บันเทิง

‘อำนาจวาสนา’ยอมรับหมดยุคเดินสายเมืองนอก

‘อำนาจวาสนา’ยอมรับหมดยุคเดินสายเมืองนอก

01 ธ.ค. 2557

‘อำนาจวาสนา’ยอมรับหมดยุคเดินสายเมืองนอก : ลูกทุ่ง

 
 
          นักร้องลูกทุ่งหัวโล้นคนแรกของไทย เผยตลาดเดินสายร้องเพลงต่างประเทศเริ่มตีบตัน หันปักหลักทำร้านอาหารฮ่องกง กลับมาสร้างผลงานเพลงใหม่ลูกทุ่งแท้ จับชีวิตจริงตนเองกับภรรยามาเขียนเพลง 
 
          อำนาจวาสนา ภมรพล หรือ อำนาจ ภมรพล นักร้องหนุ่มยุคบุกเบิกนักร้องคาเฟ่ไปร้องเพลงต่างประเทศ เปิดเผยถึงความเป็นมาในเส้นทางลูกทุ่งที่แตกต่างจากคนอื่นๆ กับผู้สื่อข่าวว่า 
 
          "เมื่อก่อนผมเคยใช้ชื่อ อำนาจ วาสนา ตอนร้องเพลงคู่กับ รามิน พิกุลสวัสดิ์ ตอนนั้นใช้ชื่อชุด "สองคนสองคม" เป็นนักร้องดูโอคู่แรกของวงการลูกทุ่งไทย เพราะไม่เคยมีใครมาร้องร่วมกันคนละท่อน สมัยนั้นพี่ ภมร อโนทัย เป็นคนทำ ช่วงนั้นเป็นยุคที่เพลง "สมศรี1992" ดัง แต่ก่อนหน้านั้นผมเคยอัดเสียงมาก่อน ในบริษัทเคเอสซาวน์มาก่อน มีเพลงชื่อ "หนุ่มสกลนคร" ที่พอเป็นที่รู้จัก ส่วน รามิน เขาเคยใช้ชื่อ ศักดิ์ศรี อโนทัย มาก่อน ผมกับรามินเป็นเพื่อนกันตั้งแต่ร้องเพลงที่นภาลัยคาเฟ่ และมีคนมาติดให้ไปร้องเพลงที่ญี่ปุ่น ผมไปช่วงนั้น ถือเป็นรุ่นบุกเบิก ไปร้องร้านอาหารเล็กๆ สมัยก่อนนั้น ไปร้องเพลงจริงๆ ไม่มีจอให้ดูแบบคาราโอเกะ นักร้องต้องอัดซาวน์ดนตรีไป บางร้านก็มีนักดนตรีจริงๆ ผมไปได้ 1 ปีกลับมา แล้วไปอีกเป็นครั้งที่ 2 รายได้ตอนนั้น ถือว่าตั้งตัวได้เลยเก็บเงินได้เป็นล้าน พอกลับมาจากไปร้องเพลง ญี่ปุ่นทั้งสองคน ประมาณ ปี 2536 พี่ภมรเริ่มประสบความสำเร็จ จากเพลง "สมศรี1992" ก็เลยจับผมมาเป็นศิลปินคู่ เพราะเป็นเพื่อนซี้กัน เพลง "สองคนสองคม" ที่เป็นชื่อชุดนั้น พี่ยิ่งยง ยอดบัวงาม เป็นคนแต่งให้" 
 
          นักร้องหนุ่มจากเมืองอยุธยา กล่าวต่อถึงเส้นทาง หลังจากออกเพลงดูโอเป็นคู่แรกของวงการว่า 
          "หลังจากนั้นไปเดินสายกับวงดนตรียิ่งยง ยอดบัวงามทั่วประเทศ เราทั้งร้องเต้น แต่งตัวเหมือนกัน พออิ่มตัวก็มาเป็นนักร้องรับเชิญเป็นคู่ จนมาอยู่ที่ วิลล่าคาเฟ่-ดาราคาเฟ่ ในยุคที่คาเฟ่รุ่งเรืองสุดๆ ช่วงนี้ มีคนมาทาบทามอีกให้ไปร้องเพลงที่เยอรมัน มีเงินเดือนให้ ผมกับรามิน ไปด้วยกัน ไปร้องเพลงอยู่ร้านบัตเตอร์ฟลาย ที่เบอร์ลิน เยอรมันนี ประมาณปี 2539 ช่วงนั้นมีนักร้องคาเฟ่จากวิลล่า-ดารากันมากมายเป็นสิบๆคน ลักษณะร้านที่โน่นเป็นคาเฟ่ ไม่มีจอเนื้อเพลง ร้องกันจริงๆ หลังจากพวกผมไปบุกเบิกแล้ว นักร้องดังๆเขาก็ตามไปกันทีหลัง ผมอยู่เยอรมัน 4 ครั้งๆ ละ 3 เดือนก็กลับมา แล้วก็ไปๆ กลับมาเก๊า ไปร้องเพลงในร้านอาหารไทย 
 
