"ฉันก็จะไปด้วย ฉันจะไปล้างแค้นให้พี่ดอกรัก"
"ฉันจะไปกับน้อง ผัวฉันก็อยู่ที่กลางศึก" เฟื่องบอก  
สังข์กับพ่อค่ายทุกคนมองแววตาของผู้หญิงทุกคน
"ข้าศึกมันเข้ามาย่ำยีพี่น้องเรามากมายเหลือจะนับ มันเผามันฆ่า พรากแม่พรากลูก  ซากศพก่ายกอง ฉันเคยช่วยพ่อแท่นฆ่าพวกอังวะมาแล้ว อย่าห่วงฉันเลย" แฟงอธิบาย
"ขอให้หญิงระจันได้รบให้หายแค้น ได้ทำหน้าที่เยี่ยงหญิงรักพ่อรักแม่ รักลูกรักผัวด้วยเถอะ" สไบขอร้อง
"ฉันจะปลื้มใจนัก ถ้าจักได้ตายเคียงข้างผัวที่เป็นทหารกล้า ได้เอาชีวิตแลกเพื่อแผ่นดินเกิด" เฟื่องย้ำหนักแน่น  
ขาบหันมามองจวง กลัวจวงจะไปด้วย จวงมองสังข์อย่างขอร้อง
"อย่าห้ามฉันเลยพี่สังข์ อย่าให้ฉันนั่งตัวสั่นอยู่แต่ในเรือนยามพี่ไปรบเลย ฉันขออยู่ข้างพี่  ไม่ว่าที่นั่นมันจะเป็นสวรรค์หรือนรก"
สังข์มองจวงอย่างซาบซึ้ง  
แฟง เฟื่อง สไบ จวง กับกลุ่มชาวบ้านหญิง เปลี่ยนจากสไบห่มตัว มารัดอกเป็นตะเบงมาน รับดาบจาก ขาบ นายพันเรือง ขุนสรรค์ นายจันหนวดเขี้ยว ด้วยความแน่วแน่ แล้วเดินมารวมกับนักรบชายที่รออยู่เต็มลาน
แฟงรับดาบมาแล้วเอาดาบตัดผมที่ยาวสรวยออกทันที ทุกคนตกใจ แฟงใบหน้าเด็ดเดี่ยว
"ต่อแต่นี้ไป ผู้หญิงอย่างฉันจะขอสู้ตายเคียงข้างผู้ชายระจันทุกคน"
นักรบทุกคนมองแฟงอย่างชื่นชม เกิดความกล้ามากขึ้น ชูดาบโห่ร้องอย่างฮึกเหิม  
ที่คลองสะตือ นักรบบ้านระจันเหนื่อยล้า ล้มลงตาย ทหารอังวะบีบกระหนาบเข้ามาเรื่อยๆ  ทัพ ฟัก ขาบพุ่งออกไปตะลุยฟัน ใจบาดเจ็บ อ่อนแรง หายใจรวยริน 
หลวงพ่อธรรมโชติหลับตาพนมมือ ท่องคาถาเพื่อช่วยนายแท่น นายพันเรือง นายดอกไม้ นายทองแก้ว เดินเข้ามามองด้วยสายตากังวล
ทหารอังวะล้อมนักรบบ้านระจันเข้าไปใกล้ทุกที ทัพกับพวกกำดาบแน่น ฟันจนจะหมดแรง เสียงปืนดังขึ้น นายกองที่อยู่ข้างจาด ถูกกระสุนเจาะหน้าผากล้มลงตายตกหลังม้า จาดมองไป เห็นขุนสรรค์ และกองปืน ประทับปืนยิงมา นักรบบ้านระจันได้ที พากันกรูเข้ามาฟันทหารอังวะแตกกระเจิง
"พ่อขุนสรรค์กับพ่อจันหนวดเขี้ยวมาแล้ว"
ทัพตะโกน ทุกคนมีกำลังใจขึ้น ขุนสรรค์ยิงปืนไปที่นายกองอังวะ โดนนายกองไปอีก 2 คน จาดนึกกลัว ดึงม้าที่กำลังตื่น
ขุนสรรค์หยิบปืนกระบอกใหม่ขึ้นมาเหนี่ยวทีเดียวสองกระบอก กระสุนโดนนายกองคนที่ 3 ที่ 4 ข้างจาดล้มลง แล้วเล็งไปที่จาด จาดก้มหลบกระสุนเฉียดหู ดึงม้าหันหลังหนีไปจากตรงนั้น 
