
'บางระจัน 13'
23 ม.ค. 2558
'บางระจัน 13'
นักรบบางระจันกลับมาด้วยรอยยิ้มที่ชนะศึกสไบเดินหาใจไปทั่ว ดอกรักไม่พอใจ
"หาเจอมั้ยล่ะไอ้ใจของเอ็ง"
สไบมองดอกรัก ไม่พอใจ
"ทีนี้เชื่อข้าหรือยังว่าไอ้ใจมันไม่ได้มาดี"
สไบฟังด้วยความกังวล
ใจยืนอยู่ตรงหน้าทัพกับแฟง ทัพมองใจ
"เอ็งมาอยู่ตรงนี้ได้ยังไง ใจ"
"ฉันแอบตามพวกในค่ายออกมา อย่าเพิ่งถามอะไรเลย แฟง พาทัพไปในค่ายก่อน เราต้องรีบหาว่านมาช่วยแก้พิษ"
"ข้าไปไม่ได้"
"เราต้องรีบไป ไม่งั้นพิษจะวิ่งไปทั้งตัว"
"ข้าไปไม่ได้ ข้าต้องรอ"
"รอไม่ได้แล้ว ต้องไปเดี๋ยวนี้"
"ข้าไปคนเดียวไม่ได้"
แฟงฟังแล้ว สังหรณ์ใจ
"พี่เฟื่อง พี่เฟื่องมาด้วยใช่มั้ย"
"ไอ้ทัพ"
เสียงเรียกของสังข์ดังมาจากด้านหลัง แฟงกับใจหันไปมองทันที สังข์นำขบวนกองคาราวาน เฟื่อง จวง ขาบ และชาวบ้านจากบ้านพรานเข้ามา
"พี่เฟื่อง"
"แฟง"
แฟงวิ่งเข้าไป กราบเฟื่องที่อก เฟื่องน้ำตาคลอ
"พี่เฟื่อง ฉันผิดไปแล้ว"
เฟื่องลืมเรื่องผิดใจที่ผ่านมาทั้งหมด กอดแฟงด้วยความคิดถึง
"แฟง แม่เป็นยังไงบ้าง"
"แม่คิดถึงพี่เฟื่องทุกวัน ฉันก็คิดถึงพี่"
สองพี่น้องกอดกันด้วยความคิดถึง ทัพดีใจ แต่จู่ๆ ความปวดแปลบแล่นเข้าที่แขน ทัพเข่าอ่อน ทรุดลง
"พี่ทัพถูกลูกดอกอาบยาพิษ ช่วยพี่ทัพด้วย"
แฟงบอก ทุกคนตกใจ
ที่ลานหน้าเรือนฟัก ในค่ายบางระจัน สังข์กับใจช่วยกันหามทัพเข้ามา ฟักรีบนำมาว่างที่แคร่ใต้ต้นไม้
"พี่ทัพ ไปยังไงมายังไงถึงเจอพี่ทัพกันได้"
ทัพเจ็บปวดจากพิษที่กำลังแล่นแปลบไปทั้งร่าง แต่ก็กัดฟันทนเจ็บ สังข์ทำท่าจะดึงลูกดอก ใจร้องห้าม
"ถ้าดึง ก็ตาย ฉันจะไปหายาแก้พิษ อย่าให้หลับ หาอะไรให้กินเพื่อขย้อนของในท้องออกมา"
ใจสั่งแล้ววิ่งออกไปทันที
"เอาไงดีวะ" สังข์ถาม
"ก็ทำอย่างที่ไอ้ใจนั่นมันบอก" ขาบบอก
"เชื่อมันได้ยังไง ข้าว่าดึงลูกดอกออกก็สิ้นเรื่อง"
สังข์ยังดื้อ ฟักกระชากสังข์ผลักออก
"หยุดเลยไอ้สังข์ อย่าแตะต้องพี่ทัพ"
"ใจเย็นไอ้ฟัก ข้ากับไอ้สังข์ไม่ได้คิดร้ายกับไอ้ทัพ"
"น้ำหน้าอย่างพวกเอ็ง เพื่อนชั่ว ใครจะเชื่อวะว่าไม่คิดร้ายได้ ถุย"
"มึงถุยกูเหรอวะ ไอ้เอิบ"
สังข์โมโห จะลุยเข้าไป ขาบดึงไว้ ทัพเห็นสองฝ่ายไม่ถูกกัน ก็พยายามยันตัวลุกขึ้นห้าม แต่ฝืนไม่ไหว ร่วงลงกับพื้น ทุกคนตกใจ ทัพสะลึมสะลือ สังข์รีบเข้ามาเขย่าเพื่อน
"ไอ้ทัพ เอ็งอย่าหลับนะ"
"อ้าว ไหนเอ็งว่าไม่เชื่อไอ้ใจ"
"โว้ย พวกมึงจะหยุดกัดกันสักประเดี๋ยวได้มั้ยวะ ดูนั่น ไอ้ทัพไม่ได้จะตายเพราะพิษลูกดอก แต่จะตายเพราะมัวแต่ห้ามพวกมึงกัดกันนี่แหละ"
หมู่เคลิ้มพูดด้วยความโมโห ทุกคนหันไปมองทัพอย่างเป็นห่วง
แม่ครัวรีบต้มสมุนไพรให้ทัพ แฟงเร่งร้อนใจ พอยาเดือดก็รีบถือหม้อยาจะไปให้ทัพ เฟื่องจะตามไป แต่เฟี้ยมเรียกไว้
"มาเล่าให้แม่ฟังให้หมด เอ็งสองคนถูกไอ้สังข์ ไอ้ขาบจับไป มันทำอะไรเอ็งมั่ง เล่ามาเถอะ รู้มั้ย แม่ร้องไห้คิดถึงเอ็งทุกคืนเลยนะ"
เฟื่องกอดแม่ร้องไห้หนักขึ้น จวงมองเฟื่อง หน้าเจื่อนๆ จันทร์เองก็ถาม
"เอ็งด้วย จวง มาเล่าสิว่าไอ้ขาบ ไอ้สังข์มันทำอะไรเอ็งบ้าง แล้วทำไมพี่ทัพถึงตามไปช่วยเอ็งได้"
เฟื่องกับจวงสบตากัน ลำบากใจ