          หลังจากนั้นมีคนทาบทาบทามให้ไปร้องเพลงฮ่องกง มีเงินเดือนให้ ผมก็เป็นรุ่นบุกเบิกอีกแล้ว ลักษณะเป็นคาเฟ่ย่านเก๋าหล่งเส่ง ครั้งแรกที่ไปเขาให้ไปโชว์ 7 วัน 7 หมื่นบาท หลังจากนั้นกลับมา มีคนมาทาบทามให้ไปร้องเป็นเดือน ผมมีลูกค้าเยอะ มีเงินเยอะกลับมา ได้ทำเพลงชุด "รักให้สุขใจ" ซึ่งตอนนั้นตัดสินใจโกนหัว เป็นนักร้องลูกทุ่งคนแรกที่หัวโล้นคนแรกของประเทศไทย ประมาณปี 2541 และขึ้นๆลงๆฮ่องกงอยู่ 6-7 ปี" 
 
          กับคำถามที่มีข่าวลือว่า นักร้องยุคนั้นไม่ได้ขายเสียงอย่างเดียว นักร้องหนุ่มร่างใหญ่ ตอบว่า 
          นักร้องที่จะโชว์ในต่างประเทศตอนนั้น นอกจากหล่อแล้ว ยังต้องมีความสามารถร้องเพลงด้วย ร้องเพลงได้ทุกรูปแบบ คนไทยที่ต่างประเทศที่ชอบเต้นรำ รำวงชาวบ้าน ทุกร้านจะมีแต่นักร้องชายล้วนๆ เพราะผู้หญิงไทยมาอยู่ต่างประเทศมากกว่า มีแต่แขกผู้หญิงมาเที่ยว ในยุคนั้นคนลือว่า นักร้องชายไปขายตัวไม่ได้ไปร้องเพลง ต้องขอบอกว่า ช่วงนั้นเราขายเสียงเพลงจริงๆ แต่เรื่องการรับทิป รับพวงมาลัยหรือการไปนั่งดื่มกับแขกก็เหมือนๆกับคาเฟ่ในเมืองไทยไม่ต่างกัน แต่มายุคนี้ต่างกันโดยสิ้นเชิง หน้ามือเป็นหลัง ทุกอย่างมันเปลี่ยนไปแล้ว นักร้องอาจจะไม่ต้องเน้นที่เสียงดี ร้องเพลงเก่ง แต่ขอให้หน้าตาหล่อๆเท่านั้น หมดยุคทองของนักร้องลูกทุ่งหมอลำที่จะมาเดินสายร้องเพลง โดยเฉพาะในฮ่องกงยุคที่เฟื่องสุดๆ สัปดาห์หนึ่งจะมีนักร้องที่มีชื่อเสียงมากันทุกสัปดาห์ แต่ทุกวันนี้ไม่มีคนไทยมาเที่ยวคาเฟ่แล้ว มีแต่สาวจีน เดินกันขวักไขว่ไปหมด" 
 