ทหารอังวะเริ่มเสียขบวน เมื่อเห็นนายกองล้มตาย ก็พากันวิ่งหนีไปขึ้นตลิ่งฝั่งใต้ พวกนักรบระจันไล่ฟันไม่เลือก ขุนสรรค์ยิงไล่หลังทหารที่กำลังแตกกระเจิงขึ้นตลิ่ง ทัพถอยมาที่ใจ มองใจที่หายใจช้าลง 
นายจันหนวดเขี้ยว สังข์ นำกลุ่มระจันอีกกลุ่มหนึ่ง มีผู้หญิง แฟง เฟื่อง สไบ จวง โผล่ออกมาไล่ฟัน ทหารอังวะพอเห็นเป็นหญิงถือดาบก็ย่ามใจ พากันย่างเข้าหา แฟงกำดาบแน่น
"วันนี้พวกมึงจะไม่มีวันได้หายใจบนแผ่นดินกู"  
ทหารอังวะพุ่งเข้ามา นักรบหญิงกำดาบ แฟงฟันไปไม่ยั้ง เฟื่อง สไบ ทุกคนที่กำดาบ สู้ไม่ถอย สังข์กับจวงพากันพุ่งเข้าฟันอย่างรู้ใจกัน 
 
00000000000000000000000
 
แฟงยืนอยู่บนตลิ่งฝั่งใต้หันกลับมาชูดาบให้พวกในคลอง
"พวกมันหนีไปหมดแล้ว"
พอรู้ว่าชนะ ทุกคนต่างเฮด้วยความดีใจ ทัพพยุงใจขึ้น ไม่ทันเห็นว่าเป็นแฟง พวกระจันโห่ร้องดีใจ พ่อโชติยืนเหนื่อยอ่อน นักรบบ้านระจันที่เหลือช่วยกันดูแลคนที่บาดเจ็บ เฟื่องวิ่งมาหาขาบ
"พี่ขาบ"
ขาบหันกลับมา เฟื่องวิ่งเข้ามากอดเต็มรัก ร้องไห้
"พี่ไม่เป็นอะไรนะ พี่ไม่เป็นอะไรใช่มั้ย"
สังข์หันไปมองหาจวง ทั้งคู่กอดกันอย่างดีใจ
"จวง ข้าเป็นห่วงเอ็งแทบตาย"
สไบเห็นใจอยู่กับทัพ รีบวิ่งไปกอดใจด้วยความตกใจ
"พี่ใจ พี่ใจเป็นอะไรทัพ พี่ใจเป็นอะไร"
"ไอ้ใจมันโดนยิง เราต้องรีบพาไอ้ใจกลับค่ายไปรักษา"
ทัพกับสไบช่วยกันพยุงใจขึ้นตลิ่ง นายทองเหม็นก้มลงปิดตาศพนักรบที่ถูกฟัน นอนตาย
"ไปสู่สุขคติเถอะเพื่อน ไม่ต้องห่วงพวกกู พวกกูที่อยู่ข้างหลังจะเอาเลือดเอาเนื้อ รักษาปกป้องแผ่นดินต่อจากพวกเอ็งไว้ให้ได้" 
ทุกคนมองสลดใจกับศพของเพื่อนนักรบที่จากไปด้วยความเสียสละ 
ขาบพาเฟื่องเมียรักมาหามุมพักเหนื่อยด้วยความเป็นห่วง ตรวจตราเช็ดตัวให้
"เฟื่องนี่ทำกล้า ออกมาทำไม มันอันตรายมาก ถ้าเป็นอะไรไปพี่จะทำยังไง"
"ก็แล้วถ้าพี่เป็นอะไรไป ฉันจะทำยังไง ต่อไปฉันจะรบกับพี่ทุกศึก"
"พูดไปเรื่อย พี่ออกมาสู้กับพวกมันเพราะอยากให้เฟื่องได้อยู่ดีมีสุขนะ"
สังข์กับจวง ยืนถือดาบเปื้อนเลือดมองนักรบชายและหญิงที่กำลังช่วยกันพยาบาลนักรบอื่นๆ ที่เจ็บอยู่ จวงหายใจแรง กำดาบในมือแน่น     
"พี่สังข์ ฉันฆ่ามันได้ ฉันฆ่าพวกอังวะมันตายไปตั้งหลายศพ"
"จวง เอ็งเป็นยอดหญิง เอ็งเก่งเหลือเกิน"
จวงทิ้งดาบลง โผเข้ากอดสังข์ สังข์โอบกอดเมียรักไว้ ปลื้มปิติ