สไบเดินมาตามทางในค่าย ดอกรักเดินตามหลังมา
"พี่จะไปไหนก็ไป อย่ามาเดินตามฉัน"
"สไบ พี่เตือนเพราะห่วงเอ็งจริงๆ"
สไบวิ่งหนี ดอกรักวิ่งตาม ไม่ทันมอง ชนกับแฟงที่ถือหม้อยาเข้ามา หม้อยาตกแตก แฟงมองดอกรัก โกรธมาก รีบวิ่งไปหาทัพ ดอกรักสารภาพว่าเขาทำหม้อยาตกแตก แฟงร้อนใจถามหาใจที่ออกไปหายาแก้พิษ
"นั่นน่ะสิ ไอ้ใจมันไปหายาถอนพิษถึงไหน หรือจะปล่อยให้ไอ้ทัพมันตายเสียก่อน" สังข์ร้อนใจ
"คนที่อยากให้พี่ทัพตาย มันก็มีแต่ไอ้เพื่อนชั่ว สองคน"
แฟงหันไปมองสังข์กับขาบ สังข์หันขวับ
"เออ ใช่ แต่ก่อนข้าอยากให้มันตาย แต่ตอนนี้ข้ารักนับถือน้ำใจไอ้ทัพเท่าชีวิตข้า"
"สันดานงูพิษ มันไว้ใจไม่ได้หรอก"
"เอ็งไว้ใจพวกข้าได้ แฟง ความดี ความเสียสละของไอ้ทัพมันเปลี่ยนสันดานชั่วของข้าสองคนไปแล้ว"
แฟงมองสังข์ ขาบอย่างระแวง
"พี่ทัพต้องไม่เป็นอะไร พี่ใจต้องหายามาช่วยพี่ทัพได้" สไบมั่นใจ
ใจเข้ามาในป่าลึก เจิดยืนรออยู่พุ่งเข้ามากระชากคอใจ
"ฉันรู้ว่าพี่ต้องมารออยู่แถวนี้"
"สยาโกรธมากนะอองนาย ทำไมแกต้องช่วยคนไทย ตามฉันกลับไปที่ค่าย"
"ยังไปไม่ได้พี่อูทินลิน ฉันต้องได้ยาแก้พิษไปช่วยเขาก่อน ฉันรู้ว่าพี่มี"
"ไอ้ทัพมันเก่ง ตายไปเสียได้จะดีกับเรา"
"ฉันปล่อยให้เขาตายไม่ได้ เขาเคยช่วยชีวิตฉัน"
"แต่พวกมันเป็นศัตรูของเรา"
"พี่อูทินลิน ที่เราแกล้งช่วยคนไทยเพราะต้องการสร้างบุญคุณ แล้วมันก็ได้ผล เขาถือเป็นบุญคุณที่ต้องตอบแทน คนไทยใจบุญ ถือนักหนาว่าใครเคยช่วยเหลือจะนับเป็นพี่เป็นน้อง"
เจิดมองใจ
"ทัพกับฉันสาบานเป็นพี่น้องกันแล้ว ถ้าคราวนี้ช่วยให้เขารอด ฉันจะอยู่ในค่ายระจันได้อีกนาน คนอย่างไอ้ทัพจะพาฉันไปถึงตัวพ่อค่ายได้ทุกคน"
"กว่าจะถึงป่านนั้น แกก็คงใจอ่อนกลายเป็นคนไทย"
"ฉันรู้ว่าฉันเป็นใคร ไม่เคยลืมว่าฉันมาที่นี่เพื่อทำให้กองทัพของเรามีชัยเหนือกรุงศรี ขอยาแก้ให้ฉันเถอะพี่อูทินลิน แล้วแผนของเราจะสำเร็จ"
เจิดตัดสินใจหยิบว่านอันเล็กที่ห่อไว้ด้วยแผ่นผ้าลงอักขระ ส่งให้ใจ
"สยาบอกว่า คนใจอ่อนอย่างแกต้องมาขอยาแก้พิษไปให้คนไทย ยานี้ สยากำกับคาถาไว้ว่าเมื่อไหร่ที่แกผิดคำสาบาน สยาบอกว่าเมื่อนั้นคมดาบไอ้ทัพจะบั่นคอแกเอง"
เจิดส่งยาให้ ใจลังเล ก่อนจะรับมากำไว้อย่างมีความหวังว่าจะต้องช่วยทัพได้
ทัพหนาวสั่น ไข้ขึ้น เพ้อไม่ได้สติ สังข์ทนไม่ได้จะดึงลูกดอกออก ใจถือหัวว่านวิ่งเข้ามา ง้างปากทัพ เอาว่านชิ้นเล็กใส่เข้าไปในปาก ทัพไม่รู้สติ ถุยออกมา ใจหยิบว่านเอาใส่ไปใหม่แล้วปิดปากทัพไว้
"อมไว้ทัพ อมยานี้ไว้ แล้วพิษจะออกมาทั้งหมด"
อยู่ๆ ทัพดิ้นแรง เพราะยากำลังเข้าไปขับพิษ ปวดแสบปวดร้อนไปทั้งร่าง ทุกคนเป็นห่วง แต่แล้วทัพก็อาเจียนออกมา เป็นเลือดสีดำคล้ำ ทุกคนผงะ ทัพอาเจียนออกมาอีกครั้ง ใจดึงลูกดอกออกหลังจากนั้นทันที ทัพร้องลั่น ก่อนจะสลบไปกับพื้น
"ทัพรอดตายแล้ว"
แฟงเข้าไปประคองทัพขึ้นมา ใจหันไปมองสไบยิ้มให้ แต่สไบสีหน้าไม่ดี จนใจรู้สึกได้
ที่ลานประชุม พ่อค่ายกับชาวบ้านกำลังกินดื่ม พูดคุยกันถึงตอนไปรบกับอังวะ ทุกคนสีหน้าสดชื่น นายทองเหม็นกอดไหเหล้า พูดขึ้นท่ามกลางบรรยากาศแห่งชัยนะ
