
'บางระจัน'ตอนที่1-2
06 ม.ค. 2558
'บางระจัน'ตอนที่1-2
ตอนที่ 1
เมื่อปีพุทธศักราช 2308 พระเจ้ามังระ แห่งกรุงอังวะ พระมหากษัตริย์ รัชกาลที่ 3 แห่งราชวงศ์อลองพญา ปรารถนาจะปราบราชอาณาจักรศรีอยุธยาให้ราบคาบ จึงส่งกองทัพใหญ่รุกเข้าแผ่นดินของคนไทยพร้อมกันถึงสองทาง เพื่อสะดวกแก่การรวบรวมไพร่พลและเสบียงอาหาร
ทัพเหนือมี เนเมียวสีหบดี เป็นแม่ทัพ เข้าตีหัวเมืองล้านนา ล้านช้าง แล้วยกลงมาเป็นสองทาง ตีตาก กำแพงเพชร ทางหนึ่ง ตีพิชัย สวรรคโลก สุโขทัย พิษณุโลก พิจิตร ทางหนึ่ง มารวมทัพที่นครสวรรค์ แล้วเคลื่อนลงผ่านสิงห์บุรี อ่างทอง ตั้งค่ายใหญ่ที่ชานกรุงศรีอยุธยา ณ วัดป่าฝ้าย ปากน้ำประสบ
ทัพใต้มี มังมหานรธา เป็นแม่ทัพ ออกจากอังวะมาสมทบกับกำลังอีกส่วนหนึ่งที่หงสาวดี เมาะตะมะ ตะนาวศรี มะริด และทวาย มุ่งเข้าตีเพชรบุรี ราชบุรี สุพรรณบุรี กาญจนบุรี มุ่งสู่กรุงศรีอยุธยา ตั้งค่ายอยู่ ณ บ้านสีกุก และสามแยกบางไทร
ภายในท้องพระโรงสรรเพชญ พระเจ้าเอกทัศน์ทรงกริ้วเหล่าข้าราชบริพารที่ปฏิบัติราชการ
สนองไม่ต้องพระประสงค์ สมเด็จพระเจ้าอุทุมพรทรงประทับฟังด้วยพระอาการสงบ เนื่องจากเพิ่งทรงลาสิขาบทมา โดยมีเที่ยง ชุดทหารอาทมาตหมอบเฝ้าอยู่แทบพระบาท
กรุงศรีอยุธยาไม่ได้ส่งกองทัพออกไปต้านข้าศึกถึงชายแดน เพียงแค่รอตั้งรับอยู่แต่ในกำแพงพระนคร เป็นเหตุให้กองทัพอังวะมีความสะดวกที่จะออกปล้นสะดมภ์ กวาดต้อนชาวบ้านไทยไปเป็นเชลย สร้างความเดือดร้อนแก่ชาวบ้านไปทุกหย่อมหญ้า
มีกลุ่มชาวบ้านไทยธรรมดากลุ่มหนึ่ง ที่หาญกล้ารวบรวมกำลังกันขึ้นต่อต้านศัตรู เพื่อประกาศให้รู้ว่า คนไทยนั้นสู้ตาย หากใครหน้าไหนมาใช้อำนาจเข้าข่มเหงพ่อแม่ พี่น้องตัว และย่ำยีแย่งแผ่นดินที่ใช้ปลูกข้าวกิน
บริเวณลำน้ำกว้าง พันเรืองพยายามควบม้าหนีทหารอังวะอย่างรวดเร็ว ตามเนื้อตัวมีร่องรอยถูกโบยเป็นแผลเกือบทั้งตัว ทหารอังวะตามมาทัน พันเรืองพยายามป้องกันตัวอย่างเต็มที่ จัดการทหารอังวะได้ทั้งหมด
ทันใดนั้น ม้าอีกพวกหนึ่งควบมา เป็นทหารหน่วยพิฆาตของอังวะ ทหารหน่วยนี้เข้ามาล้อมกรอบ พันเรืองเสียทีถูกแทงด้วยหอก จนหอกหักกระเด็น แต่ไม่เข้า
พันเรืองพยายามสู้เอาตัวรอด ตัดสินใจควบหนี ทหารหน่วยพิฆาตเร่งม้าตามทันที พันเรืองหนีไม่ทัน ถูกรุมล้อม ต่อสู้จนสู้ไม่ไหว คิดว่าตัวเองคงไม่รอดแน่ แต่แล้วก็เห็นคนขี่ควายลุยเข้ามาช่วย
ทหารอังวะถูกตีแยกออกเป็นกลุ่มๆ พ่อทองแสงใหญ่สู้กับทหารอังวะ ทองเหม็นควบควายเข้าขวางทหารพิฆาตไว้ได้บางส่วน จันหนวดเขี้ยวเข้าช่วยพันเรือง
สุดท้ายฝ่ายอังวะสู้ไม่ได้ล่าถอยไป ทองเหม็น ทองแสงใหญ่ จันหนวดเขี้ยว รวมตัวกันเดินมาหาพันเรืองที่ทรุดกองอยู่กับพื้น
"จำพวกข้ามิได้รึ พันเรือง"
"พ่อทองแสงใหญ่"
"เออ พวกข้าเอง"
