
'บางระจัน 15'
24 ม.ค. 2558
'บางระจัน 15'
สายฝนที่ยังตกไม่ขาดเม็ด แม่หมอเอายาใส่ฝาระมีมาส่งให้แฟง แฟงเอายาสมุนไพรมาประคองให้เจิดกิน เจิดทำเป็นดีขึ้น ค่อยๆ ลุก มองแฟงแล้วถาม
"สไบคงอยู่กับแฟง"
"จ้ะ เราอยู่กระท่อมของผู้หญิงที่ฟากโรงครัว พี่ใจอยู่กระท่อมพวกผู้ชายท้ายค่าย"
เจิดทำท่าขยับตัวแล้วสะดุ้งเพราะเจ็บตา "โอ้ย"
แฟงขยับเข้าไปใกล้ ก้มดูตรงตาเจิดที่เป็นรอยแผลถูกกรีด เสียงฟ้าผ่าดังเปรี้ยง แฟงสะดุ้ง ตกใจ ทำฝาระมีหล่น เจิดคว้าไว้ได้ ส่งคืนให้แฟงพร้อมกับกุมมือแฟงไว้ไม่ให้ตกใจ
"ไม่ต้องตกใจ ฟ้าร้องนะ"
ทัพวิ่งฝ่าฝนมาเห็นภาพแฟงกำลังถูกเจิดกุมมือกัน ทัพชะงักมองไม่พอใจ จำเจิดได้คลับคล้ายคลับคลาที่กระทุ่มด่าน
"แฟง"
แฟงกับเจิดหันมามองทัพทันที ทัพเข้าไปกระชากแขนแฟงออกห่างเจิด
"ทำอะไร"
"ฉันทำอะไร"
"ก็ เห็นอยู่"
"จะบ้าหรือไง พี่ทัพ"
"รู้จักอายบ้างมั้ย"
"พี่เจิด พี่ชายพี่ใจ พี่ทัพจำไม่ได้หรือ"
"พี่ชายไอ้ใจมันเข้ามาในค่ายระจันได้อย่างไร"
"ชาวบ้านไปเจอพี่เจิดถูกคนทำร้าย เลยพาเข้ามา"
"ไล่มันออกไป"
ทัพจะเข้าไปหาเจิด แฟงจับไว้
"อย่านะพี่ทัพ เป็นบ้าหรือ คนบาดเจ็บมาจะไล่เขาออกไปตาย"
ทัพไม่กล้าบอกความจริง ว่าสงสัยใจกับเจิดอยู่
"พี่ไม่อยากไว้ใจไอ้พี่น้องคู่นี้ มันกำลังหลอกใช้สวาทให้ผู้หญิงไทยหลงมัน แฟงเอง สักวันมันก็จะทำให้หลง"
แฟงโกรธตัวสั่น กำหมัดแน่น
"ใครมันอยากเข้าใจบัดสี ก็ให้มันคิดไป"
แฟงสะบัดออกไปอย่างรวดเร็ว ทัพมองแฟงตกใจ รีบวิ่งตาม เจิดมองอย่างพอใจ
ภายในกระท่อม ใจกอดสไบอยู่ในอกด้วยความรัก
"รีบไปดูพี่เจิดเถอะ ไม่รู้เป็นยังไงบ้าง"
"สไบต้องอยู่ใกล้ๆ พี่ อย่าห่างพี่"
สไบฟังแล้วขยับตัวมอง ยิ้มขำๆ ความเป็นห่วงของใจ
"โธ่ พี่ใจ พูดเหมือนฉันจะหนีไปไหน ฉันก็อยู่ในค่ายนี่แหละจ้ะ"
"พี่พูดเพราะห่วงสไบ ไม่อยากให้คลาดสายตา ไม่อยากให้ห่างตัว พี่จะได้ปกป้องสไบจากทุกคนที่มันคิดร้าย"
"พี่ใจพูดแปลก จะมีใครคิดร้ายฉันหรือจ๊ะ"
"ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น พี่ขอตายอยู่กับสไบ"
ใจจูบลงที่หน้าผากสไบ สไบยิ้มมองใจ มีความสุข
"ชีวิตฉันก็ไม่มีใครอีกแล้ว นอกจากพี่คนเดียว บ้านที่สามโก้ฉันก็ไม่มีเหลือ เสร็จศึก เราสองคนจะไปอยู่ที่ไหนดี"
ใจหน้าสลดลง แต่ฝืนยิ้มเหมือนไม่รู้เรื่องอะไรด้วย
"เราจะไปอยู่ด้วยกันที่บ้านของเรา"
ใจพูดแล้วยิ่งกดดันเพราะอยากจะพาสไบกลับไปอังวะด้วยกัน
"ไม่ว่าที่ไหนที่มีสไบ พี่จะอยู่ที่นั่น"
"รีบไปดูพี่เจิดเถอะ สไบหายมานานแล้ว"
ใจดึงสไบมากอดไว้ กังวลอยู่ลึกๆ เพราะรู้ว่ากำลังโกหกบางอย่างกับผู้หญิงที่รัก
แฟงเดินฝ่าฝนมา ทัพวิ่งมารั้งแฟงไว้กลางฝน
"จะหนีไปไหนแฟง ทำผิดแล้วอย่าเดินหนี"
"ฉันไม่ผิด พี่เจิดเป็นพี่ชายพี่ใจ แล้วพี่ก็ถ่างตาดูด้วยนะ พี่เจิดเขาเจ็บมาขนาดนี้ คิดว่าเขาจะมีแรงปล้ำฉันเหรอ"
แฟงลอยหน้าไปถามทัพอย่างก๋ากั่น ทัพมองฉุน
"ก็ฝนมันตก ชาวบ้านเขาก็เข้าเรือนกันหมด ฉันกับพี่เจิดรอสไบไปตามพี่ใจ พี่จะให้ฉันไปหลบตรงไหน"
แฟงมองทัพเคืองๆ ทัพหันไปมองเจิด แฟงมองค้อนแล้ววิ่งออกไป ทัพเรียกเสียงดัง เจิดเห็นว่าสบโอกาส ก็รีบบอกทัพ
