
'บางระจัน 10 '
21 ม.ค. 2558
'บางระจัน 10 '
ตอน10
ในป่าลึก เสือปิ่นเกาะขาทัพ รั้งไว้ ชิดถือดาบใกล้เข้ามา
"ไอ้ชิด มึงหักหลังกู"
"แก่อย่างมึงน่าจะไปเมืองผีตั้งนานแล้ว ไอ้ปิ่น กูต่างหากที่สมควรเป็นหัวหน้าที่นี่"
"ทัพ ฆ่ามัน ก่อนที่มันจะฆ่าเรา"
"มึงได้ตายสมใจทั้งคู่แน่ๆ ไม่ต้องเกี่ยงกัน"
"ทัพ"
เสือปิ่นขอร้อง ทัพก้มมอง ชิดพุ่งตัวเข้าฟัน ทัพเอี้ยวตัวหลบ โดดเตะ ชิดล้มลง ดาบกระเด็นไปอีกทาง ชิดพุ่งหยิบดาบได้ แทงสวนขึ้นไป แต่ทัพหลบได้ จับข้อมือชิดไว้ ชิดได้เปรียบ จะฟันทัพ แต่ทัพใช้แรงมากกว่า ถีบชิด แล้วคว้าดาบได้พุ่งเข้าไป เอาดาบปักลงข้างคอชิด
ชิดตะลึง แทบหยุดหายใจ เพราะคิดว่าทัพจะแทงลงมาปักอก เสือปิ่นมองลุ้นว่าทัพจะทำอย่างไรกับชิด
"ข้าจะฟันคอเอ็งเสียตอนนี้ ให้สมกับความเลวที่เอ็งเป็นโจร ปล้น ฆ่า สร้างความเดือดร้อนให้ชาวบ้านเสียก็ได้"
ชิดกลืนน้ำลายมองทัพด้วยความกลัวเกรง
"แต่ข้าเคยตั้งใจ ดาบข้าจะไม่ดื่มกินเลือดไทย ในยามศึกศัตรูประชิดเมือง คมดาบของเราควรจะหันไปทางศัตรู"
"เอ็งปล่อยมันไป มันจะย้อนกลับมาแว้งกัดเรา" เสือปิ่นท้วง
"ข้ารู้ดี แล้วข้าก็เห็นแล้วว่าไม่มีสัจจะในหมู่โจร แต่คนไทยไม่ควรจะมาฆ่ากันเอง ไอ้ชิด เอ็งจะสาบานต่อหน้าคมดาบของข้าได้มั้ย ข้าจะไว้ชีวิตเอ็ง ถ้าเอ็งยอมสาบาน จงเลิกใช้ชีวิตอย่างโจร เลิกเสียเดี๋ยวนี้ ถ้าเลิกไม่ได้ก็จงยอมให้หัวหลุดจากบ่า"
ทั้งชิดและเสือปิ่นตกตะลึงกับคำขอของทัพ ทัพขยับตัว ชิดตกใจลนลาน
"เลิกจ้ะ ข้าเลิก เลิกเป็นโจรแล้ว"
"ถ้าเอ็งผิดคำสาบานกับข้า กลับไปเป็นโจร ทำให้ชาวบ้านเดือดร้อนแม้เพียงขโมยข้าวหยิบมือเดียว คมดาบร้อยเล่มพันเล่มจะลงโทษเอ็ง"
ทัพเอ่ยเหมือนประกาศิต ชิดรีบลุกขึ้น ยกมือไหว้ท่วมหัว
"ข้าจะไม่ผิดคำสาบาน ข้าจะไม่เป็นโจรทำให้ใครเดือดร้อนอีกแล้วจนชั่วชีวิต"
"หนีไปซะ ไอ้ชิด ก่อนที่ลูกน้องทั้งหมดที่โดนเอ็งมอมเหล้า รมยา จะตื่นขึ้นมาลากตัวเอ็งตามคำสั่งเสือปิ่น"
ชิดวิ่งหนีเตลิดหายไปในความมืด ทัพถือดาบเดินตรงมา เสือปิ่นเริ่มกลัวว่าจะถูกทัพฆ่า
"อย่า อย่าทำอะไรข้านะไอ้ทัพ อย่า"
เสือปิ่นเริ่มคลานถอยทั้งๆ ที่เจ็บ
"เอ็งแค้นข้า"
"ใช่ ข้าแค้นที่เอ็งทำให้ข้าเสียเวลาอยู่ที่นี่ แทนที่จะได้ไปตามน้องสาวกับคู่ชิ้น"
"เอ็ง"
ทัพเข้ามาใกล้ เสือปิ่นกลัวตาย
"อย่าฆ่า"
ทัพไม่พูดอะไร กระชากมีดสั้นออกจากท้อง เสือปิ่นร้องลั่นด้วยความเจ็บ ทัพเอามือกดแผลที่เลือดกำลังทะลัก
"ไอ้ทัพ เอ็ง"
เสือปิ่นพูดได้แค่นั้นก็หมดสติไป ทัพมองเสือปิ่นด้วยสายตาเวทนา
ชาวบ้านทุกคนหอบลูกจูงหลานกันมาล้อมวง เตรียมพร้อมเดินทาง นายอิน นายเมือง นายโชติช่วยกันต้อนคน
นายแท่นควบคุมกองเกวียนเดินทางอย่างระแวดระวัง กลุ่มแฟงและผู้นำ 6 คน แห่งบ้านศรีบัวทอง นำชาวบ้านชายถือมีดไม้ในมือ ยืนป้องกันกองเกวียนอยู่ ดอกไม้ ทองแก้วคอยดูชาวบ้าน ที่หอบลูกจูงหลานเดินออกไปกันเป็นขบวน แฟงมองขบวนชาวบ้านที่กำลังต้องทิ้งบ้านเรือนตัวเอง หนีภัยศึกแล้วสะท้อนใจ