"พ่อทองเหม็น พ่อจันเขียว"
"ข้านึกแล้วว่าสักวันพันเรืองจะต้องหนีพวกมันมาได้ คนอย่างพันเรืองคงมิยอมให้อังวะมันจับตัวไว้ได้นานดอก"
"ข้ายอมตาย ดีกว่าตกเป็นเชลยมัน"
"พวกข้าคอยลาดตระเวนดูพวกอังวะมันอยู่ทุกวัน นี่มันรุกขึ้นมาถึงแขวงระจันแล้วรึ" ทองเหม็นแปลกใจ
"ยัง ค่ายเกียกกายมันยังอยู่ที่แขวงวิเศษไชยชาญ เพียงแต่ข้าหนีออกจากค่ายมันมาได้ เลยมุ่งกลับระจันบ้านเรา"
"ค่ายเกียกกายมันที่วิเศษไชยชาญเป็นอย่างไรบ้าง" ทองแสงใหญ่ถามขึ้น
"เพลานี้มันพากันเก็บกวาดปล้นครัวไทยเอาเสบียงไปเลี้ยงกองทัพมันเป็นจำนวนมากจนแขวงวิเศษไชยชาญ สามโก้ เดือดร้อนกันไปทั่ว ใครมิยอมมันก็สังหารสิ้น บ้านระจันเราจะนิ่งดูดายกันอีกไม่ได้แล้วอีกไม่นานมันคงย้อนขึ้นมาปล้นเสบียงถึงระจันแน่"
"เราไม่หนีกันดอกพันเรือง" ทองแสงใหญ่บอก
"ข้าก็ไม่ยอมหนี ข้าจะปักหลักสู้มันที่บ้านระจันนี่ ข้าเกิดที่นี่ ขอตายที่นี่" ทองเหม็นย้ำ
"เรากำลังคิดกันว่าจะตั้งค่ายสู้กับมัน" จันทร์หนวดเขี้ยวบอก
"ตั้งค่าย"
"ชาวระจันทุกคนเห็นพ้องต้องกันแล้วว่าเราจะรวมตัวกันสู้ตาย" ทองเหม็นยืนยัน
"แผ่นดินนี้มันของเรา เราจะไม่ให้ใครหน้าไหนมาแย่งไป" จันทร์หนวดเขี้ยวยืนยันหนักแน่น
"พันเรือง เรามาช่วยกันสร้างค่ายบางระจันสู้กับมันเถิด" ทองแสงใหญ่ขักชวน
ทั้งสี่คนมองหน้ากันเหมือนให้สัญญา สาบาน
ณ แขวงวิเศษไชยชาญ เมืองอ่างทอง ชาวบ้านชายหญิงกำลังเร่งเกี่ยวข้าว ทันใดนั้นทหารอังวะ 10 คน ควบม้าเข้ามาฆ่าฟัน ชาวบ้านชายออกหน้าต่อสู้พร้อมตะโกนให้ผู้หญิงหนีไป
ชาวบ้านสู้ไม่ได้เพราะมีอาวุธเพียงเคียวอย่างเดียว จึงถูกฆ่าฟันล้มตาย ทหารอังวะควบม้าตามกลุ่มผู้หญิงไป แล้วฉุดกระชากมาข่มขืนก่อนจะฆ่าทิ้ง
ทัพ ทหารอยุธยา ควบม้าตะบึงมาในป่า จนมาพบชาวบ้านถูกฆ่าตายเกลื่อน จึงเข้าต่อสู้กับทหารอังวะ ฆ่าทหารอังวะตายทั้งหมด ทัพได้ยินเสียงร้องครวญครางดังขึ้น รีบวิ่งไปดู เห็นศพหญิงชาวบ้านที่โดนข่มขืน ถูกแทงตายหลายศพ เหลือเพียงหญิงอีกคนที่ยังมีลมหายใจรวยริน เขารีบเอาเสื้อผ้าห่มร่างที่ถูกข่มเหงยับเยิน
"แข็งใจไว้ ข้าจะพาไปในหมู่บ้าน"
หญิงชาวบ้านน้ำตาคลอทนพิษบาดแผลไม่ไหว ตายในอ้อมแขนทัพ ทัพมองสภาพชาวบ้านที่นอนตายด้วยสายตาคั่งแค้น
ที่กระท่อมหลังหนึ่ง ณ บ้านคำหยาด แขวงวิเศษไชยชาญ นางจันทร์แม่ของทัพไม่สบายหนัก โดยมีจวง ลูกสาววัย 18 น้องสาวของทัพ คอยดูแลป้อนยาหม้อให้ ทั้งสองถึงกับตกใจ เมื่อเห็นนายกองสังข์ ทหารในกองคุณพระนายหมื่นศรี เดินมายืนจังก้าหน้าจวง และจันทร์ พร้อมหมู่ขาบ ทหารคู่ใจนายกองสังข์ สังข์ขู่ถามหาทัพ แต่จวงยืนยันว่าเธอไม่รู้ว่าพี่ชายอยู่ที่ไหน
ทัพมากราบพระเที่ยง อดีตทหารนายกองอาทมาต ผู้เป็นพ่อ ที่วัด พระเที่ยงมองลูกชายด้วยสายตาหนักใจ