"ไปตามแฟงเถอะ ฉันไม่เป็นอะไร"
ทัพมองเจิดนิดเดียวแล้ววิ่งฝ่าฝนตามแฟงไป เจิดมองพอใจ
แฟงวิ่งฝ่าฝนมาอย่างเร็ว ทัพวิ่งตามหลัง
"แฟง หยุดก่อน แฟง"
ทัพตะโกนแข่งกับสายฝน แฟงวิ่งหนีไม่ยอมหยุด ทัพพุ่งไปคว้าตัว แฟงสะบัดแรง ทัพยื้อไว้
"ฟังพี่ก่อน"
แฟงสะบัด หลุดออกจากอ้อมกอดทัพ แล้ววิ่งไป แต่ลื่นล้มลงบนดินที่เปียกแฉะ ทัพเข้ามาคว้าตัวแฟงกอดไว้
"อย่าโกรธพี่เลย ที่พูดเพราะพี่ห่วงเอ็ง"
"พี่ทัพจะมาห่วงฉันทำไม"
แฟงสะบัดหน้าไป จมูกทัพกับแก้มแฟงอยู่ใกล้กัน ทัพมองใบหน้านวลของแฟงด้วยใจหวาบหวามขึ้นอย่างประหลาด แต่ก็ฝืนความรู้สึกที่กำลังก่อตัวแปลกๆ
"วะ ก็ห่วงอย่างน้องสาวไงล่ะ เอ็งมันก็เหมือนน้องสาวไงล่ะ"
แฟงวูบไหว เสียใจ แต่ก็ไม่ยอมแสดงอาการผิดหวังออกมาให้ทัพรู้ความในใจ
"อย่าโกรธพี่เลยนะ แฟง"
"ก็แค่น้องจะห่วงอะไรนักหนา พี่ฟักยังไม่อะไรกับฉันเลย"
ทัพพูดไม่ออก เป็นความรู้สึกที่เขาก็ยังไม่เข้าใจ แฟงกลืนความน้อยใจมองทัพ
"ฉันไม่เคยขอให้พี่มาห่วงเลยสักนิด"
"แฟง"
แฟงเบี่ยงตัวออกจากอ้อมแขนทัพ ทัพใจหาย
"พี่ไปห่วงคนอื่นเถอะ พี่กับฉัน เราเป็นคนไม่ชอบหน้ากัน ไม่ต้องมาห่วงกัน"
แฟงมองทัพอีกครั้ง แล้วตัดใจ วิ่งออกไป ทัพเสียใจอย่างไม่รู้เหตุผล
ทัพมานั่งที่หน้าเรือนสังข์ ซึมๆ สังข์นั่งมอง
"นังแฟงมันเด็กดื้อ ฤทธิ์เยอะ เอ็งอย่าไปสนใจมันเลยวะ ปล่อยมันบ้าๆ บอๆ ไป"
"แฟงมันก็เหมือนน้องสาวข้าคนหนึ่ง"
"ก็แค่น้องสาว ไม่ใช่คู่ชิ้นเอ็ง จะไปห้ามไปหวงมันได้ไง"
"เอ็งนี่มันพูดไม่ได้ความ ก็แค่ไม่อยากเห็นแฟงน้ำตาเช็ดหัวเข่า"
"คนนะ เลี้ยงได้แต่ตัว ไอ้ทัพ ใจแฟงมันจะรักใครชอบใคร เอ็งจะไปห้ามไปหวงเพราะความเป็นพี่ชายไม่ได้"
สังข์พูดเตือนสติ ทัพยิ่งฟังยิ่งอึดอัดใจอย่างบอกไม่ถูก
ใจเดินมากับสไบ เจิดเดินสวนมา ใจชะงัก สไบหน้าเก้อๆ เขินๆ เจิดกลบเกลื่อนไม่มีพิรุธด้วยการยิ้มให้ใจกับสไบ
"พี่ไม่เป็นอะไรมากใช่มั้ย"
"ข้าหาเอ็งตั้งนาน ไอ้ใจ"
สไบเห็นเจิดสวมกอดเหมือนพี่น้องก็ไม่คิดเอะใจ ใจฝืนยิ้ม
"พี่ใจพาพี่เจิดไปที่เรือนสิจ๊ะ เดี๋ยวฉันจะไปหาอะไรมาให้พี่เจิดกิน"
สไบจะเดินออกไป เจิดหันมอง ใจมองเจิดอย่างระแวง
"ไม่ต้องหรอก สไบ"
สไบหันกลับมามองใจ ไม่เข้าใจว่าทำไมใจห้าม เจิดเองก็มองใจ สังเกต ใจยิ้มกับสไบ
"เดี๋ยวพี่คุยกับพี่เจิดแล้วจะตามไป"
สไบเดินออกไป เจิดหันมามองใจ แววตากระด้าง
"แกปกป้องสไบได้อีกไม่นานหรอก อองนาย"
"ฉันต้องปกป้องสไบด้วยชีวิต เพราะสไบเป็นเมียฉัน"
"อองนาย นี่แก"
"สไบเป็นเมียฉัน ถ้าพี่ไม่อยากผิดใจกับฉัน อย่าแตะ อย่ายุ่ง อย่าคิดทำสไบ เมียฉัน"
ใจจ้องเจิดด้วยแววตาแข็งกระด้าง หวงแหนคนรัก
สไบเดินมานั่งที่แคร่หน้าเรือน เฟื่องทำงานอยู่ หันมามองสไบ
"ฝนหลงฤดูวันนี้ ทำเอาสไบกับแฟงถึงกับนั่งท่าเดียวกัน"
สไบหันไปมอง จังหวะเดียวกับแฟงที่นั่งกอดเข่าพิงเสาอยู่บนเรือน หันมามอง เฟื่องมองสองสาวกังวล แล้วถามขึ้น
"เห็นแฟงบอกว่าไปเจอพี่เจิดมาหรือ"
"จ้ะ ตอนนี้คุยกับพี่ใจอยู่"
"เป็นอะไรมากมั้ย"
"เหมือนจะหายแล้ว เดินได้"
"เขาจะมาตามน้องเขากลับไปอีกล่ะซิ"
สไบเศร้าลงไปอีก
"แล้วแฟงล่ะเป็นอะไร"
