
ศิลาในน้ำเชี่ยว - ใจรู้...รู้ใจ
รู้เขา รู้เรา รบร้อยครั้ง ชนะร้อยครั้ง หลักการสำคัญในตำราพิชัยสงครามจีนโบราณเพื่อการบรรลุเป้าหมายที่ยังนำมาประยุกต์ใช้ได้ทุกยุคทุกสมัย ไม่เว้นแม้แต่ในทางพุทธศาสนา โดยใน กิจกรรมชมรมคนรู้ใจ เมื่อวันก่อน ท่านพระครูเกษมธรรมทัต เจ้าอาวาสวัด มเหยงคณ์ ได้ยกหล
คำว่า “จิต” และ “ใจ” หรือบางครั้งที่เรามักเรียกรวมกันว่า “จิตใจ” นั้นในทางพุทธศาสนาถือว่าเป็นสิ่งเดียวกัน มีความหมายเหมือนกัน แม้จะมีการให้คำนิยามและคำเรียกขานที่แตกต่างกันออกไปหลายลักษณะ อาทิ มโน มนัส มนินทรีย์ มนายตนะ วิญญาณ วิญญาณขันธุ์ หรือ วิญญาณธาตุ ต่างสื่อความหมายถึงสิ่งเดียวกัน คือ สภาพธรรมชาติที่เป็นใหญ่ เป็นผู้ปกครองในการรับรู้อารมณ์
จิต และ อารมณ์ ถือเป็นของคู่กันที่จะขาดสิ่งหนึ่งสิ่งใดไปมิได้ เพราะจิตถือกำเนิดขึ้นเพื่อรับรู้ถึงอารมณ์ต่างๆ ไม่มีจิตดวงใดในโลกที่จะไม่รับรู้อารมณ์ แม้แต่ในยามที่เรานอนหลับสนิทไม่ฝัน ซึ่งเรียกสภาพจิตขณะนี้ว่า ภวังคจิต ก็ยังรับรู้อารมณ์อยู่เสมอ โดยเรียกอารมณ์ที่ปรากฏในขณะนี้ว่า กรรมนิมิตอารมณ์หรือกรรมอารมณ์ อันหมายถึงสภาพอารมณ์ที่เรารับมายามใกล้สิ้นใจในภพภูมิก่อน
ยามที่คนเราใกล้ตาย จิตจะมีอารมณ์ปรากฏเป็นนิมิต ทั้งกุศลกรรมและอกุศลกรรม ที่เคยกระทำมาจะกลับมาปรากฏให้รู้สึกอย่างนั้นอีกครั้ง หรือบางคราวจะปรากฏเป็นภาพสถานที่ เหตุการณ์ หรือความเป็นไปที่จะเกิดขึ้นในภพภูมิต่อไป เรียกว่า คตินิมิตอารมณ์ เหล่านี้อย่างใดอย่างหนึ่งเสมอ และหากมีกรรมอารมณ์หรือคตินิมิตอารมณ์ที่ดี โดยอาศัยบุญกุศลที่เคยกระทำไว้เป็นเครื่องผลักดัน ก็จะสามารถเกิดเป็นมนุษย์ได้อีกในภพถัดมา
ดังนั้นจะเห็นได้ว่าแม้ยามหลับ จิตก็ยังรับรู้อารมณ์ได้แต่คนเราจะไม่รู้สึกตัวและไม่สามารถจดจำอารมณ์เหล่านี้ได้ ต่อเมื่อมีอารมณ์ปัจจุบันมากระทบ เช่น กลิ่น เสียง อุณหภูมิร้อนหนาว สัมผัสทางกาย ฯลฯ จิตก็จะตื่นขึ้นจากภวังค์มารับรู้อารมณ์ได้ทันที แล้วจึงค่อยกลับสู่ภวังค์อีกครั้งวนเวียนเป็นกระบวนการสืบต่อกันไปเรียกว่า “วิถีจิต”