"ทัพ เอ็งยังเป็นลูกข้าอยู่หรือเปล่า"
"ฉันรู้จ้ะหลวงพ่อ ว่าฉันคือ ไอ้ทัพ ลูกหมู่เที่ยง อดีตทหารอาทมาตฝีมือลือที่ศึกพม่า หาดหว้าขาว แต่เวลานี้ฉันตัดสินใจแล้วว่าจะไม่กลับไปเป็นทหารตามหมายเกณฑ์กรุงศรี"
"ไอ้ทัพ ชั่ววันมะรืน ทุกครัวในทุ่งคำหยาดนี่ก็ต้องถูกต้อนเข้ากรุง หนีภัยศึกอังวะ เอ็งก็รู้ลูกหลานบ้านใดแตกทัพหนีไป คนในบ้านต้องถูกริบไปเป็นไพร่หลวง" ทัพเครียด
"แล้วนังจวงน้องเอ็งกับแม่เอ็งจะทำอย่างไร คิดหรือไม่ ไอ้ทัพ หรือเอ็งจะยอมได้ชื่อว่าเป็นลูกเนรคุณ"
ทัพมองพ่อด้วยสายตาดื้อรั้น เด็ดเดี่ยว
จวงกับจันทร์ร่ำไห้ออกมาด้วยความกลัวจับใจ สังข์ยิ่งเห็น ยิ่งขู่เข็ญ
"นี่เหรอวะครอบครัวทหาร เสียแรงไอ้ทัพเป็นเพื่อนยาก เรียนดาบมากับข้า แต่ศึกพระเจ้ากรุงอังวะคราวนี้ มันกลับหนี ทิ้งแม่ทิ้งน้องเพราะกลัวตาย"
"ไม่จริง ลูกข้าไม่ยอมถูกเกณฑ์คราวนี้ เพราะไม่อยากรับใช้ทหารชั่ว เพื่อนทรยศอย่างเอ็ง ไอ้สังข์ ไอ้ขาบ"
"หมู่ขาบ เอาตัวลงมา ทั้งแม่ทั้งลูก"
ขาบกับทหารพุ่งเข้าไปดึงทั้งจวงและจันทร์ลงมาจากบ้าน จวงพยายามอ้อนวอนว่าเธอไม่รู้ว่าทัพอยู่ที่ไหนจริงๆ
"ข้ามีเวลาให้ถึงวันพรุ่ง จวง เก็บข้าวของให้พร้อม ข้าจะมารับเอ็งกับแม่ไปจากที่นี่ก่อนที่ทัพอังวะจะเข้ามาตีแล้วเอาพวกเอ็งไปเป็นเชลยศึกส่งเสบียงเลี้ยงกองทัพมัน"
"ข้าไม่ไป ข้าคนทุ่งคำหยาด ข้าจะขออยู่ขอตายที่นี่"
"น้าจะตายที่นี่ก็ได้ น้าจันทร์ แต่จวงลูกสาวน้า ต้องไปเป็นเมียนายกองสังข์"
จวงตกใจ เมื่อได้ยินคำขาดของสังข์
ทัพรีบมาที่กระท่อม ไม่เจอใคร กำลังจะออกไปตาม จันทร์และจวงแอบอยู่ในพงหญ้าก็ส่งเสียงเรียกทัพ ทัพรีบวิ่งเข้าไปประคองแม่
"เอ็งกลับมาทำไม ทัพ คนทุ่งคำหยาดกำลังถูกต้อนเข้ากรุงศรี"
"ให้พวกเราทิ้งที่เกิด ที่นา ถ้าโชคร้ายพวกเราเจอกองทัพพระเจ้ากรุงอังวะระหว่างทาง ไม่ตายก็ต้องถูกริบไปเป็นเชลย ไอ้ทัพขอยอมตายสิ้นชื่ออยู่ที่ทุ่งคำหยาดแผ่นดินเกิด"
"กองทัพอังวะมีมากมายหรือลูก"
"มากสุดลูกลูกตาจ้ะแม่ ตามทางมาบ้าน ฉันเห็นทหารอังวะเข้าปล้นหมู่บ้าน ครัวสยามพากันหนีตายตลอดทาง พูดกันต่อๆ ว่าทัพอังวะกำลังตั้งค่ายมุ่งมาอยู่ที่วัดป่าฝ้าย ปากน้ำพระประสบ"
"ให้พวกมันยกมา ยังไงก็ทำอะไรกรุงศรีของเราไม่ได้"
จันทร์พูดด้วยความมั่นใจ แล้วไอโขลกเพราะโรคร้ายที่รุมเร้า
"ได้ยามามั้ยจ้ะพี่"
"จนใจเหลือเกิน หมอท่านปิดบ้านหนีภัย ย้ายครัวขึ้นเหนือ หยูกยาหายากเต็มที"
"ถ้าฉันยอมล่ะ พี่ทัพ"
"เอ็งจะยอมอะไร จวง"
"เราอาจจะได้ยามาให้แม่ ถ้าฉันยอม...เป็นเมียนายกองสังข์"
"ไอ้สังข์ ไอ้เพื่อนชั่ว ยังมีหน้ามาทำเลวกับเอ็งอีกหรือ"
ทัพคำราม ด้วยความเจ็บใจ นึกถึงความหลัง เมื่อครั้งรบกับทัพอังวะที่นครสวรรค์ สังข์กับขาบ ซึ่งเป็นเพื่อนรีบหนีเอาตัวรอด ไม่ยอมรบเคียงบ่าเคียงไหล่กับเขา และสังข์ยังจะฉุดจวงไปเป็นเมีย เรื่องนี้จึงเป็นเหตุให้เพื่อนหมางใจกัน