แฟงมองเหม่อไปด้านนอกแล้วถอนใจเฮือก
"เห็นว่าโกรธกับพี่ทัพมา ไม่รู้จักโต หาเรื่องกับพี่ทัพตลอด"
"เอะอะ อะไรๆ ก็ฉันผิด"
"เป็นเด็กยังไงก็ผิดวันยังค่ำ ดีนะที่พี่ทัพเขาเอ็นดูว่าเป็นน้อง"
"ฉันไม่ใช่เด็กแล้วนะ"
แฟงไม่พอใจเดินลงเรือนไป เฟื่องมองตามอย่างเห็นใจ
"เฟื่อง เราจะรู้ได้อย่างไรว่าผู้ชายคนไหนจริงใจกับเรา"
เฟื่องหันมาจ้องหน้าสไบเขม็ง
"สไบหมายถึงพี่ใจใช่มั้ย"
สไบพยักหน้า เฟื่องเดินเข้ามาหา
"ถ้าเราจะให้ความจริงใจกับผู้ชายสักคนที่เราไม่รู้จักเขาเลย เราผิดมั้ย"
"ให้ความจริงใจได้ แต่อย่าเพิ่งให้ตัวเขานะ"
สไบเงียบ พูดไม่ได้
กลางคืน ทัพนั่งกอดเข่าซึมๆ อยู่ห่างจากวงสังสรรค์ของกลุ่มผู้ชายที่กำลังเฮฮา สังข์มองใจกับเจิด
"เอ็งสองคนนี่เป็นพี่น้องกันได้ยังไงวะ หน้าตาไม่เห็นเหมือนกันเลย ไอ้ใจ ไอ้เจิด"
"พี่น้องหน้าไม่เหมือนกัน มีถมไป"
เจิดตอบแล้วรินเหล้าให้สังข์
"เอ็งไม่สบาย ทำไมไม่นอนพัก"
"ค่อยยังชั่วแล้ว ยาแฟงเขาดี แม่แฟงเป็นคนมีน้ำใจช่วยพยาบาลฉัน"
ทัพได้ยินชื่อแฟงก็หันมองเจิด สังข์เห็นสายตาเพื่อนก็แซว
"แต่อย่ามาติดใจนะไอ้เจิด เดี๋ยวจะเหมือนไอ้ใจน้องเอ็ง มาติดผู้หญิงที่นี่ไม่ยอมไปไหน ถึงแฟงมันจะยังไม่เป็นโล้เป็นพายก็เถอะ"
"ทำไมล่ะ"
"นังแฟงมันพี่ชายดุ"
สังข์มองบุ้ยใบ้ไปทางฟัก ฟักจ้องมองเจิดนิ่งๆ เจิดมองแล้วยิ้ม
"โธ่ ฉันรู้จักกับแฟงมาตั้งแต่ตอนหนีจากกระทุ่มด่าน เห็นเป็นน้องเป็นนุ่ง"
"เออ ถ้าอยากเห็นน้องไม่นุ่งเมื่อไหร่ เอ็งหัวแบะแน่"
คำพูดของเอิบ ทำให้วงสังสรรค์เป่าปากขำ ทัพทนฟังไม่ไหว ลุกเดินออกไป
0000000000000000000000
ทัพเดินหน้าเคร่งขรึมมาทางลานตีไก่ เห็นแฟงยืนเหม่อพิงต้นไม้ แฟงรู้สึกว่ามีคนมอง หันมาเจอทัพ ทัพรีบชิงพูดขึ้นก่อน
"แฟง อย่าเพิ่งไปไหน คุยกันก่อน"
"จะมาห้ามมาหวงอะไรฉันอีกล่ะ"
"อย่าประชดประชันพี่นักเลย แฟงอยู่ที่นี่ สบายดีมั้ย"
"ก็ไม่เจ็บ ไม่ไข้ ถามทำไม"
"โธ่ แฟง"
"ไม่มีอะไรจะพูด ก็ไม่ต้องทักหรอก"
แฟงจะเดินหนี ทัพดึงแขน รั้งไว้ แฟงหันมามอง ทัพเดินเข้าใกล้
"เอ็งนี่เจ้าแง่แสนงอนไม่เลิก"
"อีแฟงมันก็เป็นของมันแบบนี้"
"พูดกันดีๆ เหมือนเดิมได้มั้ย แฟง"
"พี่กับฉันเคยพูดดีกันตอนไหน"
"ก็ตอนที่เอ็งอ้อน พี่ทัพจ๋า ฉันยอมทุกอย่าง ขอให้พี่ทัพสอนดาบฉันนะ"
ทัพทำหน้าล้อเลียน แฟงเริ่มอาย
"พี่ทัพจ๋า"
แฟงเหวี่ยงหมัด ทุบลงไปบนอกทัพ ทัพรวบมือแฟงไว้ หัวเราะไม่ถือสา
"เอ็งยิ้ม เอ็งหัวเราะให้พี่เหมือนก่อนเถอะ แฟง พี่เห็นแล้วชื่นใจ"
แฟงมองทัพเขินๆ แต่ก็ทำปากแข็ง กวนกลับไป
"ฉันก็อยากจะยิ้มให้คนอื่นชื่นใจบ้าง"
ทัพใจหายวูบ "พี่ก็ห้ามก็หวงเอ็งไม่ได้หรอก แฟง พี่เองจะตายวันตายพรุ่งก็ไม่รู้"
"พี่ทัพ ผีเจาะปากหรือไง"
"เอ็งก็รู้ ยามศึกแบบนี้ ทุกลมหายใจมีไว้รักษาแผ่นดิน วันไหนที่พี่ออกไปรบ แล้วไม่ได้กลับมา"
แฟงทนฟังไม่ได้ รีบเอามือบีบปากทัพ
"อย่าพูด ฉันไม่อยากฟัง"
ทัพดึงมือแฟงออกเบาๆ สองสายตามองกัน
"พี่ทัพฝีมือดาบเก่งเป็นที่หนึ่ง พี่ต้องสู้จนข้าศึกคนสุดท้ายมันสิ้นใจลงที่นี่"
แฟงยิ้มให้ทัพมีกำลังใจ ทัพปลื้มใจอย่างบอกไม่ถูก
"อย่างนี้ซิ ยามศึกอย่างนี้เอ็งจะมาทะเลาะกับพี่ทำไม พี่อยากได้กำลังใจนะแฟง"