"ข้าล่ะสุขใจเหลือเกิน ที่ดาบชาวค่ายบ้านระจันได้ดื่มเลือดศัตรูทุกคน"
ชาวบ้านเฮ พ่อค่ายทุกคนยิ้มแย้มกับชัยชนะ พันเรืองเอ่ยขึ้น
"ศึกนี้ยังไม่จบ พวกมันต้องมาที่นี่อีก"
"เราจะไม่หนีไปไหน จะปักหลักสู้ตายที่นี่" นายทองแสงใหญ่ย้ำ
นายจันหนวดเขี้ยวลูบหนวดโง้งเรียวงาม
"ขอให้ข้าศึกมันแห่กันมาเถิด พวกเราจะสู้"
นายแท่นดึงดาบ ชูขึ้น
"บ้านระจันจะรบ รบเพื่อแผ่นดินตัวเอง"
ทุกคนชูมือตามพ่อค่าย แววตาฮึกเหิม ใจแอบมองอยู่ คิดหนัก พอหันกลับมาก็เจอสไบจ้องอยู่
"วันนี้พี่หายไปไหนมา"
สไบถามด้วยเสียงเคลือบแคลงใจ
"สไบคิดว่าพี่หนีออกไปทำอะไร"
"ฉันไม่ได้คิด แต่คนอื่นคิด"
"ดอกรักสินะ"
"แล้วยังเรื่องที่พี่รู้วิธีแก่พิษของพี่ทัพ"
"พี่เคยเป็นพรานป่านะสไบ เราใช้ลูกดอกล้มสัตว์ใหญ่มาก่อน หรือถ้าสไบคิดว่าพี่หายไปเพราะคิดไม่ซื่อ ก็บอกมาคำเดียว พี่จะออกไปจากค่าย"
"ฉันไม่อยากให้พี่ทำตัวลับๆ ล่อๆ น่าสงสัย"
"พี่รู้ว่าเป็นคนใหม่ มีคนไม่ชอบหน้าพี่ พี่ต้องทำความดีให้มากกว่าคนอื่นๆ พี่ลอบตามออกไปเผื่อจะช่วยอะไรได้บ้าง หรือว่าสไบเห็นพี่เป็นคนไม่ซื่อ"
สไบเงยมองใจ ใจโอบกอดสไบไว้ในอกอย่างนุ่มนวล
"หัวใจพี่มีแต่สไบ พี่รักสไบ สไบก็รักพี่ใช่มั้ย" สไบอาย
"พูดให้พี่ชื่นใจสักคำได้มั้ย"
"ทำไมต้องให้พูด"
"สไบอยากไปกับพี่ไหม เสร็จศึกนี้ พี่อยากให้เราอยู่ด้วยกัน"
ใจโอบกอดสไบไว้ รู้สึกอย่างที่พูด
"พี่ไม่อยากห่างจากสไบ ถ้าสไบรักพี่ ไม่รังเกียจพี่ พี่จะขอเป็นคนดูแลสไบจนกว่าแผ่นดินจะกลบหน้า"
"พี่ใจพูดน่ากลัว"
"อย่ากลัวเลย สไบ ในอ้อมกอดพี่ สไบไม่ต้องกลัวอะไร"
"พี่ใจ ชีวิตฉันขอฝากไว้กับพี่นะ"
ใจยิ้มมีความสุข ดึงสไบมากอดไว้
000000000000000000
ทัพครึ่งนั่งครึ่งนอนอยู่ที่แคร่ เฟื่องยกสำรับเดินเข้ามา มองทัพด้วยความสงสาร ดึงผ้าห่มให้ ทัพจับมือเฟื่องไว้ ค่อยๆ ลืมตามอง แฟงถือสำรับข้าวเดินมา เห็นทัพจับมือเฟื่องก็หน้าเสีย หลบมอง
"พี่ทัพเป็นยังไงบ้าง"
เฟื่องค่อยๆ ดึงมือออกจากทัพ ทัพยิ้มน้อยๆ
"ค่อยยังชั่วแล้ว"
"ฉันทำข้าวต้มเกลือ กับทอดปลาช่อนมาให้"
"ของชอบพี่"
"ฉันจำได้"
แฟงมองเฟื่องกับทัพยิ้มให้กันแล้วบาดใจ ค่อยๆ หลบออกไปผ่านหน้าเรือนสังข์ สังข์กับขาบนั่งกินข้าวอยู่หน้าเรือน แฟงมองทั้งสองคนก็ชักสีหน้า สังข์กับขาบตะโกนถามแฟง
"เอาข้าวไปให้ไอ้ทัพมาหรือ อาการเป็นยังไงบ้าง กำลังว่ากินอิ่มแล้วจะไปหามัน" สังข์ร้องถาม
"ไม่ต้องไปหรอก พี่ทัพคงหายเร็วถ้าไม่มีแกสองคนโผล่หน้าไป"
"แฟง ใจเย็นๆ นั่งก่อนซิ เดี๋ยวพี่จะเดินไปส่ง"
ขาบเข้าไปช่วยยกสำรับ ดึงแขนแฟงให้มานั่ง แต่แฟงสะบัดแรง
"อย่ามาแตะตัวข้า ไอ้พวกเสนียด"
"แม่เจ้าโว้ย แม่แฟงเนื้อทอง จะบอกให้นะ ข้า ไอ้ขาบ ไอ้ทัพน่ะกลับมาเป็นเพื่อนรักกันแล้ว"
"พี่ทัพยกโทษโปรดสัตว์ แต่ข้าไม่ อย่านึกว่าที่พวกเอ็งฉุดคร่าพี่เฟื่องกับจวงไป อย่านึกว่าข้าจะลืมง่ายๆ"
"ยังไงเอ็งก็เลี่ยงพวกข้าไปไม่พ้น เราเป็นญาติกันแล้วนะ แฟง"
แฟงยิ่งมองขาบ สังข์ ด้วยสายตาเกลียดชัง
"ข้าไม่มีวันนับญาติกับเอ็งสองคน"
"ข้าเป็นผัวจวง ส่วนไอ้ขาบเป็นพี่เขยเอ็งนะแฟง"