ทัพเจ็บใจเพื่อน จวงแตะมือพี่ชายหน้าเศร้ามาก
"เพราะฉัน พี่กับพี่สังข์ พี่ขาบถึงแตกกัน"
"ไม่ใช่เพราะเอ็งหรอก จวง สันดานไอ้สังข์มันชอบเป็นใหญ่ อวดอำนาจวาสนา ไอ้ขาบมันก็นายว่าขี้ข้าพลอย"
"แล้วเราจะทำยังไงกันพี่ทัพ ถ้าพี่สังข์ พี่ขาบเอาทหารมาจับพี่ จับฉันกับแม่"
"พี่จะไม่ยอมถูกจับ จวง ต่อให้ต้องหนีไปจนตาย พี่ก็จะดูแลเอ็งกับแม่ ดูแลคนที่พี่รักทุกคนให้ดีที่สุด" ทัพพูดอย่างมุ่งมั่น
0000000000000000000
เฟื่อง หญิงสาวชาวบ้าน วัย 19 ปี สาวสวยประจำหมู่บ้านทุ่งคำหยาด นั่งกอดเข่าอยู่ที่ใต้ตาล 5 ต้น รอคนรัก ทัพพุ่งเข้ามาปิดปากเฟื่องไว้
"พี่ทัพ หยอกฉันอีกแล้ว พี่เป็นยังไงบ้าง เขาว่านายกองสังข์ หมู่ขาบเอาทหารกรุงมาตามจับตัวพี่"
ทัพกุมมือเฟื่องไว้ ได้แต่มองคนรักอย่างคิดถึง เฟื่องอายแต่ก็อยากรู้
"เล่าให้เฟื่องฟังก่อนสิจ๊ะ พี่ทัพ"
"เจ้าถามพี่ด้วยแววตาด้วยรอยยิ้มหวานๆ จะให้พี่เสียเวลาพูดเรื่องไอ้สังข์มันทำไม"
ทัพกุมมือเฟื่องไว้อย่างนุ่มนวล
"ฉันถามด้วยความเป็นห่วง"
"พี่ก็ห่วงเจ้านักหนา เฟื่อง ถึงลอบมาหาตามนัด"
เฟื่องยิ้ม ทัพกุมมือเฟื่องไว้ แล้วค่อยโอบประคองเข้ามาในอก
"สิ้นศึกครานี้ พี่จะให้แม่มาสู่ขอเจ้าไปเป็นแม่เรือน"
เฟื่องซุกตัวลงในอกทัพ ทัพกำลังจะจูบประทับลงที่แก้ม ลูกตาลก็ตกลงหัวพอดี ทัพมองไปเห็นใครคนหนึ่งเพิ่งโดดลงจากต้นตาล เขาคิดว่าเป็นพวกไส้ศึก จึงรีบตามไป แล้วคว้าตัวไว้ พอเห็นหน้าก็อึ้ง
"นังแฟง"
แฟง สาวน้อยวัย 16 ปึ เป็นน้องสาวของเฟื่อง
"ทำไม คิดว่าฉันเป็นไส้ศึกอังวะมาแอบดูคนหน้าไม่อาย พลอดรักกันใต้ต้นตาลล่ะสิ"
"มานี่ ข้าจะจับตัวเอ็งไปให้แม่เฟื่องหวดเสียให้ก้นลาย"
"ฉันไม่ใช่เด็ก ถึงจะมาหวดก้นฉัน"
"เอ็งน่ะมันเด็ก เด็กดื้อ เด็กทะโมน นังแฟง"
"ทัพคว้ามือแฟง จะดึงขึ้นมา แต่เจอแฟงกำดินในมือ เขวี้ยงใส่เต็มหน้า ทัพเซ เฟื่องวิ่งตามมาทันเห็น
"นังแฟง ผีบ้าเข้าหรือเอ็ง ถึงมาทำพี่ทัพ"
"ผีบ้าเข้าสิงพี่น่ะสิ พี่เฟื่อง ถึงเที่ยวหลบมานั่งพลอดรักกับผู้ชายในทุ่ง"
"นังแฟง"
"ไม่ต้องขึ้นเสียง ฉันจะฟ้องแม่ คอยดู ฉันจะไปฟ้องแม่"
"เอาสิ นังแฟง ข้าก็จะฟ้องเหมือนกันว่าเมื่อบ่ายเอ็งหนีงานในนา ไปดูชนไก่ที่ท้ายบ้าน"
"พี่เฟื่อง"
"ไม่ต้องขึ้นเสียง แฟง เอ็งมีปาก ข้าก็มีปากเหมือนกัน"
ทัพกรอกตาไปมา มองสองพี่น้องไม่ยอมกันทั้งคู่
ทัพมาหานางเฟี้ยมแม่ของเฟื่องกับแฟงที่กระท่อม เฟี้ยมถามหาฟัก ลูกชายที่ถูกเกณฑ์ไปทัพหลวงนานแล้ว แต่ยังไม่กลับบ้าน ทัพรับปากว่าจะสืบข่าวของฟักให้
แฟงนั่งกอดเข่าข้างคอกควาย โมโห มองทัพกับเฟื่องลงมาจากเรือน
"ฟักไปทัพหลวง แต่พี่เป็นคนหนีทัพ ถ้าเจอกัน คงมีแต่ฟันกันละเอียดไปข้าง"