ทั้งสองยิ้มให้กัน ความรู้สึกขุ่นใจหายไป
เฟื่องนั่งกินมะยมอย่างเอร็ดอร่อย สไบหอบเอามาให้อีกกอง มองอย่างเข็ดฟันแทน
"เฟื่องไม่เข็ดฟันหรือจ๊ะ มะยมทั้งกองแบบนั้น"
"ไม่รู้เป็นอะไร พักนี้อยากเปรี้ยว"
สไบมองไปด้านหลัง เห็นขาบเดินมาหยุดมองเฟื่อง สไบมองขาบสงสาร
"ฉันเข้าเรือนก่อนนะเฟื่อง"
เฟื่องมองสไบงงๆ สไบรีบเดินไปเรือนของตัวเอง เฟื่องหันมา เห็นขาบขึ้นมานั่งข้างๆ เฟื่องชักสีหน้า แต่ขาบมองเฟื่องด้วยความคิดถึง
"เฟื่องเป็นยังไงบ้าง"
เฟื่องไม่อยากตอบ จะลุก ขาบกุมมือเฟื่องไว้
"คุยกับพี่ก่อน สักนิดเถอะนะ เฟื่องชอบมะยมเหรอ พรุ่งนี้พี่จะเก็บมาให้"
"ไม่ต้องหรอกพี่ขาบ อย่าลำบากเลย ฉันเก็บกินเองได้"
"เมื่อไหร่เฟื่องจะไปอยู่ที่เรือนพี่"
"ฉันต้องดูแม่ แม่แกยังไอ"
"เฟื่องคงไม่อยากเจอพี่"
"พี่ก็รู้ว่าฉันคิดยังไง แล้วจะถามให้เจ็บใจตัวเองทำไม"
ขาบยิ้มเศร้า ลุกขึ้น ยิ้มให้เฟื่อง
"ไม่เป็นไร พี่รักเฟื่อง ถึงเฟื่องเกลียด พี่ก็ยังรัก พี่รักของพี่ ได้เห็นเฟื่อง ได้คุยกับเฟื่องบ้าง แค่นี้ก็ยังดี"
ขาบยิ้มให้ เฟื่องมองหน้าขาบ รู้ว่าตัวเองทำใจให้รักขาบยังไม่ได้
ที่ลานบ้านฟักหลังค่าย วงเหล้านอนระเกะระกะ ใจมองไปที่ทุกคน แล้วมองมาที่เจิดกอดไหเหล้าหลับ ใจลุกขึ้น เดินออกไป เจิดขยับ เดินมาใกล้ใจ ไม่มีท่าทางคนเมา
"สยาอยากเจอแก" ใจสีหน้าไม่ดี
ในค่ายเกียกกายอังวะ จาดยืนอยู่ในชุดราชครูประจำสำนัก มีทหารอังวะหลายคนยืนตั้งแถวรอรับแม่ทัพคนสำคัญอยู่ง ใจก้าวเข้ามา ตามด้วยเจิด ทั้งคู่อยู่ในชุดนายทหารแห่งราชสำนักอังวะ จาดมองใจ ศิษย์รัก ก็ตบหน้าอย่างแรง ใจไม่ตอบโต้ ก้มหน้ารับผิด
"ข้าเสียใจที่มีศิษย์อย่างแก อองนาย ทำไมถึงไม่ทำตามที่ข้าสั่ง เลิกยุ่งเกี่ยวกับผู้หญิงไทยได้แล้ว"
"สไบทำให้ข้าอยู่ที่นั่นได้ ไม่มีใครสงสัย"
"กล้าโกหกข้าตั้งแต่เมื่อไหร่ แกหลงผู้หญิง คอยตามช่วยมันทุกครั้ง อองนาย ผู้หญิงเขาคบแกเพราะนึกว่าแกเป็นพรานป่า เขาไม่รู้ว่าแกเป็นอังวะ"
ใจอึ้ง เถียงไม่ออก จาดสำทับ
"อองนาย ทำตามหน้าที่ หน้าที่ของเราคือสืบข่าวมาแจ้งให้กองทัพ เพื่อให้กองทหารเข้าทลายไอ้ค่ายระจันนี้ให้แหลก อย่าให้พวกมันรวมตัวกันแข็งข้อกับเราได้"
"ข้ากำลังทำ สยา ข้าไม่เคยลืมว่าข้ามาที่นี่ทำไม ข้าต้องทำให้กองทัพของเราได้เปรียบเหนือโยเดีย ข้าต้องสอดแนบเอาความลับมาให้กองทัพเราให้ได้"
จาดมองใจด้วยสายตาคาดคั้น สุรินทรจอข่อง แม่ทัพคนสำคัญขี่ม้ามากับนายทหาร จาด เจิด ใจออกมารับ สุรินทจอข่องมองใจกับเจิด แล้วเอ่ยถามจาด
"นี่หรือ ทหารสอดแนมของท่าน จอกยีโบ"
"ข้าชื่ออูทินลิน ปลอมเป็นพรานป่าไปกับอองนาย ปนอยู่กับพวกชาวบ้านคนไทย"
"เพลานี้ไอ้พวกระจันมันฆ่ากองทหารของเราตายไปหลายร้อย พวกมันเป็นใคร"
"มันเป็นชาวบ้านมาจากหลายที่ ทั้งทุ่งคำหยาด กระทุ่มด่าน ศรีบังทอง สามโก้ ทุกคนหนีภัยศึกมารวมกันที่บ้านระจัน ไม่มีกองทหารหลวง บ้านระจันเป็นแค่กลุ่มชาวบ้าน" เจิดรายงาน
"แต่บ้านระจันก็มีคนมีฝีมือหลายคน บางกลุ่มเคยเป็นทหารมาก่อน แต่หนีทัพมา" ใจรายงานต่อ
"อาวุธล่ะ"