"หุบปาก อย่าพูดเรื่องบัดสีออกมาจากปากโสมมของพวกเอ็ง ข้าไม่มีวันเชื่อ"
"ข้าไม่ได้ข่มเหงน้ำใจเฟื่องนะ เฟื่องเขาเต็มใจ"
"ไม่จริง พี่เฟื่องรักกับพี่ทัพ"
"เองก็ถามเฟื่องดูซิ ข้ากับเฟื่องรักกันจริงๆ"
"ถ้าพี่เฟื่องรักเอ็งจริง เขาต้องอยู่กับเอ็งซิ นี่เขากำลังป้อนข้าวพี่ทัพอยู่"
ขาบสะเทือนใจ
"เอ็งจำไว้ ความเลวของเอ็ง ข้าจะไม่มีวันให้อภัย"
แฟงเดินออกไปทันที ขาบหน้าสลด รู้สึกผิดและอึดอัดที่แฟงประณามความผิดของตัวเอง
ทัพมองเฟื่องป้อนข้าวต้ม แล้วนึกละอายใจเมื่อรู้ว่าเฟื่องเป็นเมียขาบ
"พี่อิ่มแล้ว"
"ยังไม่หมดจานเลยนะจ๊ะ"
"เอ็งไปเสียเถอะ เฟื่อง พี่อยู่คนเดียวได้"
"พี่ทัพ ยังเจ็บ"
"พี่บอกให้ไป"
เฟื่องตกใจ วางชามข้าวต้มลง
"เจ็บแค่นี้ พี่ไม่ตาย เอ็งไปเสีย เฟื่อง"
"พี่ไล่เพราะพี่ชังน้ำหน้าฉันแล้วหรือ"
"อย่าให้พี่ต้องพูดเลย เฟื่อง แต่ต่อไป เอ็งอย่าอยู่ใกล้พี่อีก เอ็งไปอยู่กับไอ้ขาบโน่น"
ทัพลุกเดินหนีทั้งๆ ที่ยังเจ็บ เฟื่องเสียใจ ฟักเดินออกจากเรือนมาเห็น ทัพพยายามข่มใจ เหมือนไม่สนใจความรู้สึกของเฟื่อง
"ถึงพี่จะไล่ ถึงพี่จะชังฉันแค่ไหน แต่ฉัน ฉันก็ยัง ยัง"
เฟื่องไม่กล้าพูดว่ายังรักทัพอยู่ ได้แต่เดินร้องไห้ออกไป ทัพขยับจะตาม แต่นึกได้ว่าไม่เหมาะ เฟื่องหันกลับมามองทัพ เห็นทัพหันหลังให้
"ไปซะ เฟื่อง เอ็งไม่ใช่ของพี่ เอ็งคือเมียรักของไอ้ขาบ เอ็งไม่ใช่เฟื่องคนรักใต้ตาล 5 ต้นคนนั้นอีกแล้ว"
เฟื่องเสียใจ เดินออกไป ฟักมองเริ่มเข้าใจ
สไบเดินออกมาเห็นแฟงนั่งเศร้าอยู่ตรงแคร่ หน้าเรือน
"ห่วงพี่ทัพล่ะสิ"
"ฉันจะต้องไปห่วงอะไรพี่ทัพ"
"เสียงกระเง้ากระงอดแบบนี้ คงทะเลาะกับพี่ทัพ"
สไบถามยิ้มๆ แต่แฟงไม่สนุกด้วย เฟื่องเดินปาดน้ำตามา เลี่ยงจะขึ้นเรือน แฟงถามขึ้น
"พี่เฟื่อง ไอ้ขาบ มัน"
"พี่จะเข้านอนแล้ว"
"พี่เฟื่อง ไอ้ขาบมันบอกว่าพี่เป็นเมียมัน พี่รักไอ้ขาบหรือ"
เฟื่องน้ำตาไหลพรากด้วยความอัดอั้น กอดแฟงแน่น
"พี่ไม่ได้รักพี่ขาบ ถึงเป็นเมีย ก็ไม่ได้รัก"
แฟงสงสารเฟื่อง อยากให้กำลังใจพี่สาว
ขาบนั่งตบยุงหน้าเรือนรอเฟื่อง สังข์กินเหล้าอยู่ก็บ่นขึ้น
"เมียเอ็ง เมียข้า ป่านนี้คงไม่กลับมาแล้วล่ะวะ ความหน้ามืด ไม่รู้ผิดรู้ถูกแท้ๆ เอ็งกับข้าถึงเอาชนะใจจวงกับเฟื่องไม่ได้ ก็สมควรแล้วที่แฟงมันจะเกลียดขี้หน้าเรา"
ขาบทนไม่ไหว ลุกเดินออกไป สังข์มองตามซึมๆ
ทัพนั่งมองเหม่อด้วยความเศร้าเรื่องเฟื่อง ฟักเข้ามา
"ฉันเคยหวังว่าจะได้พี่เป็นพี่เขย แต่กลับกลายเป็นไอ้ขาบ พี่ยังรักเฟื่อง น้องฉัน อยู่มั้ยพี่ทัพ"
"อย่าถามข้าแบบนี้เลยฟัก คนอย่างข้า ไม่มีวันแย่งของรักของเพื่อน"
"แต่เฟื่องกับพี่เคยรักกันมาก่อน"
"วาสนาข้ากับเฟื่อง แค่ได้รัก แต่ไม่ได้ร่วมชีวิต ต่อแต่นี้ขาบต่างหากที่เป็นคนที่เฟื่องมันต้องร่วมชีวิต มันจะต้องซื่อสัตย์ อยู่ด้วยกันไปจนตาย"
ทัพเศร้า พยายามตัดใจ
แฟงกอดพี่สาวไว้อย่างเห็นใจ เฟื่องน้ำตาไหลพรากด้วยความคับแค้นใจเรื่องขาบ
"พี่ไม่ได้รัก ไม่ได้อยากเป็นเมียพี่ขาบ"
"โธ่ พี่เฟื่อง"
"แต่เมื่อเป็นไปแล้ว ก็บอกความทุกข์กับใครไม่ได้ พี่คงกรรมหนักเหลือเกิน แฟง"