"พี่ทัพอย่าพูดเป็นลาง ฉันไม่อยากได้ยิน"
ทัพมองหน้าคนรัก ยิ้มให้
"แม่เฟื่อง แม่ยอดดวงใจของพี่"
"ฉันคงไม่กล้าบอกให้พี่ยอมก้มหัวให้พวกนายกองสังข์ สุดแต่พี่ทัพจะตัดสินใจ อย่างไรฉันก็ยืนข้างพี่ ฉันจะรอพี่ทัพของฉันคนเดียว"
ทัพปลาบปลื้มมาก กุมมือเฟื่องมาจูบเบาๆ
"พี่ก็จะรักเฟื่องยอดรักของพี่คนเดียว วันไหนที่ไอ้ทัพเปลี่ยนใจ วันนั้นคือวันที่ไอ้ทัพจะสิ้นลมหายใจ"
เฟื่องเอามือปิดปากทัพ ทัพจูบมือเฟื่องอีกครั้ง
"รีบกลับมาหาฉันนะพี่"
"พี่จะกลับมาตามสัญญาของเรา"
ทัพปล่อยมือเฟื่องเดินหายไปในความมืด เฟื่องกำลังจะขึ้นบ้าน หันเห็นแฟงนั่งจ้องมาจากข้างคอกควาย
"แฟง นั่นเอ็งใช่มั้ย เข้าบ้านเถอะ หรือว่าจะนั่งให้ยุงกัดทั้งคืน"
"ไม่ต้องสนใจฉันหรอกพี่เฟื่อง อีกหน่อยพี่เฟื่องออกเรือนไป ฉันก็ต้องอยู่คนเดียว มียุงกับนังดำเป็นเพื่อน"
"พี่ออกเรือนแล้วเอ็งจะเลิกเป็นน้องพี่หรือ แฟง"
"แค่เริ่มรักกับพี่ทัพ พี่ยังไม่ไปเที่ยวเล่นกับฉันเหมือนก่อน เอาแต่นั่งรอพี่ทัพใต้ตาล 5 ต้น อีกหน่อยพอเป็นเมียพี่ทัพ พี่คงลืมว่ามีน้องสาวชื่ออีแฟง"
แฟงปาดน้ำตาน้อยใจ วิ่งหนีขึ้นเรือนไป เฟื่องมองตามอ่อนใจที่แท้น้องสาวกลัวไม่มีเพื่อนเล่นนี่เอง
สังข์กับขาบอยู่ในกระโจมที่พัก ขาบรินเหล้าให้สังข์
"เกณฑ์คนเข้ากรุงศรีครานี้ นายกองอย่าลืมครัวนังเฟื่องด้วยนะ"
"ข้ารู้ใจเอ็งหรอก ไอ้ขาบ อยากจะเอาตัวนังเฟื่อง คนรักไอ้ทัพมานอนกอดล่ะสิ"
"ฉันก็หวังพึ่งบารมีนายกอง ช่วยป้องฉันจากดาบไอ้ทัพ"
"ไม่ต้องกลัว ข้าจะบอกคุณพระนายหมื่นศรีว่าไอ้ทัพมันหนีทัพ ไม่ยอมเป็นไพร่เกณฑ์สู้ศึก ก็เท่ากับไปเข้าข้างอังวะ ทีนี้เราก็เข้าริบครัวนังเฟื่อง นังจวง เอ็งก็เอานังเฟื่อง คนรักของไอ้ทัพไป ส่วนนังแฟง สาวรุ่น ข้าก็จะให้คอยรับใช้ข้า สลับซ้ายขวากับนังจวง น้องสาวไอ้ทัพ"
สังข์กับขาบหัวเราะชอบใจ
ทัพสุ่มหลบอยู่ในป่า มีคนไม่ต่ำกว่า 10 คน ขี่ม้ามุ่งเข้ามาจะจัดการเขา ทัพกับชายแปลกหน้าปะทะดาบกัน ทัพเห็นโอกาสพุ่งเข้าฟันชายร่างสูงคนหนึ่งอย่างรวดเร็ว จนชายคนนั้นถอยและเข่าอ่อน หมดแรง ล้มลง ทัพพุ่ง จะปักดาบลงกลางอก แต่ต้องชะงักเมื่อเห็นหน้าคู่ต่อสู้ชัดๆ
"ไอ้ฟัก"
ฟักตะลึงที่เจอทัพ ทั้งสองคนพร้อมด้วยคนติดตามคือ หมู่เคลิ้ม เจ้าเอิบ เจ้าช่วง พากันเข้ามาคุยในโบสถ์ เคลิ้มเล่าว่าพวกเขาอยู่กองม้าพระพิเรนทรเทพ แตกพ่ายมาจากกาญจนบุรี ถูกทหารอังวะเป็นพันไล่ต้อน พวกนายหมวดนายกองพากันหนีตายทั้งสิ้น พวกฟักคิดว่าคราวนี้จะไม่กลับเข้ากรุงศรีอยุธยาแล้ว
"ข้าคิดว่าบ้านคำหยาดจะมีข้าคนเดียวที่เป็นคนหนีทัพ" ทัพบอก
"พี่เคลิ้มมีกองม้าอยู่ 30 ถ้าพี่ทัพมีกำลังคิดอ่าน เจอกองตระเวนอังวะที่ไหน พวกเราคงได้ฟันพวกมันกันละเอียดให้หนำใจ"