"แม่จ๋า พี่ฟัก พี่เฟื่อง ไม่รู้อีกนานแค่ไหนเราถึงจะได้เจอกันอีก ฉันมันคนบาป ฉันผิดเองที่ทำให้พี่เฟื่องกับพี่ทัพต้องผิดใจกัน ถ้าพวกพี่ไม่มีฉัน คงไม่มีใครทำให้ความรักของพี่ทั้งสองต้องพลัดพรากกันอีก"
แฟงเดินตามปิดท้ายขบวน หายลับไปในความมืด
เฟื่องน้อยใจที่ทัพยังไม่ตามมาช่วย คิดว่าทัพคงเป็นคู่ชิ้นกับแฟงไปแล้ว จึงวิ่งมาหลบร้องไห้ใต้ต้นไม้ ขาบเดินมาใกล้ เฟื่องรีบปาดน้ำตา
"ร้องไห้ทำไม เฟื่อง หรือว่ากำลังเสียใจที่ต้องติดอยู่ที่นี่กับข้า"
"พี่ก็รู้ว่าฉันคิดยังไง"
"อยากไปจากข้าทุกลมหายใจ อีกไม่นาน เอ็งก็จะสมหวัง"
ขาบหันหลังจะเดินออกไป เฟื่องถามขึ้น
"พี่จะไปไหน"
"ลาดตระเวน กลัวไอ้พวกอังวะมันตามมา"
"แล้วเมื่อไหร่เราจะเดินทางต่อ"
"คุณพระนายบอกให้ตั้งกองอพยพพักรอที่นี่"
"ระยะทางอีกไม่เท่าไหร่ก็ถึงกรุงศรีแล้วไม่ใช่หรือ"
"เอ็งอยากไปกรุงศรีเร็วๆ หรือเฟื่อง พี่นึกว่าเอ็งอยากกลับกระทุ่มด่าน"
"ถ้าฉันเลือกได้ ฉันก็อยากกลับไปหาแม่ฉัน"
"ไปหาไอ้ทัพ ชิ้นรักของเอ็งด้วย"
เฟื่องไม่ยอมต่อความเรื่องทัพ เลี่ยงไปตอบเรื่องอื่น
"ถ้าต้องไปกรุงศรี ฉันก็อยากจะถึงเร็วๆ จวงไม่ค่อยสบาย ฉันกลัวว่าจะเจอพวกอังวะเข้าเสียก่อน จะยิ่งลำบาก"
"พี่ไม่ปล่อยให้พวกทหารอังวะมันแตะต้องเอ็งได้หรอก เฟื่อง พี่จะปกป้องเอ็งด้วยชีวิต"
ขาบหันหลังเดินออกไป เฟื่องเริ่มเห็นใจในตัวขาบมากขึ้น
ในป่าลึก ทัพนั่งอยู่ท่ามกลางลูกน้องเสือปิ่น เสือปิ่นมีผ้าพันแผลโดนแทงตรงท้อง นั่งพิงมองทัพ
"ขอบใจมากทัพที่ช่วยข้า ทั้งๆ ที่เอ็งฟันข้าแล้วหนีไปก็ได้"
"ถึงเอ็งจะคิดเอาข้าเป็นตัวประกัน เวลาที่ต้องเจอทหารกรุงศรี แต่ข้าก็จะไม่หนีด้วยวิธีโจรอย่างเอ็ง"
"เอ็งมันใจใหญ่จริงๆ"
ทัพลุกขึ้น ลูกน้องเสือปิ่นจับดาบเตรียมพร้อม
"ข้าไม่ให้เอ็งไป ข้าจะยกตำแหน่งหัวหน้าโจรให้กับเอ็งสืบต่อจากข้า"
"ข้าไม่รับ ข้าไม่ชอบหากินบนคราบน้ำตาคนอื่น"
"ทัพ เอ็งคิดว่าศึกสงครามมาติดบ้านติดเมืองอย่างนี้ เราจะทำไร่ ทำนาหากินได้เหมือนเดิมรึไง"
"คนอื่นเขาก็สูญไร่สูญนา อดอยาก หนีศึกเหมือนกัน ทำไมเขาถึงไม่ไปเป็นโจร"
"ทัพ ข้ามีคน เอ็งมีฝีมือ"
"หุบปาก ไอ้ปิ่น ข้าช่วยยื้อชีวิตเพื่อให้เอ็งสำนึก เลิกสันดานโจร เอ็งยังมีหน้ามาชวนข้าทำชั่ว"
"คนดีอย่างเอ็ง ไม่สมควรมาตายด้วยฝีมือคนชั่วอย่างพวกข้า ไปซะ ข้าตอบแทนน้ำใจเอ็งได้แค่นี้ ลูกน้องข้าจะนำเอ็งออกไปจากป่าที่ซ่อน รีบไปตามน้องสาวกับคู่ชิ้นของเอ็งเถอะ"
ลูกน้องเสือปิ่นปลดอ้ายเลามาส่งให้ เสือปิ่นหยิบดาบคู่ของทัพ มาส่งคืนให้
"เอ็งเปลี่ยนใจได้นะ เสือปิ่น แทนที่เอ็งจะปล้นฆ่าคนไทยด้วยกัน จงหันคมดาบของพวกเอ็งไปหาศัตรูที่กำลังจะมาปล้นแผ่นดินเรา หรือเอ็งจะยอมยกบ้านยกเมืองให้พวกมันมาข่มเหงเราชั่วลูกชั่วหลาน"