"อยู่ที่นี่แหละ พี่เฟื่อง อยู่กับฉันกับแม่ ไม่ต้องกลับไปเรือนมัน ถ้าไอ้ขาบมาตาม ฉันจะเอาดุ้นฟืนตีหัวมันเอง"
เฟื่องร้องไห้ไม่หยุด
ขาบเดินมาตามหาเฟื่อง หยุดชะงักมองอยู่ไกลๆ เห็นทัพนั่งคุยกับฟัก เอิบ ช่วง และหมู่เคลิ้ม ไม่มีเฟื่อง ขาบโล่งใจ
สังข์เดินมาตะโกนหน้าเรือนแฟง ด้วยความเมา
"น้องจวงจ๋า กลับเรือนเราเถอะจ้ะ พี่สังข์หนาวแล้ว น้องจวง ถ้าไม่ออกมา พี่สังข์จะลุยเข้าไปอุ้มน้องนะ"
จวงเปิดประตูพรวดออกมา
"เงียบเลยไอ้สังข์ ตะโกนทำอะไร อายชาวบ้านชาวช่องเขา"
"พี่สังข์ไม่อายหรอกจ้ะ มามะ เมียรักของพี่สังข์ กลับเรือนเราเถอะนะ พี่สังข์ปัดกวาดที่หลับที่นอนไว้ให้แล้ว"
"ไอ้สังข์"
"จ๋า"
สังข์ลอยหน้า จวงผลักอย่างแรง สังข์เซ ตกเรือนไป
"เอ็งนอนคนเดียวเถอะ ฉันจะอยู่กับแม่"
จวงปิดประตูเข้าไป สังข์ไม่ยอมแพ้ ลุกจะขึ้นเรือน
"จวง ไม่เห็นใจพี่สังข์เหรอจ๊ะ ไหนสัญญาว่าจะยอมเป็นเมียพี่ จวงไม่รักษาสัญญา พี่จะตะโกนให้ลั่นเลยนะ ว่าจวงใจร้าย"
"เงียบ"
สังข์ถูกดุ ก็หุบปากทันที
"กลับไปก่อน ยังไม่ใช่คืนนี้"
"แล้วคืนไหนล่ะ"
จวงถลึงตามอง วิ่งหาไม้มาถือ สังข์รีบลงเรือนไป มองตาละห้อย กลับเรือนไปด้วยความกลุ้มใจ ขาบนั่งเหม่ออยู่
"สุดท้ายมึงกับกูก็ถูกผู้หญิงถีบหัวส่ง ถามจริงๆ เถอะไอ้ขาบ มึงได้นังเฟื่องมันจริงๆ ใช่มั้ย"
"รึว่า มึงยังไม่ได้นังจวงเป็นเมีย"
สังข์ไม่กล้าสบตา รู้สึกเสียหน้า
"มึงอย่าบอกกูนะว่ามึงไม่กล้า ถุย ไอ้ขี้โม้ ผู้ชายอย่างมึงนี่ดีแต่ปากจริงๆ ยังมิทันไร ก็กลัวเมีย"
"มึงอย่าปากหมานะ ถึงอย่างไรมึงก็อดแห้วเหมือนกู"
"มึงมันตาขาวทั้งคู่แหละ"
สังข์ ขาบ หยุดทะเลาะกันหันมาตามเสียง ทัพเดินเข้ามายืนมอง
"มึงมันกล้าแต่ในสนามรบ แต่เรื่องผู้หญิงกลับตาขาว ทำไมมึงไม่ไปขอเฟื่องกับจวงให้ถูกต้องตามประเพณี ทำลับๆ ล่อๆ แบบนี้ ผู้หญิงเขาอาย"
"กูกลัวแม่มึงไม่ยกจวงให้กูน่ะซิ"
"มึงทำกับจวงจนอับอายไปทั้งบางเสียขนาดนี้ มึงคิดจะขอสมาแม่กูสักนิดมั้ย"
"กูจะเอาอะไรไปสมาแม่มึง ยามศึกยามสงครามเยี่ยงนี้กูมีแต่ดาบ"
"ก็ยิ่งดีซิ มึงจะได้ไม่ต้องเสียสินสอด แม่กูจะกล้าเรียกสินสอดอะไรมึงนักหนา ขอให้มึงรับปากกับแกว่าจะรักน้องกู ดูแลน้องกูตลอดไป แม่กูก็ไม่อะไรแล้ว มึงด้วยไอ้ขาบ"
"แล้วกูจะหาผู้ใหญ่ที่ไหนไปสู่ขอ" ขาบถาม
"ก็พ่อค่ายบางระจันไง มึงมารบร่วมตายกับพวกพ่อๆ เขา มีรึเขาจะใจจืดใจดำไม่ยอมเป็นเฒ่าแก่สู่ขอผู้หญิงให้มึง พรุ่งนี้มึงเตรียมตัว เจียมเนื้อเจียมตัวกันให้ดี กูจะพาไปหาพ่อค่ายระจัน"
สังข์ ขาบมองหน้ากัน อายทัพมาก
ตอนเช้า ทัพ สังข์ ขาบ เข้ามารายงานตัวต่อหน้าพ่อค่ายทั้ง 5 คน ด้านข้างคือกลุ่มของฟัก นั่งอยู่ด้วย
"ฉันชื่อทัพ คนทุ่งคำหยาด มากับเพื่อนรัก ไอ้สังข์ ไอ้ขาบ แล้วก็คนจากบ้านพรานที่หนีภัยศึก มาขอพึ่งค่ายบ้านระจันเป็นที่ซุกหัว แต่พวกฉันจะไม่อยู่เปลืองข้าวเปลืองน้ำ จะขอเป็นกองอาสาออกฟันข้าศึกให้ยับ"
"ฉันชื่อ สังข์ เคยเป็นทหารกรุงศรี พอมีฝีมืออยู่บ้าง"
"ฉันชื่อ ขาบ ขอเป็นกองอาสาเดียวกับเพื่อน ไอ้ทัพ ไอ้สังข์"