พวกพ่อค่ายและชาวบ้าน ออกมารับนักรบชายหญิง ที่เพิ่งกลับจากรบ แฟงมองหาทัพ หันมาถามพ่อดอกไม้ที่กำลังพยาบาลคนเจ็บอยู่
"พี่ทัพละพ่อดอกไม้ อยู่ไหน"
"มันไปช่วยแม่สไบดูแลไอ้ใจอยู่ที่เรือนไอ้ใจนะ"  
"ฉันไปดูพี่สไบก่อนนะ"
แฟงบอกฟัก แล้ววิ่งออกไป
ทัพกับเคลิ้ม เอิบ ช่วง ช่วยกันแบกเปลหามร่างใจวางลง สไบตามมาร้องไห้อยู่ใกล้ๆ
"ข้าจะไปขอยาหลวงพ่อมาห้ามเลือดให้มันก่อน"
เคลิ้มวิ่งลงจากเรือน ทัพหันมาเห็นแฟง เนื้อตัวยังมีคราบเลือด มองอย่างชื่นชม   
"ใจมันถูกยิงเพราะช่วยพี่" 
"ฉันจะไปต้มน้ำร้อนมาให้นะ" เอิบบอก
"ข้าไปด้วย ข้าได้ยินว่าค่ายใหญ่มีว่านหยุดเลือด จะขอแบ่งมาให้"
เอิบ ช่วง รีบออกไป ทัพลงมายืนใกล้ๆ แฟง    
"ไอ้ใจมันช่วยรบกับพวกเรา"
"แสดงว่าพี่ใจไม่ใช่สายของพวกอังวะ"
สไบกอดใจไว้ในอก   
"พี่ใจ อดทนนะ พี่ อย่าทิ้งฉันไป"  
ทัพดึงดาบมาจากแฟง หัวใจพองโต  
"แฟง เอ็งออกไปรบ เอ็งไม่กลัวเลยหรือ"  
"ฉันไม่กลัวตาย อย่างเดียวที่ฉันกลัวคือ ถ้าไม่ตายต้องตกไปเป็นขี้ข้าพวกอังวะ"   
ทัพมองแฟงด้วยสายตาปลาบปลื้มในความกล้าหาญ สองคนยิ้มให้กันแล้วหันไปมองสไบที่กอดใจไว้ด้วยสายตาเป็นห่วง
พ่อแท่นนอนหมดสติอยู่ พันเรืองและพ่อค่ายทั้งหมดมองอาการพ่อแท่นด้วยสายตาเป็นห่วง
"หลวงพ่อธรรมโชติท่านให้ยาสมานแผลแล้ว กระสุนมันเข้าที่เข่า ยังเอาออกไม่ได้ กลัวพ่อแท่นจะไม่ไหว รอให้ฟื้นตัวมากกว่านี้ ค่อยผ่าเอาออกมา"
พันเรืองบอก ทุกคนสีหน้าไม่ดีเมื่อรู้อาการของพ่อแท่น
"วันนี้ถ้าขุนสรรค์กับพ่อจันหนวดเขี้ยวไม่ตามไป เห็นทีพวกเราคงได้เป็นผีเฝ้าคลองสะตือกันหมด" นายทองแสงใหญ่พูดขึ้น
"เราฆ่าพวกอังวะตายเป็นเบือ เหลือกลับค่ายไม่ถึงร้อย คงทำให้พวกมันแค้นใจ ยกทัพมาตีค่ายเราอีกแน่" ขุนสรรค์บอก
"ให้มันมา ข้าจะขอย่ำลงบนหน้าไอ้นายทัพมันให้สะใจ วันนี้ไอ้นายทัพมันถูกพ่อแท่นตัดหัวขาดทีเดียว" นายทองเหม็นฮึกเหิม
"แต่รบครั้งหน้า พ่อแท่นคงนำทัพออกรบไม่ได้"  
พันเรืองมองไปที่ขุนสรรค์กับนายจัน
"พวกพ่อจะเห็นประการใด ถ้าฉันจะให้ขุนสรรค์กับพ่อจันเขี้ยวเป็นคนนำรบ แทนพ่อแท่นที่เจ็บอยู่"
"ข้าเห็นด้วย ขุนสรรค์ยิงปืนแม่น ข้าศึกพากันล้มตายไปมาก ส่วนพ่อจันฝีมือดาบก็ดุดันดี"
นายทองแสงใหญ่เห็นด้วย พ่อค่ายคนอื่นๆ พยักหน้า พันเรืองมองขุนสรรค์
"ขุนสรรค์ ศึกนี้เราได้ปืนไฟพวกอังวะเพิ่มมา ฉันขอให้เป็นธุระหัดคนของเรายิงปืนเพิ่ม จัดเป็นกองปืนไฟขึ้นมาเลยนะ"  