ทัพพูดทิ้งท้ายให้กลุ่มโจรเสือปิ่นได้คิด ก่อนจะกระตุกอ้ายเลาออกไปจากตรงนั้น
เฟื่องนั่งกอดเข่า เศร้าเรื่องทัพกับแฟง จวงนั่งอยู่ใกล้ เห็นขาบกับสังข์กำลังเดินมา ก็รีบบอกเฟื่องให้ช่วย เฟื่องรีบซับเหงื่อให้จวง ทำเป็นว่ายังปวดท้องอยู่เพื่อไม่ให้สังข์มายุ่งด้วย สังข์เป็นห่วงจวงมาก สั่งให้ขาบไปหายามาให้จวง สังข์เดินตามขาบออกไป เฟื่องกับจวงแอบอมยิ้มให้กัน
"เป็นถึงนายกอง แต่ดันหลอกง่ายหลอกดาย"
"ท่าทางสังข์เขาห่วงจวงมากจริงๆ"
"แต่ฉันชังน้ำหน้ามัน ฉันจะไม่ให้มันมาเข้าใกล้ฉันอีก พี่เฟื่องต้องอยู่ใกล้ๆ ช่วยฉันด้วยนะ"
เฟื่องพยักหน้ารับคำ จวงโล่งใจขึ้น
สไบกับผู้หญิงชาวบ้าน 4- 5 คนในขบวนอพยพกำลังเอาเกวียนมาเกี่ยวข้าวในนาที่ยังหลงเหลืออยู่ ใจ เอิบ ช่วง ดอกรัก ถือดาบคอยคุ้มกันมา ดอกรักมองใจอย่างไม่ค่อยชอบใจนัก
"เห็นคนไกลมันดีกว่า ระวังน้ำตาจะตกเช็ดหัวเข่า พ่อก็ไม่มีแล้วด้วย"
ดอกรักพูดดังๆ ตั้งใจให้สไบได้ยิน
"พี่ดอกรักตั้งใจจะบอกมาถึงฉันหรือ ถ้าจะหมายถึงฉันหรือพี่ใจ ก็พูดมาเลย ไม่ต้องอ้อมค้อมให้เสียเวลา"
"เวลานี้สไบเหลือพี่คนเดียวเท่านั้น สไบไม่เห็นหัวพี่ เพราะอยากปกป้องคนอื่น อย่างนั้นหรือ"
"ถ้าคนอื่นคือพี่ใจ ฉันว่าพี่ดอกรักคิดใหม่เถอะ ที่ผ่านมา ใครปกป้องใครกันแน่ พี่ใจช่วยฉัน ช่วยพ่อ กระทั่งช่วยชีวิตพี่ เราเป็นหนี้บุญคุณพี่ใจ"
"สไบก็เลยคิดจะเอาตัวใช้หนี้"
สไบโกรธจัดเอารวงข้าวฟาดหน้าดอกรัก ทุกคนอึ้ง เงียบกริบ สไบจ้องดอกรัก ผิดหวัง เสียงสั่นเครือ
"เสียแรงเป็นพี่เป็นน้องกันมา พี่ดอกรักหยามใจฉันได้ถึงเพียงนี้"
สไบวิ่งหนี หยุดสะอื้น ใจค่อยๆ เดินตามมา
"พี่ไม่ควรอยู่ที่นี่เลย"
"ไม่เกี่ยวหรอกจ้ะ ถึงพี่ไม่มากับเรา ฉันกับพี่ดอกรักก็คุยกันไม่รู้เรื่อง"
"เพราะพี่เป็นต้นเหตุ"
"พี่ดอกรักไม่ฟังใครมาตั้งแต่เด็ก คิดอะไรเอาแต่ใจตัวเองเป็นใหญ่ ยิ่งตอนนี้ไม่มีพ่อแล้วยิ่งวางอำนาจใส่ฉันไม่เลิก"
"เขารักสไบ"
งูจงอางเลื้อยมาตามฟางข้าวช้าๆ สไบมองใจแววตาทอดเศร้า
"แต่ฉันเห็นพี่ดอกรักเป็นแค่พี่ชาย"
ใจเดินเข้าใกล้สไบ สายตาใจมองทอดไปที่สไบด้วยความรัก แต่ไม่กล้าที่จะพูดออกมา เพราะมีบางอย่างอยู่ในใจ
"หมดศึกเมื่อไหร่ สไบก็คงต้องทำตามสัญญาของพ่อ แต่งงานกับดอกรัก"
"เวลานี้พ่อก็ตายไปแล้ว ฉันคงไม่ต้องรักษาสัญญาอะไรอีกแล้ว ฉันไม่อยากอยู่กับคนที่ฉันไม่รัก"
"แล้วสไบอยากอยู่กับใคร"
สไบยังไม่ทันตอบ งูจงอางฉกเข้าที่ขาขวาของสไบ
"โอ๊ย"
ใจเห็นงูเลื้อยผ่านไป หันมารับร่างสไบซึ่งกำลังทรุดลง รีบเอาผ้าคาดเอวรัดเหนือแผล แล้วเอามือเค้นเลือดออกมา สไบเห็นภาพใจเลือนราง ใจล้วงสมุนไพรในย่ามออกมาเคี้ยวแล้วโปะใส่ที่แผล
"พี่ใจ ช่วยฉันด้วย"
"สไบ อย่าหลับ สไบ อดทนไว้นะ สไบ อย่าหลับ"
ใจพยายามเขย่าร่างสไบ แต่สไบฝืนไว้ไม่ไหว
"พี่ใจ อย่าทิ้งฉัน"
