
เล่นหูเล่นตา:'บุรีรัมย์หนาวมาก (2)'
02 ก.พ. 2558
'บุรีรัมย์หนาวมาก (2)' : คอลัมน์ เล่นหูเล่นตา โดย... เจนนิเฟอร์ คิ้ม
สนามฟุตบอลใหญ่ยักษ์ ที่พักโรงแรมใหม่ๆ ทันสมัยหรือโรงแรมเก่าที่ปรับปรุงจนล้ำสมัยกับอากาศหนาวเย็นเพียง 19 องศา ทำให้ความน่าประทับใจเกิดขึ้นง่ายๆ ในการมาเยือนบุรีรัมย์ครั้งแรกของฉัน …
ตอนกลางวันแดดเปรี้ยงจนฉันนึกไม่ออกว่าจะไปหลบแดดที่ไหน แต่พอบ่ายคล้อยพระอาทิตย์เมินหน้าหนีเรา อากาศก็เริ่มชื้นและเย็นลง … ฉันตะกายขึ้นไปยืนบนเวทีเพื่อตรวจสภาพความพร้อมของเครื่องเสียงกับวงทาเคชิ ก่อนที่งานจะเริ่มขึ้นหลังจากนี้ไม่กี่ชั่วโมง ซ้อมร้องเพลงไปน้ำมูกไหลจะเข้าปาก อุณหภูมิที่ลดต่ำลงอย่างรวดเร็วแบบทิ้งตัวทำให้เกิดอากาศหนาวเฉียบพลัน เดาว่า … ยิ่งดึกมันจะยิ่งหนาว คนไม่มีผัวก็ตัวใครตัวมัน แต่คนอย่างฉันผ้าห่มผืนเดียวก็เอาอยู่! ไม่มีข้อผูกมัดหรือผลข้างเคียงที่ตามมา … คนเรามักนึกถึงอารมณ์เฉพาะหน้าไม่ค่อยนึกถึงผลที่ตามมา สังคมมันถึงได้วุ่นวายอย่างนี้ ถ้าไม่รู้ว่าจบอย่างไรก็อย่าได้เริ่มต้น บางทีอะไรที่มันไม่ได้ดั่งใจมันก็จบลงไปแค่นั้น แต่ถ้ามันได้ดั่งใจโดยไม่ใช้สติปัญญาเรื่องวุ่นวายก็จะตามมาไม่สิ้นสุด ฉันเคยดูหนังเรื่อง “Kite Runner” (จากนิยายขายดีของ Khaled Hosseihi ผ่านฝีมือกำกับของ Marc Forster) หนังเล่าเรื่องชีวิตของพ่อลูกชาวปากีสถานที่ต้องประสบภัยสงครามจนต้องลี้ภัยไปอยู่อเมริกา เมื่อลูกชายจบการศึกษาและพ่อเสียชีวิตลงก็มีเหตุให้ลูกชายต้องกลับไปสะสางปัญหาคาใจที่เกี่ยวพันกับทั้งพ่อและเขาในอดีตที่บ้านเกิด เรื่องวุ่นวายโหดร้ายแต่น่าประทับใจจึงเกิดขึ้นอีกครั้ง ในเรื่องพ่อได้สอนลูกว่าบาปที่หนักที่สุดคือ “การขโมย” การคบชู้ คือ การขโมยผัวไปจากเมีย ขโมยเมียไปจากผัว ขโมยพ่อหรือแม่ไปจากลูก การพูดปด คือ การขโมยความจริงไปจากคนๆ นั้น การฆ่า คือ การขโมยเวลาที่เหลือของคนๆ นั้น “ขโมย” ช่างเป็นคำสั้นๆ ที่ครอบคลุมทุก “บาป” … นี่คือหนังที่จะให้อะไรคนดูได้มากกว่าแค่คำว่า “สนุก!” … คำว่า “ขโมย” ยังคอยเตือนทุกๆ การกระทำของฉันอยู่เสมอ แม้แต่เวลาที่ฉันโมโห มันคือการที่ฉันขโมยเอาความสงบสุขออกไปจากใจฉันเอง กลับมาที่อากาศหนาว ฉันจึงไม่อยากเอามันมาเป็นข้ออ้างในการขโมยอะไรของใครไปโดยไม่รู้ตัว และที่สำคัญ มันจะขโมยเอา “อิสรภาพ” ที่ฉันหวงแหนที่สุดไปจากฉัน! คิดได้แค่นั้น ก็เห่า เอ๊ย! ร้องเพลงให้เสร็จแล้วพาตัวเองกลับไปนอนนิ่งๆ บนเตียงจนกว่าจะเช้าจะดีกว่านะคะคุณตำรวจ! ระหว่างซ้อมเพลง ฉันกับกีต้าร์ (ลูกทีมซีซั่น 3) สั่งไอติมมากินแข่งกับอากาศหนาว หนามยอกต้องเอาหนามบ่งค่าคุณ เชื่อฉันเถอะว่า … อากาศหนาวเหมาะแก่การกินไอติมที่สุด เพราะมันละลายช้า จะได้มีเวลาละเลียดทีละคำ ไม่เช่นนั้นก็ต้องรีบจ้วงใส่ปากก่อนมันจะละลายหรือมีใครมาแย่ง ผลก็คือเย็นจนปวดเบ้าตา!