"ได้ซิพันเรือง ฉันจะหัดให้เก่ง ไว้ยิงหัวพวกมันให้เละไปเลย"
"พ่อจัน เลือกหมู่ของพ่อที่ชอบใจฝีมือกันมาเป็นกองหน้า หัดดาบเสียให้เชี่ยวชาญ ฉันสังหรณ์ใจนัก ศึกหน้าคงใกล้เข้ามา ชะรอยจะไม่กี่วัน พวกอังวะคงมาท้าทายถึงหน้าค่ายเราแน่"   
ทุกคนมองด้วยสายตาเคร่งเครียด เห็นจริงอย่างที่พันเรืองพูด 
ในค่ายปากน้ำพระประสบ ทุกคนหมอบต่อหน้าเนเมียวสีหบดีที่มองด้วยความโกรธ ถามขึ้นด้วยเสียงกังวานดัง
"สุรินทจอข่องถูกพวกบางระจันตัดหัวกลางสนามรบ ทหารของข้านับพันถูกพวกชาวบ้านไล่ฆ่ายิ่งกว่าผักปลา ทหารของข้ามันไร้ฝีมือหมดสิ้น หากมังมหานรธา แม่ทัพค่ายสีกุกรู้ มันคงเยาะเย้ยหยามหยันข้าไปถึงพระเจ้ามังระอังวะเป็นแน่ ไอ้พวกบางระจันมันแค่ชาวบ้านแค่นั้นไม่ใช่หรือจอกยีโบ"
เนเมียวสีหบดีจ้องหน้าจาด แววตากระด้าง คิดแต่เรื่องชัยชนะ
"แค่ชาวบ้านเรายังสู้ไม่ได้ แล้วอย่างนี้ข้าจะพาทหารบุกเข้ากรุงโยเดียได้อย่างไร แสงเพลิงที่จะเผากรุงโยเดียให้เหลือแต่เถ้าถ่าน มันต้องถูกจุดขึ้นจากมือของข้า ไม่ใช่มังมหานราแม่ทัพใต้"    
เนเมียวสีหบดีประกาศชัดเจน จาดตัดสินใจเอ่ยขึ้น
"คนของข้าพเจ้าที่แฝงตัวอยู่ในหมู่ชาวบางระจัน เคยบอกว่าที่พวกมันกล้าบ้าบิ่นได้เพราะเจ็บแค้นที่ถูกพวกเราบุกปล้น ยึดเสบียง เผาหมู่บ้านพวกมัน"
"หมายความว่าเราไม่ต้องไปเผาบ้านบังคับเอาเสบียง เพราะกลัวมันจะสู้เราอย่างนั้นใช่มั้ย"
"ข้าพเจ้าเพียงแต่อยากจะแจ้งท่านแม่ทัพว่า แผนของพวกมันไม่ได้ลึกซึ้งอันใด แต่เป็นเพราะสายสืบข้าพเจ้ามันทรยศ" 
"จอกยีโบ สุดท้ายท่านก็สารภาพเอง"
"ข้าได้สำเร็จโทษมันไปแล้ว ข้ายิงมันกับมือข้าเอง ไม่พ้นคืนนี้ มันต้องตาย"
จาดพูดออกมาด้วยเสียงเรียบนิ่ง ไร้ความไยดี
ใจรู้สึกตัว ค่อยๆ ลืมตาขึ้น สไบนั่งอยู่ใกล้เป็นคนแรก เรียกขึ้น
"พี่ใจ"
ทัพ เฟื่อง ขาบ สังข์  มองอยู่ด้วยสายตาเป็นห่วง ใจย้อนนึก
"ฉันถูกยิง" ใจนึกได้ว่าจาดเป็นคนยิง ก็หลับตาลง ตัวสั่นสะท้าน   
"พี่ใจ พี่ไม่เป็นอะไรแล้ว กระสุนทะลุออกไป ไม่ถูกที่สำคัญ"
ใจเอื้อมมือไปข้างหน้า ทุกคนมอง "สไบ สไบอยู่ไหน"
"พี่ใจ"
"ใจ สไบก็อยู่ข้างเอ็ง" ขาบบอก
มือใจคว้าในอากาศ เปะปะหาร่างสไบ ทุกคนมองกันตกใจที่ใจเหมือนมองไม่เห็นสไบ ใจพยายามลุกขึ้น สไบโอบไว้ สายตาใจมองไปข้างหน้า ทุกคนมองใจ
"พี่ใจมองไม่เห็นสไบ ไม่เห็นพวกเราเหรอจ๊ะ" เฟื่องถาม