"สไบ พี่ไม่ทิ้งสไบ"
ใจดึงสไบมาแนบอก
"สไบแข็งใจไว้ พี่อยู่นี่ พี่จะไม่ทิ้งสไบไปไหน สไบก็อย่าทิ้งพี่ไป สไบ"
"ฉัน" สไบพูดได้แค่นั้น ก็หมดสติไปทันทีในอ้อมแขนใจ
00000000000000
เวลาผ่านไปสักพัก สไบค่อยๆ ฟื้นขึ้นมา เห็นใจกอดตัวเองอยู่ในอ้อมแขน ใจมองสไบด้วยความเป็นห่วง ยิ้มดีใจที่เห็นสไบฟื้นขึ้นมา
"ฉันยังไม่ตาย"
"ปวดแผลหน่อยนะ สไบ"
สไบก้มมองขาตัวเองเห็นมีสมุนไพรประคบแล้วปิดทับด้วยเศษผ้าของใจ
"พี่เอายาล้างพิษปะคบแผลไว้"
"พี่ใจช่วยฉันอีกแล้ว"
"ให้พี่อยู่ช่วยสไบไปทั้งชีวิตก็ได้"
สไบกับใจมองสบตากัน ความรู้สึกผูกพันท่วมท้น ใจไม่อาจหักห้ามใจไว้ได้ ก้มลงจะจูบสไบ สไบนึกอาย เอียงแก้มหลบด้วยความเขิน จมูกใจเฉียดแก้มสไบไป
"ฉันเป็นหนี้ชีวิตพี่ใจ ชดใช้ทั้งชีวิต ก็คงไม่หมด"
"ถ้าจะชดใช้ สไบก็ต้องอยู่กับพี่"
"พี่ใจ"
"พี่ยังไม่เร่งร้อนตอนนี้ แต่ถ้าสไบไม่อยากติดค้าง ก็ต้องอยู่ใช้หนี้กับพี่ไปจนชั่วชีวิตของเรา"
ใจดึงสไบมากอดไว้ แล้วจูบลงที่ผมแผ่วเบา
"ไม่ว่าต่อไปข้างหน้าจะเกิดอะไรขึ้น สัญญากับพี่ได้มั้ย สไบ"
สไบมองหน้าใจ สายตามีแต่ความตื่นเต้นแบบเด็กสาว
"สไบอย่าเกลียดพี่"
"พี่ใจดีกับฉันทุกอย่าง ฉันจะเกลียดพี่ได้ยังไง"
"สัญญา"
"จ้ะ สัญญา สไบไม่มีวันเกลียดพี่ใจ"
"สไบจะเชื่อว่าพี่รักสไบ พี่รักสไบจากใจจริง"
ใจดึงสไบมากอดไว้อีกครั้งอย่างแนบแน่น แววตาสไบมีแต่ความสะท้านอาย ตรงข้ามกับแววตาใจ ที่นิ่ง กดดัน เพราะมีความลับมากมายซ่อนอยู่
ภายในเรือนสังข์ เฟื่องคอยมองประตู จวงชะเง้อมองด้วย เสียงสังข์เดินมาไกลๆ
"พี่เฟื่อง อย่าให้ไอ้สังข์เข้ามา ฉันชังหน้ามัน"
สังข์เดินมากับขาบ เห็นเฟื่องก็ชักสีหน้า ที่จวงยังไม่ดีขึ้นจึงให้ขาบไปตามหมอมา ขาบพาหญิงชราเข้ามา เฟื่องกับจวงกลัวความแตกว่าไม่ได้ปวดท้อง หญิงชรากดลงไปตรงไหน จวงก็แกล้งร้องเจ็บ เฟื่องแกล้งปลอบผสมโรง
"จวง อดทนหน่อย จะได้หาย"
"เจ็บไปหมดทั้งตัวเลยพี่เฟื่อง ฉันคงจะตายเสียที่นี่"
สังข์ร้อนรน "เอ๊ย ยังไงล่ะ เมียข้าตายไม่ได้นะ จวงเป็นอะไร จัดยาสิ"
หญิงชราลนลาน แตะไปที่ท้อง จวงดิ้นพราด สังข์กระชากไหล่หญิงชราออกห่าง จวงดิ้นพราด สังข์ยิ่งทำอะไรไม่ถูก หันมาโวย
"เป็นหมอแน่หรือเปล่าวะ"
"ใจเย็น นายกอง ทั้งหมดที่มากัน ก็มีป้าแกนี่แหละ ที่เขาว่ารักษาหายมาหลายคนแล้ว"
"เมียข้าเป็นอะไร"
"โรคแพ้ผัว"
"ฮะ โรคอะไรวะ"
"โรคแพ้ผัว นังหนูนี่มันถูกพาตัวมาใช่มั้ยล่ะ ใจมันไม่รักไม่ชอบ มันก็กลัวจนขวัญหาย กระเจิดกระเจิง พาลจับไข้ไม่หาย นี่ดีนะ แค่แพ้ยังไม่ถึงขั้นกินผัว"
สังข์หน้าเสีย มองจวงอย่างไม่ค่อยกล้าเข้าใกล้
"เออ งั้นก็รีบๆ รักษาให้หายซะ ไอ้ขาบ ไปกินเหล้าเรือนเอ็งดีกว่า"
สังข์หันหลัง เดินออกไป ขาบมองเฟื่องกับจวงแล้วตามออกไป เฟื่องอมยิ้มกับจวง
สังข์เดินนำขาบอออกมาอย่างหงุดหงิด