"เอาสิ พี่น้อง ไอ้ฟัก หมู่เคลิ้ม ไอ้เอิบ ไอ้ช่วง ข้าเจ็บแค้นนัก พวกมันปล้นครัวสยาม พ่อแม่ลูกเมียต้องพลัดพราก เลือดพี่น้องสยามไหลนองทาบทาผืนดิน ผืนนาของแม่โพสพ"
พระเที่ยงก้าวออกมา
"พวกเอ็งเคยรับใช้กองทัพกรุงศรีอยุธยา ได้ชื่อว่าเป็นทหารแห่งองค์พระมหากษัตริย์ จะทำการใด อาตมาขอไตร่ตรองให้จงหนัก หากจะคิดหนีทัพ ลดเกียรติทหารกรุง ไปใช้ชีวิตอย่างโจร"
ทุกคนนิ่งเงียบ ชั่งใจมองหน้ากันเมื่อได้ยินคำเตือนของพระเที่ยง
ที่หมู่บ้านสามโก้ แขวงวิเศษไชยชาญ ทหารอังวะ นำโดย นายกองอูจี เข้าบุกโจมตี ผู้ใหญ่แสง พ่อของสไบ สาวรุ่นวัย 18 ปี พร้อมด้วยดอกรัก หลานชายผู้ใหญ่แสง ออกหน้าต่อสู้พวกอังวะ โดยให้สไบพาพวกผู้หญิงหนีไป
สไบพาหญิงชาวบ้านมาหลบในถ้ำ แล้วเธอก็ย้อนกลับไปที่หมู่บ้านเพื่อจะพาผู้หญิงออกมาอีก ระหว่างทางสไบเจอทหารอังวะเข้าข่มเหง แต่ ใจ พรานหนุ่มวัย 20 ปี เข้ามาช่วยไว้ พาหนีหลบกระสุนปืนของพวกอังวะ
ดอกรักเลือดโทรมกาย ใบหน้าปูดช้ำเพราะโดนรุม ถูกจับมารวมกับผู้ใหญ่แสงที่ถูกมัดรวมกับชาวบ้านชายอีกหลายคนที่เนื้อตัวหน้าตาแตกยับ อูจีกับทหารล้อมวงมองสภาพคนสยามที่หมดทางสู้ อูจีมองสำรวจแล้วจำได้ว่าไม่มีสไบ
ใจกุมมือสไบวิ่งกระสุนของหลบทหารอังวะ สไบเริ่มวิ่งไม่ไหว ใจฉุดมือให้โดดเนินดิน แต่สไบก้าวไม่พ้น ล้มลง ฉุดมือใจล้มไปด้วย ทั้งสองกลิ้งลงจากเนิน ทหารอังวะเล็งปืนวิ่งตามลงมา ใจตกใจคิดว่าหมดทางรอดแล้ว แต่กลับมีพรานอีก 2 คนโดดลงมาจากต้นไม้สูง จัดการทหารอังวะจนราบคาบ
สไบเห็นศพทหารอังวะที่ล้มลงข้างตัวก็ถอยหนี ชนเข้ากับใจที่ยืนอยู่ ใจมองหน้าสไบในระยะแค่คืบอย่างหลงใหล พรานเจิด วัย ๒๕ ปี เป็นพี่ชายของใจ เดินเข้ามาดูอย่างเป็นห่วง พรานจาด วัย 45 ปี พ่อของใจและเจิดสั่งให้จับตัวสไบไปด้วย สไบตกใจ ถอยกรูด คิดว่าหนีเสือปะจระเข้แล้ว
สไบมองพรานทั้งสามที่เนื้อตัวหน้าตามอมแมมด้วยความกลัว อ้อนวอนขอชีวิต บอกว่าเธอไม่มีแก้วแหวนเงินทอง มีแต่ร่างกายของเธอถ้าอยากได้ แต่ใจบอกให้พี่ชายเลิกแกล้งสไบเสียที เจิดหัวเราะขี้เล่นขึ้นมา หมดมาดโจรทันที แต่จาดนิ่งๆ พลางถามว่าสไบจะไปไหน
"ฉันจะกลับบ้าน"
"กลับไม่ได้" ใจตอบเร็ว พ่อและพี่ชายรวมทั้งสไบมองอย่างสงสัย
"หนีทหารมา แล้วจะกลับไปทำไม" ใจตอบกลบเกลื่อน
ทหารอังวะเข้าไปจับพวกผู้หญิงที่หลบอยู่ในถ้ำ กลับไปที่หมู่บ้าน ไปกองรวมกับพวกผู้ใหญ่แสงและดอกรัก ผู้ใหญ่แสงแปลกใจว่าในกลุ่มนี้ไม่มีสไบ ทำให้ผู้ใหญ่แสงกับดอกรักผ่อนคลายลง แต่อูจีเอ่ยถามเสียงดัง
"ผู้หญิงหายไป คนสวยๆ หายไปไหน"
ผู้ใหญ่แสงแสงกับดอกรักหน้าเสียทันที
จบ ตอนที่ 1
00000000000000000
บางระจัน ตอนที่ 2
ภายในป่า สไบรับน้ำจากกระบอกไม้ไผ่มาจากเจิด