          นักร้องหนุ่มภูมิลำเนาภาคกลาง ซึ่งพ่อเป็นชาวสุพรรณบุรี แม่เป็นสาวอ่างทอง กล่าวถึงความลำบากในการร้องเพลงเดินสายต่างประเทศว่า ไม่ได้สบายหรือหรูหราอย่างที่คาดคิดกัน 
          "ชีวิตนักร้องเดินสายต่างประเทศ ความเป็นอยู่ลำบาก เพราะห้องพักมันเล็ก บางทีต้องผลัดกันนอน น่าสงสารมาก บรรยากาศเหม็นอับ ถุงเท้าห้ามนำเข้ามาในห้องเด็ดขาด เพราะจะเหม็นนอนไม่หลับ นักร้องจะนอนเรียงเป็นปลากระป๋อง บางที่มีเตียงสองชั้น นอนคนละชั้น บางทีชั้นนึงนอนเบียดกันสองคน บางทีต้องผมกับรามินต้องนอนหมอนเดียวกัน ผ้าห่มผืนเดียวกัน จนคนนึกว่า ผมกับรามิน พิกุลสวัสดิ์ นักร้องชายสองคนเป็นผัวเมียกัน (หัวเราะ) ที่จริงๆเราเป็นเพื่อนรักกันมาก พอหลังจากหมดยุคเดินสายร้องเพลงต่างประเทศ ผมก็ไปขายของเก่าตามตลาดนัดแถวรังสิต ขับแท๊กซี่ป้ายดำที่สุวรรณภูมิเกือบ 2 ปี แม้ว่าผมจะเป็นนักร้องไม่ดัง แต่ชีวิตไม่เคยตก ผมหนักเอาเบาสู้ อะไรผมที่ถูกกฎหมายก็ทำหมด" 
 
          นักร้องหนุ่มที่เคยแสดงบทพระสงฆ์ ในภาพยนตร์เรื่อง "มนต์เพลงลูกทุ่งเอฟเอ็ม" กล่าวถึง ชีวิตในปัจจุบันว่า 
          "มาถึงวันนี้เจอได้มาภรรยาคนล่าสุดราวๆปี 2549 เขาเปิดร้านอาหารชื่อร้าน "เนตรสุวรรณ" อยู่ย่านซัมซุยโป๋ว ฮ่องกง เราช่วยกันทำธุรกิจนี้ ร้านขายดีมาตลอด พอมาถึงวันหนึ่ง ผมก็อยากทำเพลงขึ้นมาอีก จึงทำงานเพลงชุด "รักสาวพะเยา" มี เจษฎา เรืองนาม ดูแลการผลิตให้ แต่งเพลงให้ด้วย ภรรยาผมเป็นคนพะเยา ผมเลยอยากได้เพลง "รักสาวพะเยา" เราพบกันในฮ่องกง เลยเป็นเพลง "พบรักในต่างแดน" เราอยู่กันมานาน 7 ปี ก็เป็นเพลง "ยิ่งนานยิ่งรัก" และผมกับเขาได้กลับไปพะเยาไปสาบานรักกันที่วัดศรีโคมคำ ก็เลยได้เพลง "วอนพระเจ้าโตนหลวง" ซึ่งถ่ายมิวสิควิดีโอที่พะเยาเรียบร้อยแล้วเมื่อไม่นานมานี้ หาชมกันได้ทางยูทูบครับ" 
 
          ปกติ นักร้องลูกทุ่งส่วนใหญ่ มักปิดตัวเรื่องครอบครัว เพราะเหตุใดจึงยอมเปิดเผยภรรยา และมีผลต่ออาชีพหรือไม่ อำนาจวาสนา กล่าวทิ้งท้ายว่า 
          "ผมมีความจริงใจโปร่งใส อย่างเส้นผมที่ร่วงก็ปล่อยมัน โกนไปเลย มีเมียก็บอกเปิดเผยกัน ไม่ว่าจะทำอะไรก็เป็นตัวตนเราไม่ต้องสร้างภาพ เพลง"รักสาวพะเยา" จึงเป็นเพลงที่มีตัวตนจริงจับต้องได้ มาจากเรื่องจริงของคนสองคน และผมกล้าเอารูปเมียมาออกหน้าในเฟสบุ๊ค ไม่ปิดบังครับ จนเมียของเพื่อนหลายคนยังบอกให้ผัวเขาทำบ้าง (หัวเราะ) ผมคิดว่า ผมเป็นนักร้องที่ขายความสามารถเรื่องการร้องเพลงมากกว่า การโหกจะไม่มีประโยชน์ ตั้งใจร้องเพลงให้ดี แววตาจริงใจ ไม่เสแสร้ง เพราะถ้าเราหลอกแฟนเพลงมันปิดกันไม่ได้ครับ"