"มันมีด้วยเหรอวะ ไอ้โรคนี้ แพ้ผัว แล้วจะแก้ไขยังไงได้วะ ยังไงจวงมันก็ต้องเป็นเมียข้านะ"
"ก็มันเป็นเมียเอ็งอยู่แล้วนี่"
สังข์มีพิรุธขึ้นมานิดหนึ่ง แต่ขาบไม่ทันสังเกต
"เอาน่าใจเย็น ช่วงนี้เอ็งนอนที่บ้านข้าก่อน ให้จวงมันหายแล้วค่อยกลับคืนเรือน"
ขาบไม่พูดอะไร อมยิ้มน้อยๆ เดินนำสังข์ไปทางกระท่อมตัวเอง
จวงลุกขึ้นนั่งข้างเฟื่อง ยกมือไหว้หญิงชาวบ้านที่ช่วยไว้ พลางบอกว่าไม่สินน้ำใจอะไรจะตอบแทน
"ไม่ต้องๆ ข้าได้มาแล้ว"
"ใครให้ป้า"
"อย่าอึงไป หมู่ขาบให้ข้ามาแล้ว"
"พี่ขาบตบรางวัลป้า" เฟื่องแปลกใจ
"ตอนไปตามตัว หมู่ขาบบอกให้ข้าช่วยพูดว่าเอ็งป่วย นายกองสังข์จะได้ไม่กวนเอ็ง"
หญิงชราทำหน้าล้อเลียน จวงอาย
ขาบนั่งกินเหล้ากับสังข์อยู่ที่ชานเรือน สังข์เริ่มเมาแล้ว แต่ขาบดูยังมีสติ ไม่ค่อยดื่ม
"ข้าว่าจวงมันไม่เป็นอะไรดอก มันแกล้งป่วยเพราะไม่อยากอยู่ใกล้ข้า แล้วเฟื่องนะ
มันเกลียดเอ็งอย่างกับขี้ แต่ทำไมอยู่ๆ มันยอมเอ็งวะ"
ขาบเงียบ สังข์มองยิ้ม
"มันคงติดใจรสสวาทเอ็งแล้วซินะ หงิมๆ อย่างเอ็งก็มีทีเด็ดเหมือนกัน"
"ข้าสงสารแม่เฟื่อง แม่จวง ผู้หญิงเขาไม่รักไม่ชอบอย่าเอาเขามากักขังไว้เลย"
"ไอ้ขี้ขลาดไอ้ขาบ มึงตรองดู ตอนอยู่คำหยาด นังเฟื่องมันมองมึงแค่หมาตัวหนึ่ง ถ้ากูไม่ไปฉุดมามึงจะได้มันเป็นเมียมั้ย มึงจะรอให้ไอ้ทัพแทะเนื้อกินจนหมดแล้วคอยเอากระดูกเขามาเลียงั้นรึ"
ขาบทนไม่ไหวเอาเหล้าสาดหน้าสังข์
"อย่าหยามกูเยี่ยงนี้ กูไม่เคยคิดหักหาญน้ำใจหญิง เขาไม่รักไม่ชอบก็แย่งชิงฉุดคร่ากูไม่ได้เป็นคนสันดานโจรปล้นเขากินเหมือนมึง"
"ไอ้ขาบ กูทำทุกอย่างเพื่อมึง ถ้ามึงอยากจะกลับไปอยู่ข้างไอ้ทัพ ไปกินของเหลือเดนเขาก็ไปเลย"
ขาบถีบสังข์กระเด็นไปติดฝา สังข์สิ้นพยศเพราะเมาจัด แต่ยังพูดต่อ
"มึงจำคำกูไว้ ถึงมึงได้ตัวนังเฟื่องแล้ว แต่ถ้าไอ้ทัพมาตามเมื่อไหร่ นังเฟื่องมันก็จะกลับไปอยู่กับไอ้ทัพอยู่ดี มึงมันแค่หมา เขาโยนกระดูกให้ก็นึกว่าเขารัก จำคำกูไว้ ไอ้หมาขาบ"
สังข์ค่อยๆ หลับไปเพราะฤทธิ์เมา ขาบหาผ้ามาหนุนหัวเรียบร้อย แล้วเดินลงเรือนไปด้วยความน้อยใจ
เฟื่องเดินลงมาส่งหญิงชรา เห็นขาบยืนอยู่
"นายกองสังข์คงไม่กลับมานอนที่นี่อีกหลายวัน"
"ขอบใจพี่ที่ช่วยจวง"
"ก็ช่วยได้ไม่นานหรอก จะปดกันไปได้กี่ครั้ง คิดหรือเปล่าว่าคนอื่นจะเดือดร้อนไปด้วย"
"นายกองคงไม่สงสัยเรื่องพี่กับฉันไปด้วย"
"สงสัย แต่พี่ก็ปดไป อาศัยว่าเฟื่องมาเฝ้าจวง"
"พอถึงกรุงศรี จวงก็ต้องไปอยู่เรือนนายกองสังข์"
"เป็นเมียนายกองสังข์ไม่ดีตรงไหน ยิ่งยามศึกอย่างนี้ นายกองคงไม่เลี้ยงให้เมียอดๆอยากๆ หรอก"
"พี่ก็รู้ คับที่อยู่ได้ คับใจอยู่ยาก พวกฉันถูกลักตัวมา จะให้ทำใจรัก ให้ชอบ ชั่ววันสองวัน คงทำไม่ได้"
"พี่รู้ว่าต่อให้ตลอดชั่วชีวิตเอ็ง ก็ไม่มีวันเปลี่ยนใจมารักพี่ คนขี้ขลาดตาขาว เอาแต่ตามก้นคนอื่นอย่างพี่ ไม่มีวันชนะใจผู้หญิงคนไหนทั้งนั้น"