ใจหน้าถอดสี ทัพย้อนนึกตอนเห็นใจล้มลง 
"หัวไอ้ใจ มันกระแทกหิน"
"สไบ พี่มองไม่เห็นอะไรเลย" สไบใจหายวาบ กอดใจไว้ 
"ไม่เป็นไรนะ พี่ใจ ไม่เป็นไร เดี๋ยวพี่ก็มองเห็น ฉันอยู่ตรงนี้ อยู่กับพี่แล้วจ้ะ"
"ไม่จริง ฉันต้องมองเห็น ทำไม ทำไมฉันมองไม่เห็นอะไร มันมืด มันมืดไปหมด"
"พี่ใจ ฉันไม่ทิ้งพี่ไปไหน ฉันจะอยู่กับพี่ พี่ใจ พี่ต้องมองเห็นฉัน" 
ใจกดดันกับสภาพพลิกผันของตัวเองแค่ชั่ววูบ ทัพมองใจนิ่ง เหมือนกำลังคิดวางแผนอะไรอยู่  
ที่ลานบ้านฟัก พวกทัพยืนด้วยความกังวล
"ไอ้ใจมันตาบอดเพราะช่วยข้า"
"เอ็งอย่าลงโทษตัวเองอย่างนั้น มันเป็นเวรกรรมของไอ้ใจเอง" ขาบท้วง 
"เวรกรรมอะไรของพี่ใจ" เฟื่องถาม
"มันเคยสาบาน กินน้ำมนต์หลวงพ่อธรรมโชติไง" สังข์บอก
"แต่พี่ใจไม่ใช่สายลับอังวะ" แฟงติง  
"มันอาจจะทำเป็นช่วยเรา หลอกเราอีกก็ได้" สังข์แย้ง 
"พอเถอะ ไอ้สังข์ ไอ้ใจมันไม่จำเป็นต้องเสียสละตัวเอง เพื่อหลอกใครอีก วันนี้ข้าเห็นกับตา มันช่วยข้า"
"ไอ้ทัพ ทำไมมึงไม่เชื่อกู ไอ้ใจมันมีพิรุธมาตั้งแต่ต้น หัวนอนปลายตีนมันก็ไม่มี พวกมันเข้ามาฆ่าไอ้ดอกรักถึงในค่าย นี่แหละกรรมสนองมัน มันอยากสาบาน ท้าทายความศักดิ์สิทธิ์ของน้ำมนต์หลวงพ่อธรรมโชติ คนดีอย่างมึง เที่ยวให้โอกาสคนอื่น ระวังภัยจะมาถึงไม่รู้ตัว"
"ถ้ากูไม่ให้โอกาสคน มึงคงไม่ได้มายืนที่นี่เหมือนวันนี้"
ทุกคนตกใจที่ทัพกับสังข์ทะเลาะกันอย่างรุนแรง
"เออ กูมันเพื่อนเลว แต่คนเลวอย่างกูขอเตือนมึงครั้งสุดท้าย ไอ้ใจมันคือไส้ศึกอังวะ มันกำลังตลบแตลง หลอกพวกเรา ครั้งนี้มันยอมเจ็บตัว แต่ครั้งหน้ามันจะเปิดประตูให้พวกมันมาฆ่าเราทั้งค่าย เพราะความไว้ใจของมึง"
ทัพชกเข้าหน้าสังข์ สังข์กระเด็นลงไปกอง ขาบรีบเข้าไปดึงทัพ ฟักกับเคลิ้มพากันกันทัพออกจากสังข์
"อย่าพูดว่าไอ้ใจมันเป็นคนทรยศให้กูได้ยินอีก"
"เชิญมึงเทิดทูนไอ้ใจ วันหนึ่งที่มึงกำลังจะตายด้วยคมดาบมันเมื่อไหร่ อย่ามานึกถึงคำพูดกูวันนี้" 
สังข์ถุยเลือดแล้วเดินออกไปท่ามกลางสายตาทุกคน จวงมองอึดอัด แล้ววิ่งตามสังข์ไป ทุกคนค่อยหลบออกจากวงไป เหลือแค่แฟง เฟื่อง ขาบ
"อย่าถือโทษไอ้สังข์มันเลยว่ะ ไอ้สังข์มันไม่ชอบหน้าไอ้ใจ" ขาบบอก
"ข้าบอกแล้วว่าที่นี่ต้องมีแต่น้ำหนึ่งใจเดียว อย่าให้ข้าได้ยินว่ามีคนสงสัยคนที่ยอมตายเพื่อช่วยข้าอย่างไอ้ใจอีก"
ทัพเอ่ยขึ้น ทุกคนฟังแล้วไม่สบายใจที่ทัพกับสังข์ทะเลาะกันเพราะเรื่องใจ