"ไอ้ฟักกับหมู่เคลิ้มมันเล่าเรื่องเอ็งสามคนให้ข้าฟังแล้ว ข้าเต็มใจรับพวกเอ็งมาช่วยไล่ศัตรู แต่เห็นว่าไอ้ทัพโดนลูกดอกพิษเข้า รู้มั้ยว่าพวกไหนทำ" นายพันเรืองถาม
"ไม่รู้เหมือนกันจ้ะพ่อ พอโดนเข้า มันก็หนีไป ไม่ทันตาม ฉันก็ล้มลงเสียก่อน"
"ข้าต้องเตือนให้พวกเราระวัง ถ้าเป็นพวกศัตรู อาวุธมันก็ร้ายนัก"
นายแท่นมองทัพหน้าซีดๆ แล้วเอ่ยขึ้น
"ข้าดูสีหน้าเอ็งยังเจ็บ"
"มันยังปวดแปลบที่แผล"
"มา ตามข้ามา ข้าจะพาไปหาหลวงพ่อธรรมโชติ รับรองว่าเอ็งหายเป็นปลิดทิ้ง"
ทัพ สังข์ ขาบมองด้วยความสงสัยว่านายแท่นพูดถึงใคร
พระอาจารย์ธรรมโชตินั่งอยู่ข้างๆ พระประธาน ดูรอยแผลทัพ
"ที่เอ็งปวดไม่ใช่พิษที่โดน"
"หลวงพ่อหมายถึงอะไร กระผมโดนอะไร"
"เอ็งตามมานี่"
หลวงพ่อธรรมโชติพาทั้งสี่มาที่บ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์ เอากะลาตักน้ำขึ้นมา บริกรรมคาถา แล้วราดลงบนหัวทัพ ทัพสะดุ้งเฮือกด้วยคาถาที่หลวงพ่อกำกับ ช่วยถอนรากถอนโคนพิษ สังข์ ขาบ นายแท่นตกใจ
ทัพตัวสั่น หลวงพ่อธรรมโชติบริกรรมคาถา แล้วตักน้ำราดลงหัวทัพอีกที ทัพกุมท้องแล้วขย้อนออกมา เป็นน้ำเหลืองๆ ที่ซึมลงดินหายไปอย่างรวดเร็ว
"หลวงพ่อ น้ำเหลืองๆ จากปากไอ้ทัพนั่นมันอะไรกัน" สังข์ถาม
"ข้าล้างคาถาที่คนมีวิชามันเอามาใส่ในตัวเจ้า"
"คนมีวิชา ใครกัน หลวงพ่อ" ขาบสงสัย
"มันว่าคาถากำกับ ไม่ให้ใครตามรอยเจอ"
"เอ็งเป็นยังไง" นายแท่นถามทัพ
"หายปวดแล้ว หายเป็นปลิดทิ้งจริงๆ กระผมกราบหลวงพ่อเป็นพระคุณยิ่ง"
"จงรักษากาย รักษาใจให้แกร่งเช่นนี้ พวกเอ็งจะทำคุณให้บ้านให้เมืองได้อีกมาก"
ทัพยิ้ม ปลาบปลื้มใจ ก้มลงกราบแทบเท้าหลวงพ่อ หลวงพ่อมองด้วยสายตาสงบ แล้วเดินกลับไปทางวิหาร ทัพหันไปมองนายแท่น
"ฉันดีใจเหลือเกิน พี่แท่น หลวงพ่อบอกว่าฉันจะช่วยบ้านช่วยเมืองได้"
"หลวงพ่อธรรมโชติท่านมีคุณเรื่องวิทยาอาคมจริงๆ ดูแล้วรู้เลยว่าไอ้ทัพมันเจ็บเพราะมีของสกปรกในตัว"
"แล้วใครเป็นคนเอาของมาใส่ไอ้ทัพ"
ขาบถามขึ้น ทุกคนมองหน้ากัน สังข์โพล่งขึ้นมา
"ตั้งแต่ที่ไอ้ทัพโดนพิษ ก็มีแต่ไอ้ใจนั่นที่เอาว่านมาให้เอ็งกิน"
"ไอ้ใจ" ทัพลังเล ไม่แน่ใจขึ้นมาทันที
00000000000000000000
ที่ศาลาการเปรียญ หน้าวิหาร สังข์กำลังพันผ้าทับแผลให้ทัพอยู่
"เอ็งไม่เจ็บแล้วทำไมยังต้องพันผ้าอีกวะ" ขาบสงสัย
"ฉันไม่อยากให้ใครสงสัย" ทัพบอก
"มันจะทำร้ายเอ็งทำไม" สังข์แปลกใจ
ทัพไม่ตอบ
"งั้นก็ไป อย่างน้อยมันก็ต้องรู้ว่าใครทำ ถึงได้เอาว่านมาถอนพิษถูก" สังข์บอก
"ถ้าคิดร้ายกันขนาดนี้ก็อย่าอยู่ร่วมค่ายเดียวกันเลย" ขาบแค้น
ทัพพยายามคิดว่าทำไมใจถึงทำแบบนี้
ใจแบกฟืนมาวางให้ที่โรงครัว ทัพ สังข์ ขาบเดินเข้ามาหา
"อยู่นี่เองหรือใจ"
"พี่ทัพมีอะไรจะใช้ฉันหรือ"
"ไม่มีอะไรจะใช้ แต่มีอะไรจะคุยด้วย"
สังข์มองใจอย่างคนไม่ถูกชะตา ขาบถามขึ้น
"เอ็งไปเอาว่านที่ไหนมาให้ไอ้ทัพกิน แล้วเอ็งรู้ได้อย่างไรว่าไอ้ว่านนี่ถอนพิษได้"
แฟงชักสีหน้ามองสังข์กับขาบ
"เอ๊ะ เอ็งสองคนนี่นิสัยพาลไม่เลิก พี่ทัพกินแล้วหายพวกเอ็งยังจะหาเรื่องอะไรอีก"
สังข์ ขาบ กำลังจะห้ามแฟงยุ่ง ก็พอดีเสียงเฟี้ยมกับจันทร์ดังขึ้น
"นั่นไง นังเฟี้ยม ไอ้ลูกเขยของเรา"