"พวกมันไม่มีอาวุธอะไร นอกจากดาบ มีด ไม้ ตามประสาชาวบ้านทั่วไป ปืนใหญ่ยิ่งไม่มี" เจิดรายงาน
"แค่ชาวบ้าน ปืนใหญ่ก็ไม่มี แต่ฆ่าคนเราตายไปเป็นร้อย"
สุรินทรจอข่องคำราม ใจตอบแทน
"พวกบ้านระจันมันอาศัยใจกล้า รวมตัวกันได้เพราะไม่มีทางไป ยอมตายเพราะโกรธที่กองทหารของท่านไปแย่งชิงเสบียง ทำร้ายลูกเมียพวกเขาก่อน"
สุรินทรจอข่องยิ่งอารมณ์เสีย
"สงครามถ้าไม่ทำให้เด็ดขาด ใครมันจะกลัว หน้าที่ข้าต้องหาเสบียงและแรงงานส่งกองทัพ ถ้าทหารเป็นแสนไม่มีกิน ข้าก็โดนตัดหัวเหมือนกัน ข้า สุรินทรจอข่อง แม่ทัพค่ายเกียกกายนี้ ต้องปราบไอ้พวกระจันให้ได้"
สุรินทรจอข่องหันไปสั่งทหารคนสนิทด้านหลัง
"ส่งม้าเร็วลงไปรายงานท่านแม่ทัพเนเมียวสีหบดี ที่ค่ายปากน้ำพระประสบเดี๋ยวนี้เลย ให้ท่านแม่ทัพสั่งการให้คนคุมกองทหารขึ้นไปปราบมัน หาไม่คนไทยบางอื่นมันจะเอาเป็นเยี่ยงอย่าง จะเป็นเสี้ยนหนามกับกองทัพเรา"
นายทหารรีบควบม้าออกไป สุรินทรจอข่องหันมาทางจาด
"ส่วนท่าน จอกยีโบ ส่งกองสอดแนมของท่านไปเอาข่าวมาให้ข้าว่าค่ายระจัน มันมีจุดอ่อนอย่างไร ข้าจะทำแผนเข้าตี เผาค่ายมันให้ราบ"
ใจฟังคำสั่งสุรินทรจอข่องด้วยความกังวล
เมียวสีหบดีกับมังมหานรธามาร่วมประชุมด้วยกับเหล่าแม่ทัพ ปลัดทัพ หลายนาย ราชครูอ่านจดหมายที่สุรินทรจอข่องให้ม้าเร็วส่งมา
"สุรินทรจอข่อง แม่ทัพแห่งกองเกียกกายเรา ซึ่งตั้งค่ายเก็บเสบียงอยู่ที่แขวงวิเศษไชยชาญ เกรงว่าบ้านระจันจะเป็นภัยแก่กองทัพอังวะ เพราะตั้งอยู่ข้างหลังค่ายเราทางทิศเหนือ จึงมีใบบอกมาแจ้งให้ท่านแม่ทัพทั้งสองจัดนายทัพมีฝีมือ นำทหารขึ้นไปปราบ ล้างค่ายมันแต่โดยเร็ว เพราะหากมันรวมตัวกันได้เข็มแข็งอาจยกลงมาตีตลบหลังค่ายใหญ่เราที่ปากน้ำประสบกับสีกุกได้"
มังมหานรธาเอ่ยขึ้น น้ำเสียงเด็ดขาด
"ข้าพเจ้ามังมหานรธาแห่งค่ายสีกุก เห็นสมควรว่าน่าจะเป็นหน้าที่ของท่านเนเมียวสีหบดี แห่งค่ายปากน้ำประสบนี้ ท่านควรเป็นผู้จัดกองทหารไปปราบ เพราะค่ายสีกุกข้าพเจ้าอยู่ใต้ลงไปถึงบางไทร คงไม่สะดวกแก่การสั่งการ"
เนเมียวสีหบดี มองอย่างรู้ทัน พูดเสียงดัง น้ำเสียงกร้าว
"ไอ้พวกชาวบ้านแค่กำมือเดียว ท่านอย่าได้กังวลเลยว่าข้าพเจ้าจะลำบากใจ แค่ข้าพเจ้าแบ่งทหารไปสักห้าร้อยตีค่ายมัน พวกมันก็วิ่งหัวหดเข้าป่ากันหมด เหมือนเมืองอื่นๆ ที่ข้าพเจ้าเคยตีมา"
"ข้าพเจ้าขอเปิดโอกาสให้ท่านแสดงฝีมือได้เต็มที่ รีบปราบมันโดยเร็วเถิด เพราะนี่ก็จะเข้าฝนแล้ว เราต้องข้ามกำแพงไปเหยียบวังโยเดียให้ได้ก่อนน้ำเหนือหลากลงมา"
"ท่านมังมหานรธา ท่านกลัวชายเสื้อเปียกน้ำเช่นนั้นหรือ คงอยากจะรีบกลับไปกอดเมียแก่ๆ ที่อังวะเต็มทีล่ะซิ ท่านก็รู้ พระเจ้าอลองพญาของเรายกมาตีเมื่อหกปีก่อนเป็นอย่างไร กำแพงกรุงโยเดียนี้แข็งแรงแค่ไหน ข้าวปลาอาหารที่มันเอาไปเก็บตุนไว้ในกำแพงก็มาก มีกินจนถึงหน้าน้ำแห้งทีเดียว เราคงตีโยเดียให้แตกก่อนน้ำหลากคงเป็นไปไม่ได้"
มังมหานรธายิ้มเยาะ
"ท่านก็เลยอยากจะถอยทัพเสียก่อน แล้วปีหน้าค่อยยกมาใหม่งั้นหรือ"
"อย่าปรามาสข้าพเจ้าเช่นนั้น ข้าพเจ้ากราบบังคมทูล ถวายสัตย์ต่อพระเจ้าอยู่หัวอังวะไปแล้วว่าจะนำมหามงกุฎพระเจ้ากรุงโยเดีย ไปบรรณาการพระองค์ถึงสีหาสนบัลลังก์อังวะ หากข้าพเจ้าตีกรุงโยเดียให้เหลือแต่ซากไม่ได้ ข้าพเจ้าจะมิมีวันถอยทัพ"