ใจนั่งนิ่งอยู่ที่เรือนเหมือนถูกสาป สไบอยู่ใกล้ มองทั้งรักทั้งเป็นห่วง เลื่อนมือไปกุมมือใจ ใจนึกถึงตอนที่กินน้ำมนต์หลวงพ่อธรรมโชติ ลุกพรวดทำใจไมได้ ลุกขึ้นเปะปะชนเข้ากับเสา สไบรีบรวบตัวใจไว้ ใจไม่ยอม ดิ้นรน
"ปล่อยพี่ สไบ"   
"พี่ใจจะไปไหน"
ใจสะบัดแรง สไบล้มลง ร้องดัง ใจหันมองเปะปะตามเสียง
"สไบ พี่ขอโทษ"  
ใจพยายามจะควานหาร่างสไบ แต่ก็ชนเข้ากับเสา จนล้มลงไป สไบรีบคลานมากอดใจไว้
"ฉันไม่ให้พี่ไปไหน พี่ต้องอยู่กับฉัน"
"พี่ตาบอด สไบ พี่มองไม่เห็นอะไรเลย ชีวิตพี่จะเหลืออะไร"  
"พี่มีฉันไงจ๊ะ พี่ใจ ฉันจะเป็นตาให้พี่"
"อย่าอยู่กับพี่อีก ไป ไปให้พ้น"
"ไม่ ฉันไม่ไป ไม่ว่าพี่จะตาบอด จะเป็นอะไร ฉันก็ยังรักพี่" 
สไบกอดแน่น ใจน้ำตาคลอเมื่อได้ยินสไบ
"พี่ใจ ฉันรักพี่ ฉันไม่มีวันทิ้งพี่ ความรักของฉันไม่มีวันยกให้คนอื่น ชีวิตฉัน หัวใจฉันเป็นของพี่ ไม่ว่าจะทุกข์จะสุข เราจะไม่ทิ้งกัน"  
ใจสะอื้นออกมา เจ็บเพราะความรักความเชื่อมั่นที่สไบมีให้
"สไบ พี่ไม่ใช่คนดี"
"ไม่ว่าพี่จะเป็นใคร พี่คือพี่ใจคนดีของสไบ" 
สไบจูบลงที่แก้มใจ โอบกระชับให้ความรักและกำลังใจ 
"สไบ ยกโทษให้พี่ด้วย อย่าทิ้งพี่ไปเลย" สไบยิ่งกอดชายหนุ่มไว้แน่น 
 
00000000000000
 
ที่ทุ่งเลี้ยงม้า ทัพมองไปไกล แฟงยืนอยู่ด้านหลัง 
"สงสารสไบ สงสารพี่ใจเหลือเกิน"
"พี่จะหาทางช่วยไอ้ใจ มันต้องกลับมามองเห็น" 
ทัพกำมือเกร็ง แฟงเดินเข้ามาใกล้
"เราจะช่วยกันนะจ๊ะ ช่วยให้พี่ใจกลับมาเหมือนเดิม"
ทัพมองแฟงซึ่งยิ้มให้กำลังใจแล้วเอ่ยถามเสียงนุ่มนวล
"แฟง พี่เคยบอกแฟงใช่มั้ยว่ากลับจากศึกครานี้ พี่มีเรื่องจะถาม"  
แฟงกลั้นใจมองด้วยความตื่นเต้น
"แฟงยังชังน้ำหน้าพี่อยู่มั้ย"
แฟงมองทัพเห็นสายตาวิบวับของชายหนุ่ม ก็ไม่กล้าตอบ   
"แฟงเห็นพี่พอเป็นที่พึ่งพิงให้แก่ชีวิตของแฟงได้มั้ย"  
"ฉัน" ทัพดึงมือแฟงมากุมไว้อย่างแผ่วเบา
"ถ้าแฟงยังข้องใจเรื่องเฟื่อง พี่ขอบอกตรงนี้ด้วยคำสัตย์ พี่กับเฟื่องเหลือเยื่อใยกันแค่ความเป็นพี่เป็นน้อง"
แฟงแววตาวาบขึ้นด้วยความยินดีที่ทัพพูดออกมาให้หายข้องใจ
"บัดนี้ใจของพี่มีผู้หญิงคนหนึ่งเป็นเจ้าของอยู่ ผู้หญิงคนนั้นหัวใจกล้าหาญ เด็ดเดี่ยวเกินผู้หญิงอื่น แต่ไม่ใช่ความกล้าหาญนั้นหรอกที่ทำให้พี่เฝ้าคิดถึงหน้านั้นทุกวันทุกคืน ปากคำมันช่างยอกย้อน กับรอยยิ้มจริงใจของมันต่างหาก ที่ทำให้พี่ไม่อยากห่างไปไหน"