"แล้วนั่นก็ลูกเขยเอ็งด้วย"
สังข์ ขาบ หน้าเสีย จันทร์กับเฟี้ยม ยืนมองอย่างไม่พอใจ แฟงยิ้มเยาะ
"ไปเลย ไปคุยกับแม่ฉันโน้น ถ้าลูกผู้ชายจริงก็ไปพูดจากับผู้หลักผู้ใหญ่ให้ถูกทำนองครองธรรม"
สังข์ ขาบ หันมามองหน้าทัพ ขอความเห็น ทัพยิ้ม ขำๆ
"ไปซิไอ้สังข์ ไอ้ขาบ อย่างแฟงมันบอก แล้วเอ็งจะอยู่ในค่ายนี้อย่างมีความสุข"
สังข์กับขาบมองหน้ากันเจื่อนๆ ก่อนเดินไปหาจันทร์กับเฟี้ยม เฟื่องกับจวงมองหน้ากัน รีบดึงกันหลบไปด้วยความอาย
สังข์ ขาบ เดินเจี๋ยมเจี้ยม เข้ามาอยู่หน้าจันทร์กับเฟี้ยม ทั้งสองมองสังข์ ขาบด้วยความหมั่นไส้
"มือไม้มันแข็งดีจริงนะไอ้พวกนี้ กูแม่ยายมึงนั่งหัวโด่อยู่นี่มึงเห็นกูมั่งมั้ย ฉุดคร่าลูกสาวกูสองคนไป จะสำนึกมาขอสมาสักนิดมีมั้ย หรือต้องให้กูไปแจ้งพ่อค่ายเขาเอาเลือดหัวกระบานมึงสองคนก่อน หะ"
เฟี้ยมต่อว่า สังข์กับขาบหน้าเจื่อน ลงนั่งพับเพียบพนมมือ
"ฉันกราบแม่จ๊ะ" สังข์บอก
"ฉันก็กราบแม่อีกคน"
"มึงสองคนนี่อาจหาญ หยามหน้ากูนัก เห็นมึงสองคนมาตั้งแต่หัวเท่ากำปั้น ไม่นึกเลยว่าโตมาจะระยำขนาดนี้" จันทร์ด่าทอ
"เมื่อกี้ น้าจันทร์บอกว่าเป็นแม่ยาย ก็แปลว่าน้ายอมยกจวงให้ฉันแล้วใช่มั้ย"
"กูไม่ได้คิดจะยก แต่มึงสองคนทำระยำตำบอนจนกูกับลูกสาวไม่รู้จะเอาหน้าไปมุดที่ไหนน่ะซิ"
"งั้นตั้งแต่คืนนี้ขอเฟื่องไปนอนที่บ้านฉันนะแม่"
"ฉันก็ขอจวงไปนอนบ้านฉันนะแม่"
"เดี๋ยวก็โดนแพ่นกระบานด้วยดุ้นฟืนนี่หรอก มึงยังไม่คิดมาขอสมากูเป็นเรื่องเป็นราว อยู่ๆ จะมาเอาลูกสาวกูไปนอนด้วย เดี๋ยวเอาให้เลือดหัวออกเสียดีมั้ย"
เฟี้ยมทำท่าจะหยิบดุ้นฟืนมาตีจริงๆ สังข์ ขาบ รีบจับไว้
"งั้นแปลว่า ถ้าฉันให้ผู้ใหญ่มาทำพิธีขอสมาลาโทษ น้าจะยกจวงให้ฉันใช่มั้ยจ๊ะ"
"แล้วผู้ใหญ่ของเอ็งน่ะใคร" เฟี้ยมถาม
"ก็พ่อค่ายไงจ๊ะ" ขาบตอบ
เฟื่องกับจวงแอบฟังอยู่ มองหน้ากัน เฟื่องรีบเดินเลี่ยงออกไป จวงมองตาม
ที่หน้าเรือนแฟง เฟื่องนั่งเช็ดผมเศร้าๆ อยู่ที่หน้าเรือน หลังจากอาบน้ำเสร็จ จวงกับเพื่อน กลับจากอาบน้ำที่ท่ามา มองเฟื่องอย่างเข้าใจ
"พี่เฟื่อง เราคงคิดมากอยู่ไม่ได้แล้ว แม่เขาประกาศยกเราให้พี่สังข์ พี่ขาบ ดังไปทั้งค่ายเสียขนาดนี้ ถ้าเราสองคนมาทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ เราสองคนนี่แหละจะมองหน้าใครเขาไม่ได้"
"ฉันไม่เคยนึกเลยว่าชีวิตฉันกับพี่ทัพจะมาพลัดจากกันด้วยเรื่องแบบนี้"
"ลืมอดีตหนหลังเสียเถอะ พี่ทัพเขาก็ตัดใจ ทำใจแล้ว ถ้าพี่เฟื่องยังมาอาลัยพี่ทัพอยู่ พี่เฟื่องนี่แหละที่จะกลายเป็นคนเรรวน"
เฟื่องยิ่งร้องไห้หนัก
"พูดจริงๆ เถอะพี่เฟื่อง พี่เฟื่องว่าพี่ขาบไม่ดีตรงไหน พี่เฟื่องถึงไม่อาจรักพี่ขาบได้ แต่งงานกับพี่ขาบให้เป็นฝั่งเป็นฝาเถอะ แม่และพี่ทัพจะได้สบายใจ ฉันก็จะยอมแต่งกับพี่สังข์ให้เรียบร้อยพร้อมพี่เฟื่องเหมือนกัน ชีวิตผู้หญิงเรานะพี่เฟื่อง จะชั่วดีถี่ห่าง ก็ขอมีผัวเดียวจนตายเถอะนะ"
จวงกอดเฟื่องเข้าใจคนหัวอกเดียวกัน
สังข์ ขาบ เดินเข้าประตูรั้วพ่อค่ายมากล้าๆ กลัวๆ
"เอ็งว่าพ่อค่ายเขาจะยอมเป็นเฒ่าแก่ให้เรามั้ย" ขาบถาม
"ถ้าไม่ยอม มึงกับกูก็ไม่ต้องมีเมีย"