"งั้นท่านจะทำยังไง เมื่อน้ำท่วมค่าย"
"เพลานี้ข้าพเจ้าให้ทหารต่อแพเตรียมไว้แล้ว ถ้าน้ำเหนือหลากมาเราก็ขึ้นแพ ช้าง ม้า ข้าพเจ้าก็ให้อยู่ที่ดอน พอน้ำลด ข้าวปลาอาหารในกรุงโยเดียก็คงหมดพอดี แต่พวกเรามีข้าวปลาอาหารอยู่เต็มทุ่งรอบกำแพง มีหรือพวกโยเดียมันจะไม่เปิดกำแพงมาขอข้าวข้าพเจ้ากิน ทีนี้ข้าพเจ้าอยากได้อะไรมันก็ต้องยอม ท่านมังมหานรธา ข้าพเจ้ายินดีอนุญาตให้ท่านนำความคิดนี้ไปใช้กับทัพของท่านได้นะ หรือถ้าท่านจะถือทิฐิ หากตีโยเดียก่อนน้ำเหนือหลากมาไม่ได้ จะถอยทัพไปก่อนข้าพเจ้าก็ได้นะ"
มังมหานรธานิ่ง เสียหน้า เนเมียวสีหบดีมองด้วยสายตาเยาะเย้ย
"ตราบใดที่ไม่ได้เห็นแผ่นดินโยเดียวอดวายลงตรงหน้า ต่อให้ต้องตายคาสนามรบ ข้าพเจ้าจะไม่ยกทัพกลับอังวะเด็ดขาด"
งาจุ่นหวุ่นรีบเข้ามาไหว้เนเมียวสีหบดี
"ท่านเนเมียวสีหบดี ความคิดของท่านแยบยลนัก ข้าพเจ้า งาจุ่นหวุ่น จะขออาสานำทหารกล้าห้าร้อยไปบดขยี้ทำลายพวกบ้านระจัน ให้เป็นเกียรติลือเลื่องแก่ตัวเถิด"
"มันก็แค่พวกชาวบ้านบ้าบิ่น ไม่กลัวตาย คงไม่มีเกียรติแก่ท่านนักดอก งาจุ่นหวุ่น"
งาจุ่นหวุ่นหน้าเสีย
"แต่อย่างน้อย ก็ขอให้ข้าพเจ้าได้สอนให้พวกมันได้รู้จักรสดาบของชาวอังวะบ้าง จะให้ข้าพเจ้าอุดอู้อยู่แต่ในค่ายมันก็เบื่อเหมือนกัน คิดเสียว่าพาทหารออกไปฝึกอาวุธ จะได้ประโยชน์กว่า ข้าพเจ้าขอรับรองว่าพวกบ้านระจันจะต้องสิ้นชื่อก่อนน้ำเหนือหลากแน่นอน"
"งาจุ่นหวุ่น ท่านสมเป็นทหารของข้าจริงๆ เอาซิ ข้าขอแต่งตั้งให้ท่านเป็นผู้นำทหารไปปราบไอ้พวกระจันอย่าให้เหลือเป็นเยี่ยงอย่างแก่พวกคนไทย ฆ่ามันให้หมดทั้งค่ายได้เลย ไอ้คนพวกนี้เอามาเลี้ยงเป็นเชลย คงสอนให้เชื่องไม่ได้แล้ว"
งาจุ่นหวุ่นรีบออกไป เนเมียวสีหบดีหันมายิ้มให้มังมหานรธา
"ที่ค่ายสีกุกของท่าน มีทหารกล้าแบบนี้บ้างมั้ย ท่านมังมหานรธา"
มังมหานรธานั่งคอแข็ง เก็บความโกรธไว้
000000000000000000000
ที่ลานซ้อมดาบ ค่ายบางระจัน ทัพซ้อมดาบกับนายเมือง ทั้งสองฟันใส่กันไม่ยั้ง ทัพอาศัยจังหวะไวกว่า ฟันดาบนายเมืองหล่นพื้น ทุกคนตะลึง ทัพรีบวางดาบ คุกเข่าลงพนมมือไหว้นายเมือง
"ข้าขอสมาลาโทษพ่อเมือง ข้าไม่ได้ตั้งใจ"
"ลุกขึ้น ลุกขึ้น ไอ้ทัพ เอ็งไม่ได้ผิดอะไร ใครๆ ก็เห็นว่าข้าแพ้เอ็ง"
"พ่อเมืองผ่อนแรงให้ข้าต่างหาก"
"ไม่ใช่ ฝีมือดาบเอ็งรุนแรง เอ็งเก่งจริงๆ"
นายเมืองดึงทัพลุกขึ้นอย่างยอมรับ
"ข้าได้ยินว่าเอ็งเคยเป็นทหารกรุงศรี"
"พวกเราเคยเป็นทหารกรุงศรี สามคน ไอ้ทัพ ข้า ไอ้ขาบ พวกเราเคยไล่ฆ่ากันเอง เพราะถือว่าอยู่คนละฝ่าย แต่ตอนนี้ความเป็นเพื่อน ทำให้เรามาสู้ด้วยกันที่บ้านระจัน"
ทัพมองสังข์ขาบแล้วยิ้มให้กันอย่างลูกผู้ชาย
"คนพากันมาอยู่ในค่ายมากขึ้นทุกวัน หอบลูกจูงหลานหนีภัยศึกกันมา บางคนมาเพราะถูกคนกรุงศรีปิดประตูเมืองใส่หน้า หลายคนมาเพราะความแค้นแน่นอกเหมือนพวกเอ็ง อยากจะไล่ทัพอังวะให้พ้นแผ่นดิน"
นายแท่นพูด ทุกคนเห็นด้วย เสียงกลองรัวดังมาจากด้านหน้าค่าย
"พวกมันมากันอีกแล้ว" นายโชติบอก