พอเช็กระบบเสียงเสร็จก็ต้องรีบไปหาของอร่อยๆ กิน นี่คือภารกิจหลักของฉัน! แต่ละที่แต่ละทางช่างสร้างความประทับใจและประหลาดใจให้กับฉันไปคนละอย่าง มันตื่นเต้นตรงที่ไม่รู้ว่าจะได้เจอกับอะไร จะถูกใจหรือขัดใจ มันได้ลุ้นในทุกๆ คำแรกที่ตักขึ้นจากแต่ละจานมาใส่ปาก ที่นี่บุรีรัมย์ … รถตู้พาพวกเราไปกินข้าวเย็นตอนฟ้ามืดและอากาศหนาวที่ร้านบรรยากาศไทยๆ ร้าน “บ้านชายน้ำ” เป็นร้านที่ตั้งโต๊ะเปิดโล่งให้แหงนมองท้องฟ้าฆ่าเวลาขณะรออาหารได้ไม่รู้จักเบื่อ ที่ต่างจังหวัดเรามักเห็นดาวชัดๆ จากฟ้ามืดๆ เหมือนละอองฝุ่นเรืองแสงที่เรามองไม่เห็นเวลาที่ใช้ชีวิตในเมืองกรุงวุ่นวาย ที่ซึ่งไม่รู้ว่าหมอกควันหรือมลภาวะในเมืองกรุงที่มันปกคลุมท้องฟ้าจนมองไม่เห็นอะไร หรือ เราต่างก้มหน้ามองเครื่องมือสื่อสารในมือจนไม่สนใจใคร ความงดงามของ ท้องฟ้าจึงถูกละเลย … ตั้งแต่ฉันหยุดการสื่อสารในสังคมสังเคราะห์ ฉันมีเวลามองฟ้า มองผู้คน กลับไปค้นหาตัวเอง (อีกหน) อ่านหนังสือที่ซื้อกองไว้จนฝุ่นเกาะ ดูหนัง ดูละครที่ชาวบ้านชาวช่องเขาดูกัน … ฉันได้อยู่กับปัจจุบัน ได้เห็นทุกอย่างที่มีอยู่จริงตรงหน้าฉัน! … ฉันแหงนมองฟ้าอยากหยุดเวลาไว้ตรงนั้น มันสงบทั้งๆ ที่ผู้คนวุ่นวาย สักพักอาหารที่สั่งมาก็เต็มโต๊ะจนไม่มีที่จะวาง “ ปากมักกว้างกว่าท้องเสมอ ” ทั้งปลาช่อนลุยสวน ส้มตำปูปลาร้า ลาบเป็ดทอด ต้มหน่อไม้ดองใส่กระดูกอ่อน (อันนี้เด็ดจนต้องสั่งมา 3 หม้อ) ยำถั่วพลู ฯลฯ กินเสร็จรถตู้พาไปที่พักเพื่อเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วกลับไปทำงานจริงตามเวลา … จบลงที่ทุกงานลูกค้าเฮฮาสนุกสนาน ความพึงพอใจของลูกค้าคือความสำเร็จของพวกเรา (วัดกันเป็นงานๆ ไป) ฉันไม่ใช่นักร้องที่เก่ง ฉันว่าคนเก่งกว่าฉันมีอีกเยอะ ในเส้นทางที่ฉันเดิน เราไม่เรียกคนที่ยืนหยัดอยู่ได้นานๆ ว่า “คนเก่ง แต่เราเรียกว่าคนมีฝีมือ” (ฝีมือวัดกันที่ระยะเวลา) เพราะมันต้องอาศัยทั้งความสามารถและความนิยม การหาคำตอบว่าใครเก่งกว่าใคร