สังข์ทำกล้าเดินนำเข้าไป โย่ง ลูกน้องพ่อค่าย เดินเมาออกมาขวาง
"หยุด มึงสองคนจะเข้ามาในเขตนี้ยามวิกาลมิได้"
"ฉันจะมาหาพ่อค่ายจ้ะพี่" สังข์บอก
"พ่อค่ายคนไหน บ้านนี้มีพ่อค่ายอยู่ตั้งสิบเอ็ดคน มึงอยากพบคนไหน"
"คนไหนก็ได้จ๊ะ ที่ไปเป็นเฒ่าแก่สู่ขอผู้หญิงให้จ้ะ" ขาบบอก
"งั้นข้าจะพาไปหาพ่อทองเหม็น แกเมตตาสูงอยู่ เฮ้ยๆๆ เดี๋ยวมึงสองคนวางอาวุธก่อน ริบอาวุธ"
ยามเฝ้าประตูเข้ามารับดาบจากสังข์กับขาบไปเก็บ
นายทองเหม็นนั่งกินเหล้าพักผ่อนอยู่หน้าเรือน หัวเราะชอบใจ
"กูอยากจะถีบมึงเหลือเกินไอ้โย่ง คนอย่างกูนี่นะจะไปสู่ขอผู้หญิงให้ไอ้สองคนนี่ คนขี้เมาอย่างกูใครจะยกลูกสาวให้ โน่น ต้องพ่อพันเรืองโน่น"
นายพันเรืองเดินลงมาสั่งงานนักรบฉกรรจ์อยู่ที่บันได
"ไป รีบไป เดี๋ยวแกจะขึ้นนอนเสียก่อน"
สังข์รีบสะกิดขาบวิ่งไปหานายพันเรืองที่บันได
"เอ็งสองคน คนบ้านคำหยาดนี่"
"ใช่จ้ะ" ขาบตอบ
"มีเรื่องอันใด"
"คือ เมื่อกลางวันไอ้ทัพมันพาฉันสองคนมาเพื่อจะขอให้พ่อค่าย"
สังข์ไม่กล้าพูดต่อ
"พอดีต้องรีบพาไอ้ทัพไปรดน้ำมนต์เสียก่อน ฉันสองคนเลยไม่ทันพูด" ขาบบอก
"ข้าเลยมิรู้ว่าเอ็งสองคนจะให้ข้าทำอะไร จะให้ข้าล้างแค้นพวกอังวะให้รึ ข้าก็รบกับมันแทบทุกวันอยู่แล้ว"
"มิได้จ้ะ ข้าอยากแต่งงาน"
นายพันเรืองงงๆ
"จะมากราบขอพ่อค่ายไปสู่ขอเจ้าสาวให้น่ะจ้ะ" ขาบบอก
"เอ็งสองคนเพิ่งมาถึง ก็อยากจะมีเมียแล้วรึ"
"หาไม่จ้ะ ข้ารักแม่จวงตั้งแต่อยู่ที่บ้านคำหยาดแล้วจ้ะ"
"ข้าก็รักแม่เฟื่องมาแต่บ้านคำหยาดเช่นกันจ้ะ"
"อ้าว แล้วทำไมจะมาให้ข้าไปขอให้เล่า ข้าว่าเอ็งสองคนคงทำมิดีกับลูกสาวเขาไว้ซิ เขาถึงไม่ยกให้"
สังข์ ขาบ ไม่กล้ามองหน้าพันเรือง รู้สึกผิด
"เอา ถ้าเอ็งคิดว่าข้าไปขอแล้วเขายอมยกให้ ข้าจะช่วย เพราะเห็นว่าเอ็งสองคนจะมาช่วยข้ารบดอกนะ แต่เอ็งแน่ใจนะว่าเขาจะยอมยกให้"
"ถ้าเป็นพ่อค่ายขอเอง รับรองยังไงๆ ก็ต้องยกให้จ้ะ"
"ไอ้คนบ้านคำหยาดนี่กูว่าหน่วยก้านมันฟันอังวะขาดได้หลายท่อนอยู่ แต่กับเมีย กูว่าไม่รอด" นายทองเหม็น หัวเราะชอบใจ
วันรุ่งขึ้น สังข์ ขาบ ถือกระทงดอกไม้ ธูปเทียน มาวางลงหน้าจันทร์ เฟี้ยม เพื่อเป็นการขอขมา เรื่องจวง และ เฟื่อง แฟงปั้นปึ่งไม่พอใจ เรื่องที่ขาบล่วงเกินพี่สาว กลุ่มทัพ ใจ และผู้ชายคนอื่นๆ ร่วมเป็นสักขีพยาน
"ฉันขอสมาลาโทษแม่จันทร์ที่พาจวง ลูกสาวแม่ไป ไม่ทันได้มีงานตบแต่งให้สมหน้าสมตาแม่"
"ฉันก็ขอสมาลาโทษแม่เฟี้ยมด้วยจ้ะ"
จันทร์ เฟี้ยมรับกระทงดอกไม้มา
"ว่ายังไง เฟี้ยม เราจะคิดค่าน้ำนมไอ้สองคนนี้ยังไงดี เอาเสียให้หนัก ให้สมรักสมแค้น"
จันทร์ค่อนว่า คนที่ฟังหัวเราะ เพราะรู้ว่าจันทร์แกล้งขู่สังข์กับขาบ จวงอายๆ แต่เฟื่อเศร้า แฟงเหลือบไปมองทัพ เห็นทัพยืนนิ่ง ไม่แสดงอาการอะไรออกมา
"ข้าก็คงไม่เรียกร้องอะไรหรอกนะ ยามศึกยามสงครามเยี่ยงนี้ ขอแค่ให้รักลูกสาวข้า ยกย่องเชื่อฟังลูกสาวข้าทุกเรื่อง ห้ามขัด ห้ามว่า ห้ามเถียง ลูกสาวข้าต้องเป็นใหญ่ที่สุด"
ทุกคนหัวเราะที่เฟี้ยมยังไว้ลาย
"รับรองจ้ะแม่ ฉันจะรัก จะเชื่อฟังน้องจวง คำน้อยไม่มีว่าให้เคืองใจ"
"ฉันก็ขอสัญญา ชีวิตฉันจะรั