"ขอบใจพี่ๆ ที่ช่วยฉัน แต่ยังไงฉันก็ต้องกลับไปช่วยลูกบ้านที่เหลือ โชคดีคราหน้าคงได้เจอพี่ๆ อีก"
"อย่าไป รอก่อน ให้ค่ำค่อยไป" ใจห้ามไว้
"ไม่ได้หรอก หมู่บ้านฉันกำลังถูกทัพอังวะปล้น พ่อฉัน ผู้ใหญ่แสง พี่ดอกรัก กับพวกผู้ชายกำลังต้านไว้ มีผู้หญิงกับเด็กที่ฉันต้องกลับไปช่วยพาออกมา ไม่อย่างนั้น จะถูกพวกมัน ข่มเหง"
ปลายเสียงสไบเต็มไปด้วยความคั่งแค้นใจ
"ให้เราไปช่วยด้วยคน"
"ไม่ใช่เรื่องของเรา ไอ้ใจ"
"ช่วยเขาเถอะพี่เจิด พ่อจาด"
ใจมองขอร้องพ่อกับพี่ชาย
"เราจะพาสไบไปซ่อนตัว"
"อย่ายุ่ง ใจ" จาดห้าม
"ที่พี่ช่วยฉันจากพวกทหาร ฉันก็ไม่รู้จะตอบแทนยังไงแล้ว ฉันไหว้นะจ๊ะ ฉันไปก่อน พ่อจาด พี่เจิด พี่ใจ"
สไบยิ้มให้ทุกคน แล้วรีบเดินออกไป ใจมองตามด้วยความเป็นห่วงมาก
"ช่วยสไบเถอะ พ่อ พี่เจิด ปล่อยกลับไป สไบก็ต้องกลายเป็นเชลย"
ใจวิงวอนขอร้องพ่อกับพี่ชาย
สไบวิ่งกลับมาที่ถ้ำ แต่ไม่เห็นชาวบ้าน เธอตกใจมาก พอหันกลับมาก็เจอทหารอังวะที่ซุ่มรออยู่ 2 คนตรงเข้ามาจับตัวสไบ ต่อยท้องจนสลบ แล้วแบกขึ้นบ่าไป
ใจวิ่งตามสไบมาที่ถ้ำ มองหาเข้าไปในถ้ำไม่มีใคร เจิดแปลกใจ
"เอ็งจะมาตามผู้หญิงคนเดียวทำไมวะ ไอ้ใจ เขาต้องกลับไปหาพ่อแม่พี่น้อง หาคนรักเขา หรือไม่ ไอ้ใจมันก็ต้องชะตาน้องสไบเสียแล้ว"
ใจชะงัก ที่โดนเจิดกระเซ้าตรงใจ แต่พยายามกลบเกลื่อนไม่แสดงออก หันไปบอกเหตุผลกับพ่อ
"คนอย่างฉัน ช่วยแล้วก็ต้องช่วยให้ถึงที่สุด"
"มันไม่ใช่เรื่องของเรา ใจ"
จาดเสียงเข้ม จนใจต้องหยุด
สไบถูกทหารอังวะแบกกลับมาที่หมู่บ้าน ดอกรักกับผู้ใหญ่แสงตกใจ อูจียิ้มทันทีที่เห็นสไบ ดอกรักเข้าไปเขย่าปลุกสไบ สไบเริ่มรู้สึกตัว อูจีบังคับให้ทุกคนยอมเป็นเชลยของเขา ด้วยการเอาดาบจ่อ ขู่จะฆ่าสไบ หากทุกคนไม่ยอมทำตาม ทหารอังวะเอาดาบจ่อชาวบ้านหลายคน
ผู้ใหญ่แสงรู้สึกกดดันมาก จนต้องยอมรับเป็นชลยของพวกอังวะ สไบกับดอกรักมองผู้ใหญ่แสงอย่างผิดหวัง
"พ่อไม่ได้ห่วงแต่เจ้า สไบ พ่อต้องรักษาชีวิตลูกบ้านไว้ เป็นเชลยยังมีลมหายใจ ดีกว่าต้องตายกันหมด"
สไบทดท้อ ขมขื่น ไม่ต่างจากดอกรัก อูจีมองสไบสายตาโลมเลีย
ทัพนั่งอยู่ในโบสถ์ ฟังหมู่เคลิ้มกับพวกเล่า
"พวกฉันสังกัดกองม้าของพระพิเรนทรเทพ พอแตกพ่ายจากกาญจนบุรีก็บ่ายหน้ากลับมาบ้าน ตลอดทางเห็นแต่ทหารทัพอังวะเข้าตี ปล้น ริบทรัพย์ จับเชลย อนาถใจเหลือเกินพี่ทัพ"
"พ่อ แม่ ลูกพลัดพราก จากเป็น จากตาย" เอิบเล่าต่อ
"เดี๋ยวมันคงมาถึงบ้านคำหยาดของเรา" ฟักบอก
ทัพลุกพรวด "ข้าจะไปฟันไอ้พวกข้าศึกให้ละเอียด"
"ฉันมีกองม้าซุ่มอยู่ 30 พอจะเป็นกำลังคิดอ่านได้ พี่ทัพจะนำไปทางไหนก็นำเถิด" เคลิ้มบอก
ทุกคนมองหน้าทัพ ยกให้เป็นผู้นำ พระเที่ยงเดินออกมา
"พวกเอ็งคิดดีแล้วหรือที่จะรบเยี่ยงโจร มิใช่ทหาร โดยเฉพาะเอ็ง ทัพ เอ็งเป็นลูกอาตมา นายทหารอาทมาตแห่งวิเศษไชยชาญ"