ผู้ชายทุกคนพร้อมระวัง กำดาบกันแน่นทันที
ที่โรงครัว ผู้หญิงกำลังทำกับข้าว เสียงกลองศึกดังก้องได้ยินมาถึง บางคนวิ่งไปตีเกราะต่อ แฟงกำลังจุดเตา วางฟืนลงทันที วิ่งออกไป เฟื่องเรียกห้าม
"แฟง กลับมาก่อน"
เฟื่องลุกขึ้นแล้วเกิดหน้ามืด วูบลงนั่ง จวงรีบเข้ามาประคอง
"ไม่เป็นไร จวง พี่แค่หน้ามืดนิดหน่อย"
"พักนี้พี่เฟื่องไม่กินข้าวกินปลาเลย ฉันเห็นกินแต่ของเปรี้ยวๆ" สไบบอก
เฟี้ยมกับจันทร์มองจานมะม่วง แล้วสบตากัน
"เฟื่อง อาการเอ็ง เหมือนคนแพ้ท้อง"
เฟื่องมองแม่ด้วยความตกใจ
กลุ่มพ่อค่ายทั้ง 11 คนนั่งอยู่ด้านหน้า ด้านหลังคือกลุ่มทัพและนักรบทุกคน หลวงพ่อธรรมโชติหลับตาภาวนา ลืมตาขึ้นมองทุกคน
"พวกข้าจะออกศึกในชั่วครู่นี้ ครั้งนี้ ข้าทองแก้ว คนบ้านโพธิ์ทะเล"
"ข้าดอกไม้ คนบ้านตลับ"
"ข้าเมือง คนศรีบัวทอง"
"ข้าโชติ คนบ้านศรีบัวทอง"
"ข้าสี่คนจะขอนำกองกำลังพี่น้องเพื่อนตายชาวระจันออกไปสู้กับพวกอังวะ เพื่อรักษาชีวิตพ่อแม่ ลูกเมียพวกเหล่าข้าไว้" ทองแก้วประกาศ
"หากไม่สู้ พวกมันก็จะมาพรากเราไปจากกันอยู่ดี เราเกิดกันบนแผ่นดินนี้ ฉะนั้นแผ่นดินนี้ ดินทุกก้อน มันคือของเรา" ดอกไม้ย้ำบอก
"แผ่นดินนี้เราใช้ปลูกข้าวกินมาครั้งปู่ย่าตายาย พวกมันจะมาแย่งไป เรายอมไม่ได้" นายเมืองบอกหนักแน่น
"เราจะขอสู้ ถึงตายก็จะสู้" นายโชตประกาศ
หลวงพ่อธรรมโชติมองทุกคนที่เข้ามาขอพรเป็นกำลังใจ แล้วมาหยุดที่ทัพกับพวก ทัพพนมมือเอ่ยขึ้นเหมือนคำสัตย์สาบาน
"พวกข้าเคยเป็นข้าทหารในสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว แต่ศึกนี้เป็นศึกแรกที่พวกข้าจะร่วมรบกับพี่น้องบางระจัน สองแขนข้าจักขอทำศึกป้องกันค่ายระจันและพี่น้องบางระจันทุกคน ชีวิตข้าขอมอบให้แผ่นดิน เยี่ยงทหาร"
ใจกับเจิดเข้ามาทีหลัง นั่งอยู่ด้านหลังสุด คอยมองเหตุการณ์ทั้งหมด หลวงพ่อธรรมโชติมองทุกคนที่มากันพร้อมหน้า
"บัดนี้มากันพร้อมมูลมากหลาย ครบเป็นกองทหารแล้ว ศึกนี้พวกเจ้าจำต้องสู้เพื่อป้องกันลูกเมียพ่อแม่ที่เคารพรัก ก็ขอให้ตั้งมั่นในความกตัญญู มิใช่คิดแต่จะแก้แค้นถ่ายเดียว จงอาสาสู้ เอาชีวิตเลือดเนื้อถวายให้แก่แผ่นดินและเจ้าชีวิต หาใช่สู้เพราะความคึกคะนอง แล้วสวัสดีมีชัยจะเกิดแก่พวกเจ้า"
หลวงพ่อหยิบประเจียดออกมาถือไว้
"ประเจียดมงคลของอาตมา คือความห่วงใยแทนตัว ขอมอบให้นักรบบ้านระจัน จงปลอดภัยกลับมาทุกคน"
ทุกคนก้มลงกราบด้วยความศรัทธา หลวงพ่อสวมประเจียดลงให้ที่หัวพ่อเมือง พ่อดอกไม้ก่อน แล้วตามมาด้วยกลุ่มของทัพ
ทัพและคนอื่นๆ เดินออกมาจากในโบสถ์ หยิบดาบของตัวเองที่วางอยู่บนแคร่หน้าโบสถ์ เตรียมพร้อมจะออกไปรบ ลูกเมียที่คอยอยู่ด้านหน้าต่างเข้ามาอวยพรให้ด้วยความเป็นห่วง แฟงยืนมองอยู่อีกด้าน รีบเข้ามาหาทัพ
"พี่ทัพ ระวังตัวด้วยนะ เขาพูดกันว่ามันมากันมากกว่าเก่า"
"มันจะมากแค่ไหน ข้าก็จะสู้ เอ็งดูแลแม่พี่ด้วยนะ"
"พี่ไม่ต้องห่วง น้าจันทร์ก็เหมือนแม่ฉัน"
เจิดกับใจตามมาด้านหลัง ยืนอยู่ห่างๆ ไม่มีอาวุธ
"แล้วพี่เจิดพี่ใจไม่ไปช่วยพี่ทัพรบด้วยหรือ" แฟงถาม
"เออ ให้ฉันออกไปด้วยก็ได้นะ"
"อย่าเลย เจิด เอ็งยังไม่หายดี ลำพังพวกข้า พี่ทัพ ไอ้สังข์ ไอ้ขาบ พวกมันก็ยับหมดแล้ว" ฟักบอก