ขาบตัดพ้อตัวเองแล้วหันหลังเดินหายไปในความมืด เฟื่องมองตามด้วยความเห็นใจ
บริเวณประตูกรุงศรีอยุธยา ชาวบ้านพากันหอบลูกเด็ก มายืนออหน้าประตูเมือง ทหารยืนขวางไม่ให้คนผ่านเข้าไป คุณพระนายขี่ม้ามามอง
"เข้าไม่ได้ กำหนดประตูพระนครปิดแล้ว ทำไมถึงเพิ่งมา"
"คุณพระนายขอรับ เกณฑ์ปิดประตูอีก 3 วันข้างหน้าไม่ใช่หรือ"
"ขบวนอพยพก็ยังมากันไม่หมด ทหารเพิ่งไปบอกข่าวได้ไม่กี่วันเองว่าจะปิดประตูก่อนกำหนด"
"ก็ในพระนครคนมันเต็มไปหมดแล้ว ทำไมถึงเพิ่งมากัน กลับไปได้แล้ว"
"ก็เพิ่งเกี่ยวข้าวเสร็จจะให้มาก่อนได้อย่างไร เมตตาพวกเราเถิด ลูกฉันก็ยังเล็ก"
"ไปหาที่ซุกซ่อนกันตามป่าตามเขาเถอะ ยังไงก็เข้าไม่ได้ นี่คือกฎอัยการศึก ใครฝ่า ฝืนข้ามีอำนาจตัดหัวมันทุกคน ถอยออกไป"
ชาวบ้านหน้าระห้อย คุณพระนายมองชาวบ้านไม่ไยดี สั่งทหารปิดประตูเมือง ยังมีชาวบ้านพากันอพยพมาอีก คุณพระนายชักปืนสั้นขึ้นมายิง ตะโกนเป็นคำขาด
"ปิดประตูกรุงศรีบัดเดี๋ยวนี้ ห้ามใครผ่านเข้าออก ใครไม่เชื่อข้าจะยิงทิ้งบัดเดี๋ยวนี้"
ชาวบ้านต่างแย่งกันเข้าประตูจนล้มคว่ำ ทหารพยายามจะปิดประตู คุณพระนายโกรธจัด ยิงสวนออกไป กระสุนถูกชาวบ้านหญิงที่อุ้มลูกอยู่ ล้มลงคาประตู ทหารผลักศพหญิงที่ตายคาประตูออกไป แล้วลั่นดาน ชาวบ้านต่างร้องไห้คร่ำครวญ
ประตูค่ายระจัน สูงตระหง่าน ขบวนอพยพชาวศรีบัวทองเดินมาเต็มทุ่ง นายแท่นก้าวออกจากกลุ่ม ตะโกนขึ้นไป
"จงไปบอกพ่อค่าย ข้ากับพวก ชื่อแท่น ชื่ออิน ชื่อโชติ ชื่อเมือง คนวิเศษ ไชยชาญ แล้วก็พ่อดอกไม้ บ้านกรับ พ่อทองแก้ว บ้านโพธิ์ทะเล พาชาวบ้านมาร่วมปักหลักสู้ศึก จะอยู่สู้กับคนระจันที่นี่"
ประตูค่ายค่อยๆ เปิดออก นายทองแสงใหญ่ยืนยิ้ม กับชาวบางระจัน
"มาเลย เข้ามาเลยพ่อๆ ทั้งหลาย เราคนไทยเหมือนกัน เข้ามาเลย"
นายแท่นเดินนำขบวนเข้าประตูไป นายทองแสงใหญ่เดินนำทุกคนตรงไปที่เรือนนายค่ายหลังใหญ่ พันเรือง พ่อทองเหม็นยืนอยู่ มองกลุ่มอพยพ
"ข้าพันเรืองพ่อค่าย แล้วก็พ่อทองเหม็นครูดาบที่ค่ายระจัน แล้วนี่พ่อจันเขียว พ่อทองแสงใหญ่"
"ข้าชื่อแท่นกับพวกทั้งหมดอพยพกันมาจากศรีบัวทอง หนีร้อนมาพึ่งเย็นที่เมืองสิงห์"
"ทัพอังวะยกมาครานี้ เดือดร้อนกันทุกหย่อมหญ้า อยู่กันเสียที่นี่เถิด พี่น้องไทยด้วยกันทั้งนั้น"
"ฉันชื่อดอกไม้ครูมวย มีอะไรให้ช่วยขอให้พันเรืองกับพ่อทองเหม็น พ่อใหญ่แห่งค่ายระจันสั่งฉันเถิด"
"อย่าเรียกพ่อยงพ่อใหญ่อะไรเลย เรียกทองเหม็นนี่แหละ ค่ายนี่ก็สร้างกันประสาชาวบ้าน คิดอ่านกันแบบชาวบ้าน ไม่ได้เหมือนค่ายคูประตูหอรบแบบกรุงศรีท่านดอก"
พันเรืองยิ้ม "ไปเถิด พ่อแท่น พาพวกไปสร้างเรือนมุงหญ้า มุงแฝกอยู่กันตามใจชอบเถิด ที่เรากว้างขวาง ด้านหลังติดคูคลอง อยู่กันให้สบายใจ ถึงอย่างไร พวกข้าศึกมันก็รุกเข้ามาถึงนี่ไม่ได้ ถ้าไม่ข้ามศพพวกเราไปเสียก่อน"