"ฉันไม่เคยลืมว่าฉันเป็นลูกทหาร ตัวเองก็เคยเป็นทหาร แต่หลวงพ่อก็รู้ว่าฉันต้องกลายเป็นคนหนีเกณฑ์เพราะใคร"
ทัพมองพ่อ นึกถึงอดีต เมื่อเขา สังข์ และขาบกลับมาจากรบ นางจันทร์ป่วยพอดี ทัพคิดจะพาแม่ไปหาหมอ
ในขณะเดียวกับที่สังข์กับขาบก็รับสินบนมาจากผู้ใหญ่เทิด เพราะผู้ใหญ่เทิดไม่อยากให้ลูกชายของตนต้องถูกเกณฑ์ทหาร สังข์กับขาบยอมรับสินบน และคิดว่าจะเอาทัพไปเป็นทหารแทนลูกชายผู้ใหญ่เทิด ทั้งสองจึงไปหาทัพที่บ้าน
"ข้าขอพาแม่ไปรักษาก่อนเถอะวะ สังข์ เขาว่ามีพระรักษาเก่งๆ ที่สุพรรณ"
"ไม่ได้ เอ็งจะเห็นแก่แม่มากกว่าไปศึกไม่ได้ ขืนข้าช่วยเอ็งให้เลี่ยงทัพ ข้าก็เดือดร้อน"
"พี่ทัพไปชั่วไม่กี่วัน รอหน่อยเถอะพี่สังข์ พี่ขาบ" เฟื่องช่วยพูด
"หลวงท่านสั่งมา ข้ารอไม่ได้ ต้องตามที่หลวงท่านสั่ง"
"งั้นก็ให้คนอื่นไปบ้างสิ ลูกชายผู้ใหญ่เทิดล่ะ มันก็ถูกเกณฑ์ไปได้" แฟงโพล่งขึ้น
สังข์ ขาบตกใจที่แฟงพูดจี้ใจ จึงดุเสียงดัง
"ยุ่งน่ะ เฟื่อง แฟง เป็นหญิง ก็อยู่ส่วนหญิง ไปหุงข้าวอยู่ก้นครัวนั่นไป"
"เรื่องหุงหาอาหาร พี่เฟื่องกับฉันไม่เคยบกพร่องอยู่แล้ว ว่าแต่พี่สังข์พี่ขาบน่ะ บกพร่องเรื่องของตัวหรือไม่ เห็นชาวบ้านเขาว่าวันก่อนขึ้นเรือนผู้ใหญ่เทิด หายไปนานสองนาน กลับลงมา ก็มีอัฐไปซื้อข้าวของเสื้อผ้าใหม่"
"เอ็งพูดอะไรนังแฟง อย่ามาใส่ความข้า" สังข์ร้อนตัว
"จริงหรือ ไอ้สังข์ เอ็งรับอัฐมาช่วยลูกชายผู้ใหญ่ แทนที่จะเห็นใจเพื่อน"
"เอ็งพูดอะไร นังแฟง ไอ้ทัพ เอ็งจะเชื่อลมปากนังเด็กนี่มากกว่าเพื่อนหรือ นังแฟงมันโกหก"
"ถ้าฉันโกหก ขอให้ฟ้าผ่าฉันตายเสียตรงนี้"
"ฟ้าที่ไหนจะผ่ากลางวันแสกๆ ฮะ นังแฟง"
อยู่ๆ เสียงฟ้าคำราม ลมฝนพัดมา ท้องฟ้าดำมืด สงข์กับขาบตกใจ จวงพูดขึ้นทันที
"สาบานสิ พี่สังข์ พี่ขาบ สาบานว่าพี่ไม่ได้เห็นคนอื่นดีกว่าเพื่อน"
เสียงฟ้าคำราม ลมพัดปลิว ทัพจ้องสังข์กับขาบ สังข์จวนตัว กลัวตายเพราะคำสาบาน ชักดาบออกมา
"ข้า นายกองสังข์ เอ็งเป็นไพร่หลวงทหารเลว เอ็งต้องเชื่อฟังข้า ไอ้ทัพ"
"เอ็งเป็นนายกองได้เพราะฝีมือ หรือ ฝีปาก ข้าเพิ่งรู้ว่าลิ้นเอ็งตวัดได้ยาวถึงหู เพราะเห็นแก่ อัฐเล็กๆ น้อยๆ"
"หยุดนะไอ้ทัพ เอ็งกำลังด่าทหารแห่งกรุงศรี"
"เอ็งกล้าใช้คำนี้หรือ รบที่นครสวรรค์ เอ็งสองคนก็วิ่งหนี ทั้งๆ ที่เราสู้ข้าศึกได้ เอ็งที่ถือว่าตัวเป็นทหาร กลับก้มหัวให้อัฐที่เขาเอามาซื้อเกียรติ ซื้อศักดิ์เอ็ง"
สังข์กระโดดถีบทัพทันที ทัพกลิ้งไป
"ลุกขึ้นมา แล้วไปกับข้า ไม่งั้นข้ารายงานว่าเอ็งจงใจหนีทัพ"
"ข้าไม่ไป คนอย่างข้า ขอรับใช้นายที่ดีมีความยุติธรรม ไม่ใช่นายชั่ว รักตัวกลัวตาย เห็นแก่อัฐ เห็นแก่ยศถาบรรดาศักดิ์ บ้านเมืองพินาศมานักต่อนัก เพราะคนมีอำนาจสันดานเลวอย่างเอ็ง"