แฟงหลบตาด้วยความอาย ทัพมองยิ้มชื่นใจ
"แฟงเอ๋ย ตอบพี่ให้ชื่นใจเถิด เอ็งคิดอย่างไรกับพี่ บอกพี่เถิด คนดี"
แฟงมองสบตาทัพที่อยู่แค่คืบตรงหน้า
"ฉันจะมีคำใดตอบได้ พี่ทัพ นอกเสียจากว่า ฉันก็ไม่ได้ชังน้ำหน้าพี่"
"ไม่ชังแล้วรักมั้ย"
"พี่ทัพ" ทัพรวบตัวแฟงมากอดไว้
"หากไม่ตอบว่ารักพี่คนนี้ พี่จะกอดไว้อย่างนี้จนเช้า"
"ปล่อยเถอะ เดี๋ยวคนมาเห็น"
"พี่ก็จะยิ่งกอดให้แน่น" แฟงอาย ทัพก้มลงถามใกล้หู
"บอกให้ชื่นใจทีเถิด รักพี่ทัพคนนี้มากแค่ไหน" แฟงมองสบตาทัพอายๆ
"อยากเห็น อยากอยู่ใกล้ อยากดูแล อยากมีแต่รอยยิ้มให้พี่หายเหนื่อย อย่างนี้เรียกว่ารักมั้ย"
ทัพดึงแฟงมากอดไว้ในอ้อมอกกว้าง แล้วบรรจงจูบลงที่หน้าผาก
"ชื่นใจของพี่ แฟงเอ๋ย คำรักของเอ็งมันหวานนัก พี่จะจำมันไว้ในชีวิต ในวิญญาณ จวบลมหายใจสุดท้าย"
ทัพเชยคางแฟงขึ้นอย่างทะนุถนอม แล้วจูบลงประทับความรักไว้เนิ่นนาน
ในเรือนเฟื่อง เฟื่องกอดอกมองไปไกล กังวลเรื่องสังข์ทะเลาะกับทัพ ขาบมองอยู่เอ่ยถามขึ้น
"ถ้าเฟื่องคิดเรื่องไอ้ทัพผิดใจกับไอ้สังข์ พี่ว่ามันคงไม่มีอะไรแล้ว"
"พี่ทัพกับพี่สังข์มาเคืองกันด้วยเรื่องพี่ใจ ฉันไม่สบายใจเลย"   
ขาบเดินมาใกล้ โอบกอดเฟื่อง 
"ไม่รู้ว่าเฟื่องไปหัดดาบตอนไหน เกิดเคืองพี่ขึ้นมา ดาบเฟื่องเห็นจะฟันพี่ขาดเป็นริ้วๆ"
"พี่ก็อย่าทำให้ฉันโกรธแค้นอะไรขึ้นมา" 
เฟื่องยิ้ม ขาบจูงมือมานั่ง เอาฝ่ามือเฟื่องมาดู
"ฉันไม่เคยจับดาบมาก่อนก็จริง แต่เมื่อถึงคราวต้องไล่ฟันข้าศึก เรี่ยวแรงมันมาจากไหนก็ไม่รู้"   
"พี่นับถือน้ำใจ นับถือความกล้าของเฟื่องและผู้หญิงทุกคน แต่พี่ก็ไม่อยากให้ผู้หญิงออกรบ"
"พี่อย่าห้ามเลยนะ เวลานี้นักรบบางระจันเรา ผู้ชายเหลือน้อยลงทุกวัน ข้าศึกมันก็ยกมามากขึ้นทุกครั้ง ถ้าพี่กลัวว่าฉันจะเป็นอะไร พี่ก็สอนให้ฉันฟันดาบให้เก่งๆ ซิ ฉันจะได้สู้กับพวกอังวะได้"  
ขาบลูบหัวเฟื่องเบาๆ กอดเฟื่องแน่นด้วยความรัก หวังว่าสักวันจะได้อยู่กันอย่างมีความสุข
ลานซ้อมดาบ แฟง เฟื่อง จวง กับผู้หญิงคนอื่นๆ กำลังฝึกดาบ มีทัพ และผู้ชายคนอื่นๆคอยสอน นักรบชายคนหนึ่งวิ่งเข้ามาบอกทัพว่านายพันเรืองเรียกไปพบ สังข์มองตามอยากรู้
ใจนั่งนิ่งอยู่ในเรือน คิดถึงอดีต น้ำตาไหล
"ข้ามันคนทรยศ ข้าต้องฆ่าพวกระจัน แต่ข้าทำไม่ได้ พวกเขาดีกับข้า สไบ คือคนรักของข้า  ยกโทษให้ข้าด้วย สยา ข้ากำลังรับกรรมที่ข้าก่อไว้ทั้งหมดแล้ว"