จิตจึงถือเป็นผู้รู้อารมณ์ โดยอารมณ์ในที่นี้หมายถึง สภาพธรรมชาติที่จิตไปรับรู้หรือก็คือสิ่งที่ถูกจิตรับรู้นั่นเอง โดยแบ่งออกได้เป็น 2 ประเภท คือ อารมณ์ที่เป็นธรรมชาติ เป็นสิ่งที่เป็นจริง เช่น สีสัน เสียง กลิ่น รส อุณหภูมิ และอารมณ์ที่เป็นสิ่งสมมติซึ่งถูกมนุษย์ปรุงแต่งขึ้นมาเอง เช่น ชื่อ ภาษา รูปร่าง สัณฐาน ความหมาย
ในทางพระพุทธศาสนานั้น การสำรวจจิตใจถือว่ามิได้มีกระบวนการสิ้นสุดเพียงแค่ที่ “ใจรู้” หากแต่ยังต้องไปให้ถึงขั้น “รู้ใจ” ด้วยสติที่ตั้งมั่น ยกตัวอย่างเช่น เมื่อเกิดเสียงเราได้ยิน นี้เรียกว่าใจรู้ แต่มันจะไม่มีประโยชน์เลยหากเราไม่พาใจเข้าไปสังเกตรับรู้ “สภาพการได้ยิน” นั้นควบคู่กันไป โดยใช้จิตใจที่มีสติสัมปชัญญะตั้งมั่น เมื่อนั้นจึงจะกล่าวได้ว่าเราสามารถเข้าไปรู้จิตใจของตนเองแล้ว
ทั้งนี้ การรับรู้อารมณ์กระทำได้หลายทางผ่านผัสสะทั้ง 6 ได้แก่ ตารับรู้รูป หูรับรู้เสียง จมูกรับรู้กลิ่น ลิ้นรับรู้รส กายรับรู้สภาพร้อน หนาว อ่อน แข็ง และใจรับรู้อารมณ์และความคิดต่างๆ เรียกว่า ธรรมารมณ์ ซึ่งมีทั้งที่เป็นความคิดที่เป็นจริงและความคิดปรุงแต่งที่เราสร้างมโนภาพขึ้นมาเอง ผู้ไม่ปฏิบัติเจริญกรรมฐานมักถูกกระทบด้วยความคิดลักษณะนี้อยู่บ่อยครั้ง มากๆ เข้าก็จะกลายเป็นความฟุ้งซ่านในจิตใจจนอาจเกิดเป็นความโกรธ ความโลภ ความหลงไม่จบสิ้น
ใจที่มีสติจะสอนให้เรารู้จักหยุดนิ่งเพื่อคิดพิจารณาสำรวจตนเอง แม้แต่กับผู้ปฏิบัติที่หลงยินดีกับสภาพจิตใจอันว่างเปล่านั่นเพราะมีแต่ใจรู้อารมณ์ สติจะช่วยให้ผู้ปฏิบัติรู้จักแยกแยะความเป็นจริงไม่จ่อมจมอยู่แต่กับความนิ่งที่เกิดขึ้น เมื่อใช้สติสำรวจระลึกรู้ใจตนเองก็จะพบว่าจิตใจมนุษย์นั้นไม่มีวันว่างเปล่าเพราะได้เกิดสภาพรู้ขึ้นมาแล้ว
การสำรวจจิตใจตนเองนี้จะต้องลงมือปฏิบัติอย่างสม่ำเสมอ เพราะถือเป็นการฝึกตนเพื่อให้เราเกิดปัญญา “รู้แจ้ง” ได้เห็นและเข้าใจสภาพความเป็นจริงแห่งธรรมชาติที่ทุกสิ่งล้วนไม่เที่ยง ต้องเปลี่ยนแปลง ไม่สามารถคงอยู่ในสภาพเดิมตลอดไปได้ เหล่านี้จึงเป็นทุกข์ไม่ควรยึดถือสิ่งใดเป็นตัวเราเป็นของเรา เพื่อให้ไปถึงเป้าหมายสุดท้ายของการฝึกปฏิบัติคือการละทิ้งตัวตนและอุปาทานให้ไปถึงพระนิพพาน ดังนี้แล้วการรู้ใจโดยไม่ลงมือปฏิบัติอย่างจริงจังก็จะเป็นเพียงแค่การ “รู้จำ” ซึ่งไม่ก่อประโยชน์ใดๆ เลย
"ดนัย จันทร์เจ้าฉาย"