"ฉันยังไม่เคยได้รบกับพวกอังวะเลย" ใจเสนอตัว
"ศึกนี้ไม่จบเร็วหรอก เก็บแรงเอ็งไว้ เอ็งได้ฟันกับพวกอังวะแน่ ไอ้เจิด ไอ้ใจ" ขาบย้ำบอก
แฟงเข้ามากอดฟัก น้ำตาคลอ อวยพรให้มีชัยกลับมา
นักรบบ้านระจันยืนอยู่เต็มลานค่ายพร้อมรบ ทองเหม็น พันเรือง ยืนอยู่บนประรำให้กำลังใจ ปลุกขวัญนักรบ
"นักรบระจัน ออกไปฆ่ามัน"
นายทองเหม็นตะโกน ทองแก้ว ดอกไม้ นำขบวนนักรบชายเดินออกประตูระเนียดค่ายทันที นายโชติกับนายเมืองนำชายฉกรรจ์อีกขบวนออกไป หลวงพ่อธรรมโชติยืนอยู่บนซุ้มประตูค่าย ประพรมน้ำมนต์ลงมาให้กับเหล่านักรบที่กำลังเดินผ่านประตูออกไป
ทัพมองแฟงโปรยดอกไม้ ยิ้มให้ จวงโปรยดอกไม้ไปโดนหัวสังข์ สังข์คลำหัวแต่ก็ยิ้ม ขาบมองหาเฟื่อง เฟื่องถือดอกไม้ไว้ ก่อนจะตัดสินใจโปรยไปที่ขาบ ขาบยิ้มชื่นใจ
ที่ลานครัว เฟื่องหน้ามืดนั่งลง แฟงกับจวงเดินคุยกันตามมาด้านหลัง
"พี่เฟื่อง ไปพักที่เรือนก่อนมั้ยพี่"
"พี่เฟื่องเป็นอะไร"
"น้าเฟี้ยมบอกว่า พี่เฟื่องท้อง"
รุ่งเดินเข้ามาได้ยินก็พรวดถามทันที
"ฮ้า เฟื่องท้อง ท้องกับใคร"
"พี่รุ่ง ปากเหรอนั่น พี่เฟื่องเขามีผัวแล้วนะ พี่ขาบไง" จวงรีบบอก
"ฮึ ผัวเมียประสาอะไร ไม่เคยอยู่เรือนเดียวกัน"
"ไอ้พวกตาบอดสอดตาเห็นนี่ระวังเถอะ ส่ายลูกตาแอบดูชาวบ้าน ระวังแม่จะควักลูกตาออกมาเตะเล่น"
แฟงดุใส่ รุ่งวิ่งหนีไปทันทีเพราะกลัวฤทธิ์แฟง แฟงหันมาทางเฟื่อง
"พี่เฟื่อง อย่าไปสนใจเสียงนกเสียงกา พี่เฟื่องต้องสวดมนต์ไหว้พระ ต้องอธิษฐานให้พี่ขาบชนะกลับมา"
"พี่ท้อง"
"ทำไมล่ะ พี่เฟื่องท้อง ทำไมพี่เฟื่องไม่ดีใจ"
เฟื่องยิ้มเจื่อนเต็มที ทุกคนมอง เฟื่องหลบตา
"ดีใจสิ พี่ต้องดีใจ"
แฟงกุมมือพี่สาวไว้ เฟื่องมองน้องอย่างสับสน
สนามรบกลางป่า กองทหารอังวะที่มีมากมาย เคลื่อนพลมาตามแนวป่า งาจุ่นหวุ่นอยู่บนหลังม้า พูดขึ้นด้วยลำพองใจ
"พวกเอ็งคอยดู ชาวบ้านไร้วินัย ศึกแค่หยิบมือ ไม่ทันตะวันคล้อย ก็จะถูกตีนม้าข้าย่ำหัว จนวิ่งเข้าค่ายไม่ทันทีเดียว"
งาจุ่นหวุ่นเคลื่อนทัพมา พอพ้นแนวป่า มองเห็นไม่มีใครเลย
"ไม่เห็นเป็นอย่างข่าวลือ พวกเราเดินทัพมาจนจะถึงบ้านระจันมันอยู่แล้ว ไม่เห็นหัวพวกมันออกมาสะกัดกั้นทัพเราสักนิด หรือมันวิ่งหนีหัวซุกหัวซุนไปตั้งแต่ได้ยินเสียงกองม้าเราหายใจแล้ว"
งาจุ่นหวุ่นกับทหารหัวเราะ ทองแก้ว ดอกไม้ กับนักรบบางระจันก้าวออกมา งาจุนหวุ่นไม่ทันระวังว่าจะถูกล้อมก็ตกใจ นักรบบางระจันชูดาบ พุ่งเข้าหาทัพของงาจุนหวุ่น ทหารอังวะไม่ทันตั้งตัว โดนฟันล้มตายหลายคน งาจุนหวุ่นตกใจ ควบม้าฝ่าถอยไปอีกด้าน เพื่อตั้งหลัก ม้าของทหารหลายคนตามงาจุนหวุ่นไปทันที
ทหารอังวะแตกพ่าย หลายคนกำลังจะหนีหลบเข้าไปในแนวป่า นายเมืองกับนายโชติ พาพวกอีกกลุ่มพุ่งเข้ามาดักไว้ ทหารอังวะไม่คิดว่าจะถูกตลบหลัง โดนฆ่าฟันลงอย่างมาก งาจุนหวุ่นกับทหารกลุ่มหนึ่งควบม้ามาหยุดรอกลางป่า
"พวกมันหลอกเรา จัดกระบวนม้ากลับไปช่วยพวกเราเร็ว"
งาจุนหวุ่นพูดด้วยความโกรธ ตั้งแถวม้าหันหน้าไปสู้นักรบบางระจัน เสียงฝีเท้าม้ามาด้านหลัง งาจุนหวุ่นกับพวกหันไป ทัพนำกองทัพม้าบ้านคำหยาดโ