ช่างไร้เหตุผลเพราะสาระมันอยู่ที่ยังหาเงินจากงานที่ทำอยู่ได้หรือไม่ต่างหาก! เสร็จงานตอน 3 ทุ่ม ค่ำคืนนี้ยังยาวนานนัก พวกเราแวะลงเซเว่นระหว่างทางกลับโรงแรม แต่แทนที่จะออกจากเซเว่นแล้วกลับขึ้นรถ พวกเรากลับนั่งตากลมหนาวซดข้าวเปียก (ก๋วยเตี๋ยวญวน) ร้อนๆ ที่ร้านข้างเซเว่น คนในวงทาเคชิบางคนทำตัวเป็นคนออแกนิค ไอ้นั่นไม่กิน ไอ้นี่ไม่เอา โดยเฉพาะ “ อีจิ๊บ ” (มือเบส) ดูจากหนังหน้าแล้วเดาว่าน่าจะกินได้ทั้งหมาและแมวเป็นตัวๆ เรื่องมากนักไอ้นี่! มันสั่งเนื้ออกไก่ล้วนๆ มากินแบบชิวๆ ดูน่าหมั่นไส้ พวกเราเลยแย่งมันกินเสียจนเกลี้ยง แล้วยังสั่งน่องไก่ทอดมาอีก 4 - 5 น่อง แทะกินดังกรอบแกรบต่อหน้ามัน แต่ละคนรวมทั้งฉันมีสภาพเหมือนคางคกยักษ์ที่กลืนไก่ลงไปหลายตัว อากาศหนาวมันทำให้เจริญอาหาร ร่างกายต้องการความอบอุ่น กินของทอดร้อนๆ มันซะเลยค่าคุณตำรวจ! กินเสร็จก็ตะกายขึ้นรถกันอย่างเชื่องช้า เปิดกระจกเอาหน้าต้านลม เวลานี้ใครอย่ามาชนเดี๋ยวกระฉอก อิ่มจนตัวจะแตก ถึงโรงแรมรีบอาบน้ำนอน เปิดหน้าต่างให้ลมเข้าไม่ต้องเปิดแอร์ แค่นี้ก็หนาวจะตายอยู่แล้ว ฉันหดขาหดแขนทั้งๆ ที่มันก็สั้นแค่นั้นเข้าซุกในผ้าห่มอุ่นๆ หลับไปเมื่อไหร่ไม่รู้ รู้ตัวอีกทีก็เช้าแล้ว แดดแยงตาลุกจากที่นอนขึ้นมาเดินไปปิดม่าน … มืดมิด! แล้วกลับมาล้มตัวลงนอนต่อ ขออีกสักชั่วโมง มองนาฬิกาแล้วยังมีเวลาพอ
ถึงเวลากลับทุกคนพร้อมหน้าพร้อมตากันขึ้นรถ เพื่อไปกินอาหารกันก่อนขึ้นเครื่อง คิดไว้ตั้งแต่เมื่อคืนแล้วว่าต้องเป็น “ส้มตำไก่ย่างกับข้าวเหนียวร้อนๆ” นะ ร้านชื่อดังของที่นี่คือ “ไก่ย่างสีดา” เจ้าของร้านเป็นผู้หญิงวัย 40 ปลายๆ ชื่อ พี่สีดา นางต้อนรับขับสู้ลูกค้าอย่างดี รับออเดอร์แล้วนางก็วิ่งไปหน้าร้านทำอาหารตามที่พวกเราสั่งอย่างรวดเร็วทันใจ ขอบอกว่าไก่ย่างนางแจ่มมาก หนังแห้งกรอบ รสชาติเค็มๆ เหมือนกินสมัยเด็กๆ ทำจากไก่บ้านขนาดกำลังดีเหมาะแก่การแทะเนื้อติดกระดูกด้วยมือ ส้มตำปูปลาร้านางก็นัว