"รวมกันเราจะสู้พวกมันจนตัวตาย" นายอินบอก
"ใจข้าไม่เคยกลัว เสียแต่ว่าถ้าพรรคพวกพี่น้องนักรบของเรามีพระอาจารย์ดี ได้วัตถุมงคลติดตัวเสียหน่อย ก็จะอุ่นใจว่าจะช่วยป้องกันข้าศึกให้แทงไม่เข้า ยิงไม่ออก รบกับมันได้จนตายไปข้างหนึ่ง" นายทองแสงใหญ่บอก
"พ่อแท่นพอจะรู้จักพระอาจารย์ที่ไหนที่พอจะนิมนต์มาจำพรรษา เป็นขวัญเป็นกำลังใจพวกเราในค่ายนี้บ้างมั้ย" นายพันเรืองถาม
"พวกพี่เคยได้ยินชื่อ หลวงพ่อธรรมโชติมั้ย ท่านจำวัดอยู่ที่วัดเขานางบวช สุพรรณ"
"เคยได้ยินว่าท่านมีอาคม มีวิชาเก่งกล้านัก แต่ท่านจะยอมมาหรือ" กำนันพันไม่แน่ใจ
ทองแก้วรีบพูดขึ้น "ข้าเคยเป็นลูกศิษย์ท่านมา ยามศึกอย่างนี้ ท่านนี่แหละเหมาะนัก พวกเราไปอาราธนาหลวงพ่อธรรมโชติมาจำวัดที่นี่เถิด"
พ่อค่ายทั้งสี่มองกันแล้วพยักหน้าเห็นดีด้วย
พันเรือง ทองเหม็น และนายแท่น มาพบหลวงพ่อธรรมโชติ นายแท่นก้มลงกราบ แล้วเงยขึ้นมองเต็มตา
"กระผมพาพันเรืองกับพ่อทองเหม็น หัวหน้าค่ายบางระจันมากราบนมัสการหลวงพ่อธรรมโชติขอรับ"
"พ่อแท่น ในยามศึกอย่างนี้ ถ้าพ่อแท่นมีความมุ่งมั่นจะผนึกแผ่นดินที่แหลกราญให้กลับมั่นคงขึ้นมาใหม่ อาตมาก็จะขอผนึกพระรัตนตรัยให้แน่นหนาอยู่สักแห่ง อาตมาก็จะไป"
พันเรือง ทองเหม็นถึงกับตะลึงเพราะยังไม่ได้พูดอะไรสักคำ พระอาจารย์ก็อ่านจิตได้หมดสิ้น ทั้งหมดรีบลงกราบด้วยความศรัทธา
ชาวค่าย พ่อค่ายนั่งคุกเข่าเรียงเป็นแถว หลวงพ่อธรรมโชติค่อยๆ ก้าวเข้ามา แต่เหมือนเท้าไม่ติดพื้น ตรงไปทางโบสถ์ ทุกคนพากันมองเลื่อมใส
"ที่ค่ายบ้านระจัน มีวัดโพธิ์เก้าต้น ด้านหน้ามีบ่อน้ำทิพย์ ใช้รักษาโรคได้ รอเพียงหลวงพ่อจะเมตตาไปจำวัด เป็นขวัญเป็นกำลังใจให้พวกเราชาวค่ายบ้านระจันสู้ศึก เพื่อรักษาแผ่นดินเอาไว้ให้ลูกหลานได้ทำนา มีข้าวกินตลอดไป" นายแท่นพูดขึ้น
หลวงพ่อมองตรงไปที่วิหารเล็กท่ามกลางแมกไม้ ร่มรื่น แต่ละก้าวของหลวงพ่อธรรมโชติมีแต่ความสงบนิ่ง ทุกสายตามองอย่างศรัทธา จนกระทั่งหลวงพ่อก้าวเข้าไปกลางโบสถ์ ทุกคนมองเห็นแสงอร่ามเรืองวาบรอบๆ โบสถ์อยู่ครู่ ก่อนแสงจะลดลง
หลวงพ่อนั่งกรรมฐานอยู่ในโบสถ์ มองไปทั่วทุกคนของชาวค่ายเหมือนจะให้คำพูดซึมซาบลงไปในใจทุกคน
"พวกเจ้าแม้จะคนเป็นคนต่างถิ่น ต่างหน้า แต่เมื่ออ้างความเป็นคนไทย เลือดเนื้อพี่น้องร่วมท้อง กำลังไหลนองดิน เหย้าเรือนกำลังถูกยึดจากศัตรู อาตมาขอให้ทุกคนตั้งจิตมั่น อย่าหวั่นไหวกับจิตที่หวาดกลัว การสูญเสียเป็นอนิจจัง ความกลมเกลียวคือกำลัง หัวใจหลายร้อยที่แยกอยู่ เมื่อนำมารวมสนิทแนบเป็นใจเดียว ข้าศึกนับพันก็จะเอาชนะได้"
แฟงและสายตาทุกคนอิ่มเอิบ ปลาบปลื้มอย่างยิ่ง
ขาบกับทหารกรุงศรีเดินลาดตระเวนมาเจอกลุ่มโจรกำลังปล้นชาวบ้าน จึงเข้าต่อสู้ ทหารกรุงศรีไม่กล้าช่วยขาบ ขาบสั่งให้ทหารรีบไปบอกสังข์ให้ส่งคนมาช่วย ขาบสู้กับพวกโจรอยู่ด้วยความเกลียดชัง พวกทหารกรุงศรีรีบวิ่งหนีไปทันที