ใจกำหมัดแน่น เจ็บช้ำกับชะตากรรมที่ต้องมากลายเป็นคนตาบอด
ในเรือนพ่อค่าย ทัพอยู่ตรงหน้า นายพันเรือง นายจันหนวดเขี้ยว และนายทองแสงใหญ่ พ่อค่ายขอให้ทัพมาเป็นหัวหมู่กองหน้าในยามที่พ่อแท่นยังป่วยอยู่ ทัพดีใจมากที่ได้ช่วยงานสำคัญ  
สไบถือดาบซ้อมวิ่งเข้ามาในเรือน เห็นใจกำลังเดินเปะปะ พยายามจะออกไปด้านนอก จึงเข้าไปประคอง  
"พี่กำลังจะไปหาสไบที่ลานซ้อมดาบ"
"ฉันซ้อมเสร็จแล้ว กลับบ้านเราเถอะจ้ะ"  
"ถ้าพี่มองเห็น พี่คงได้ช่วยเป็นคู่ซ้อมให้สไบ"
ใจเหยียดยิ้มเศร้า นายทองเหม็นเดินเข้ามา 
"ไอ้ใจ" นายทองเหม็นเห็นสภาพใจก็ตรงเข้ามากอดด้วยความสงสาร
"คนดีอย่างเอ็ง ไม่น่า ไม่น่าเลย แล้วนี่เอ็งกินอยู่ยังไง มองไม่เห็น ลำบาก ไปๆ ไปอยู่กับข้าที่เรือน"
"ไม่จ้ะ อย่าเอาตัวพี่ใจไป ฉันดูแลพี่ใจได้"
"แล้วเอ็งเป็นใคร จะไปอยู่ดูแลมันที่บ้าน ยังสาวยังแซ่ เดี๋ยวได้ลือกันทั้งบาง"
"สไบเป็นคู่ชิ้นฉันเอง เราอยู่เป็นผัวเมียกันแล้ว เพียงแต่ยังไม่ได้แต่ง"  
"บ๊ะ จะเอาลูกสาวเขามารับใช้ แล้วไม่สู่ขอให้เป็นเรื่องเป็นราวได้ยังไงวะ"
"พ่อสไบตายระหว่างอพยพมาบางระจัน ฉันเลยไม่รู้จะไปสู่ขอกับใคร"
"แล้วเอ็งจะอยู่กับคนตาบอดได้มั้ยนังหนู"
"ไม่ว่าพี่ใจจะตาบอดแขนขาด ฉันก็จะไม่มีวันทิ้งพี่ใจจ้ะ"   
"เออ นังหนูนี่มันรักเอ็งแท้ ถ้ารักกันขนาดนี้ไม่ต้องกลัว เอ็งช่วยข้ารบมาถึงป่านนี้ เป็นตายยังไงเอ็งสองคนก็คือลูกหลานคนระจัน ข้าจะเป็นผู้ใหญ่จัดพิธีให้เอง เอ็งสองคนจะได้ดูแลกันออกหน้าออกตากันได้เต็มที่"
นายทองเหม็นพูดสั้นๆ อย่างนักเลง สไบฟังแล้วยิ้มอาย ขณะที่ใจยังยืนอึ้ง นึกไม่ถึง 
ภายในเพิงพิธีแต่งงาน สไบกับใจนั่งตรงหน้านายทองเหม็น และนางเฟี้ยม นางจันทร์ที่เป็นผู้ใหญ่ฝ่ายหญิง พ่อค่ายทั้งหมดนั่งเป็นผู้ใหญ่ฝ่ายชาย ชาวค่ายที่นำโดยทัพ แฟง เฟื่อง ขาบ สังข์ จวง กับทุกคน หน้าตาแช่มชื่น ยินดี 
ที่ค่ายปากน้ำพระประสบ เนเมียวสีหบดีนั่งวางแผนการรบอยู่ท่ามกลางทุกคน สีหน้าเคร่งเครียด
"เราเคยปรามาสว่าชาวบ้านพวกมันสู้อย่างกองโจร แต่ครั้งนี้ มันฆ่านายทัพนายกองของเรามาถึงสี่ทัพแล้ว ความสามัคคีของมันแข็งแกร่งมากกว่าอาวุธทั้งหมดที่เรามีนัก ถ้าปล่อยให้พวกมันรวมตัวกันได้มากไปกว่านี้ มันจะเป็นเสี้ยนตำตีนให้พะวงหลัง และเป็นเยี่ยงอย่างแก่พวกชาวบ้านไทอื่นๆ เ