จะให้ดีต้องสั่งนางอย่าใส่น้ำตาลจะได้รสชาติบ้านนอกแบบออริจินอล หมกหมู หมกไข่ปลา ห่อละ 20 บาท ของนางก็ล้ำ ลาบหมูก็อร่อย ต้มแซบกระดูกหมู ปลานึ่งจิ้มแจ่ว เด็ดตรงแจ่วนี่ละค่าคุณ เอาข้าวเหนียวร้อนๆ ปั้นแน่นๆ แล้วกดลงไปในถ้วยแจ่วให้เนื้อพริกติดข้าวขึ้นมาใส่ปาก “ง่ำ!” ฉันติดใจจนซื้อเป็นถุงๆ ละ 10 บาท มาฝากที่บ้าน พร้อมไก่ย่างอีกหลายตัว (ตัวละ 160 บาท) พี่สีดาเอาทุกอย่างแพ็กใส่กล่องให้เรียบร้อย การหอบของกลับกรุงเทพฯ แปลว่าภารกิจเสร็จสมบูรณ์ บางทีฉันไม่ได้อะไรติดมือกลับมาเลย เพราะไม่มีเวลาออกตามล่าความอร่อย รีบไปแล้วรีบกลับไปร้องเพลงต่อที่อื่น อันนั้นจะเศร้ามากค่าคุณ .. กินข้าวเสร็จก็เริ่มง่วงเพราะกินข้าวเหนียว เลือดจากสมองถูกส่งไปที่กระเพาะช่วยในการย่อย เลยต้องหากาเฟอีนเติมใส่เสียหน่อย ขับรถวนไปมาเพื่อหาร้านกาแฟ บังเอิญเห็นป้ายติดหน้าปากซอยว่า “ร้านบ้านไอน้ำ” ก็เลยแวะเข้าไปปรากฏว่าเจ้าของคือ นักดนตรีวงไอน้ำ ชื่อ “ฟัก” มาเช่าที่ทำร้านกาแฟ เพราะเป็นคนที่นี่ ร้านน่ารักตรงที่มีต้นก้ามปูยักษ์อยู่ 2 ต้น ให้ความร่มรื่นทั้งที่แดดเปรี้ยง แต่พวกเราก็ไม่ร้อน มีละอองน้ำพ่นฝอยกระจายอยู่ทั่ว นั่งกินกาแฟไปคุยกับฟักไป ฟักบอกว่าตั้งแต่มีสนามฟุตบอลที่นี่ ราคาที่ดินพุ่งพรวด โรงแรมผุดเป็นดอกเห็ด ที่นี่เจริญเร็วมาก จนได้เวลาขึ้นรถไปสนามบิน … ฉันอยากหอบเอาความเย็นกลับไปฝากคนกรุงเทพฯ แต่ก็นั่นแหละ พระท่านว่าถ้าใจเย็น อยู่ที่ไหนมันก็เย็น อากาศจะร้อนหรือเย็น จึงไม่สำคัญเท่ากับ “ใจ” ที่อยู่ข้างใน ถ้าทำอย่างพระท่านว่าไม่ได้ ก็ให้ลุกขึ้นไปอาบน้ำปะแป้งตรางูหรือมองเล่ยะห์แล้วเปิดแอร์ เป่าพัดลมจ่อตรงหน้า ไม่เย็นก็ไม่รู้ว่าจะให้ทำไงแล้วล่ะค่า การมาบุรีรัมย์ในหน้าหนาวครั้งนี้จะเป็นจุดเริ่มต้นของครั้งต่อๆ ไป ขอบันทึกไว้ว่า นอกจากลำปางแล้ว บุรีรัมย์ก็หนาวมากเหมือนกันค่าคู้ณ!
.......................................
(หมายเหตุ 'บุรีรัมย์หนาวมาก (2)' : คอลัมน์ เล่นหูเล่นตา โดย... เจนนิเฟอร์ คิ้ม)