เฟื่องได้ยินทหารที่วิ่งหนีกลับมาคุยกันว่าขาบโง่ที่สู้กับพวกโจรไม่ยอมหนีกลับมา เฟื่องนึกเป็นห่วงขาบจึงรีบออกไปตามหา ในขณะที่สังข์แค้นขาบไม่ยอมส่งทหารไปช่วย
เฟื่องวิ่งมาท่ามกลางฝนตกหนัก เห็นกระท่อมปลายนาโย้เย้ ตัดสินใจวิ่งเข้าไปหลบฝน เสียงดังกุกกัก เฟื่องหันขวับ เห็นร่างหนึ่งซุกอยู่ที่มุม เฟื่องตกใจ ถอยระวังตัว ขาบยันตัวออกจากมุม ในมือมีดาบ แต่เนื้อตัวเลอะเลือดจากแผลถูกฟันที่ชายโครง
"พี่ขาบ"
"เฟื่อง"
ขาบมองเฟื่องอย่างน้อยใจ เพราะคิดว่าเฟื่องจะหาทางหนีไปหาทัพ เฟื่องรีบเข้ามาประคอง มองแผลยาวเหวอะที่ชายโครง
"พี่ถูกฟัน"
"เฟื่องมาถึงนี่ได้ยังไง"
เฟื่องมองขาบตกใจ ขาบกำลังจะล้ม เฟื่องเข้าประคอง ขาบรัดร่างเฟื่องไว้แน่น
"ออกมาถึงนี่ เพราะจะหาทางหนีใช่มั้ย อยากจะไปหาไอ้ทัพมันมากใช่มั้ย"
เฟื่องดิ้นอึกอักในอ้อมแขนขาบที่รัดแน่น ลืมตัวด้วยความโมโห
ทัพอยู่บนหลังอ้ายเลากำลังฟังขบวนอพยพของชาวบ้านกลุ่มหนึ่ง มีผู้นำเป็นชายวัยกลางคนคุยกัน
"ตอนที่ข้าผ่านสะแกโทรม เห็นพวกทหารกรุงศรีพักกองอยู่ แต่ก็นานหลายวันแล้ว"
"ทหารกรุงศรี น้าพอรู้มั้ย ใครเป็นหัวหน้า" ทัพถาม
"เห็นเขาเรียกกันว่านายกอง นายกองสังข์"
"ไอ้สังข์ หรือว่าเป็นมันที่เอาตัวเฟื่องกับจวงไป"
ทัพเคียดแค้นขึ้นมาทันที
ภายในกระท่อม ขาบรัดร่างเฟื่องไว้แน่น โมโหหึงจนลืมความเจ็บที่แผล
"ทนรอไม่ไหว คิดจะหนีทุกลมหายใจ อยากกลับไปกอดไอ้ทัพมันมากนักหรือเฟื่อง"
"พี่ขาบ ปล่อยฉัน"
"พี่ต้องปล่อยเอ็งอยู่แล้ว แต่ทนรออีกหน่อยไม่ได้หรือไง ถึงกับบุกป่าฝ่าดงไปหามันไม่อายผีสาง ไม่กลัวโดนพวกอังวะมันลากไปปู้ยี้ปู้ยำบ้างรึไง"
"ที่ฉันเจออยู่นี่ มันก็ไม่ดีวิเศษอะไรอยู่แล้ว ไปเจอนรกขุมหน้า ยังดีเสียกว่า"
เฟื่องประชดด้วยความโมโห ยิ่งทำให้ขาบบ้าเลือด
"ทำไม ที่ข้ารักเอ็ง บูชาเอ็ง ถนอมเอ็ง มันไม่มีความดีให้จดจำเลยหรือไง เฟื่อง"
"ความดีของพี่มันไม่ลงไปอยู่ในใจฉันเลย"
"เฟื่อง"
"เพราะฉันไม่เคยรักพี่ ไม่มีวันจะรัก จนตายก็ไม่รัก"
ขาบกระชากเฟื่องเข้ามา แต่เฟื่องยันอก ดิ้น ผลักเต็มแรง ขาบเสียหลัก กระเด็นไปกองกับพื้น
"พี่ขาบ"
เฟื่องวิ่งเข้าไปหา ลืมความโกรธเกลียดที่มีมา ประคองขาบไว้
"เจ็บมากหรือเปล่า ฉันจะพาพี่กลับไป"
"เฟื่อง"
ขาบดึงมือเฟื่องไว้ มองด้วยสายตาตัดพ้อ อ้อนวอน
"อย่าเกลียดพี่ได้มั้ย เฟื่อง พี่ขอ อย่ามองพี่ด้วยสายตาชิงชังอีกเลย"
ขาบดึงเฟื่องมากอด
"พี่รักเฟื่อง รักทั้งๆ ที่ไม่มีอะไรให้เฟื่องรักได้ แต่พี่รักเฟื่องไปแล้ว พี่รักเฟื่องคนเดียว"
"พี่ขาบอย่า พี่ขาบ"
ขาบไม่สนใจฟังอะไร จูบเฟื่องอย่างเรียกร้อง เฟื่องตกใจ พยายามผลักไส
"อย่านะ พี่ พี่สัญญากับฉันแล้ว"
เนื้อตัวเฟื่องสั่นสะท้านกับอ้อมกอดและจูบของขาบ หักห้ามอารมณ์ไม่ได้ ขาบดันเฟื่องลงนอนกับพื้นกระท่อม
จบ ตอนที่ 10