เล่นหูเล่นตา:เดินทาง(จบ)
03 พ.ย. 2557
เดินทาง (จบ) : คอลัมน์ เล่นหูเล่นตา โดย... เจนนิเฟอร์ คิ้ม
การเดินทางออกจากความซ้ำซากของชีวิตเพื่อมองหาสิ่งแปลกใหม่และสิ่งที่ดีกว่า ในบางครั้งเรากลับพบว่า...ความซ้ำซากที่เรามีอยู่นั้นมันช่างมีคุณค่าและดีที่สุดสำหรับเราแล้วล่ะ!
สำหรับฉันนี่คือการเดินทางอีกครั้งที่ช่วยตอกย้ำและยืนยันความคิดข้างบน...การเดินทางตามเจ้านายไปดูงาน (ถือโอกาสเลียแข้งเลียขาเจ้านายไปในตัว)...อย่างมึนๆ ไม่รู้ว่าอะไรจะเกิดขึ้นในครั้งนี้ก็สนุกไปอีกแบบ เริ่มจากนั่งเครื่องบินชั้นประหยัดนอนขดไปมานาน 12 ชั่วโมง ลงเครื่องที่ประเทศเบลเยียม ตม.ทำหน้าเหมือนฉันเป็นโสเภณีหมดอายุ ห้ามเข้ามาค้าขายในแถบยุโรป ถามโน่นถามนี่ขอเอกสารมากมายหลายสิ่ง ถอนหายใจแล้วถอนหายใจอีก! กว่าจะยอมให้เข้า ได้แต่นึกในใจว่า...“เมิงอย่ามาประเทศกรูมั่งก็แล้วกัน...กรูจะไม่แค่ถอนหายใจ จะทั้งไอทั้งจามใส่เมิงเลย”
เดินเล่นเปะปะเพื่อรอเวลาขึ้นรถไฟต่อไปกรุงอัมสเตอร์ดัม ประเทศเนเธอร์แลนด์ จุดหมายปลายทางที่ตั้งไว้แต่ต้น...มีเวลาเดินเล่นหลายชั่วโมงไปไหนไม่เป็นเพราะเมืองนี้เข้าใจภาษาดัตช์กับฝรั่งเศส ก็เลยเดินเล่นใกล้ๆ เดินตามถนน ดูพระราชวัง Grand Palace แวะจิบน้ำชาที่ Galeries St.Hubert ซอยที่ขายอาหารหรูๆ ที่นั่งสวยๆ คนอื่นเขากินหอยแมลงภู่เปลือกสีดำกับไวน์ขาว ฉันกับพวกพ้องฟาดกาแฟกับครัวซอง แล้วควักโบโลน่าจากร้านที่เจอโดยบังเอิญเอามากินคู่กัน อร๊อย...อร่อย! หรูหราหมาเห่าสุดๆ!! ถ้าเจ้าของร้านมาเห็นคงค้อน! คนที่นี่นั่งจิบกาแฟ ดื่มไวน์ ดื่มเบียร์ ตั้งแต่สายๆ นั่งตากแดดอย่างมีความสุข ในขณะที่พี่ไทยอย่างพวกเราวิ่งหลบแดดแทบไม่ทัน กลัวฝ้าขึ้นหน้าค่าคู้ณ! …
ได้เวลาเดินทางต่อหอบสัมภาระที่ฝากไว้ในล็อกเกอร์หยอดเหรียญลากปุเลงๆ ขึ้นไปต่อที่สถานีก็ขึ้นผิดขึ้นถูก (ไม่มีภาษาอังกฤษกำกับสักตัว) นั่งหลงออกไปนอกเมืองแล้วกลับเข้ามาใหม่ ปาเข้าไปครึ่งชั่วโมง พอขึ้นถูกสาย ถูกโบกี้ อีชะนีผมทองก็มานั่งทับที่เราซะงั้นจนเกือบจะเป็นเรื่อง เมื่อนางยืนยันว่า “ถึงผิดฉันก็จะนั่ง เจ๊กอย่างพวกแกจะทำไม?” เสียดายที่นี่ไม่ใช่เมืองไทย ไม่งั้น...ฉันต้องจ่ายค่าปรับ 500 บาท ข้อหาทะเลาะวิวาทและทำร้ายร่างกายใช่มะ? งั้นให้ 500 เลย...มาถึงโรงแรมกว่าจะรอกระเป๋ามาส่งถึงห้อง โน่น 30 นาทีผ่านไป รอไม่ไหวต้องลงไปลากขึ้นมาเอง จะขอโน่นขอนี่ หรือสงสัยอะไร อย่าไปถามพนักงานทำความสะอาดห้อง เพราะนางจะฉอดๆๆๆ ลำพังพูดช้าๆ สำเนียงดัตช์ กรูก็ฟังไม่ค่อยรู้เรื่องอยู่แล้ว รัวขนาดนี้ ใครจะไปจับใจความอะไรได้ รู้แค่ว่า...นางกะลัง "รมณ์เสีย! ห้องคืนละ 10,000 กว่าบาท จะเอาอะไรนักหนา (คิดถึงเมืองไทยที่สุดอ่ะ!) แถวโรงแรมก็ไม่ค่อยมีอะไรให้กิน มั่วไปกินอาหารอิตาเลียน แค่สปาเกตตีผัดซอสมะเขือเทศก็เขละขละยังกับข้าวหมู … เชอะ! ขึ้นไปกินมาม่าก็ได้วะ!
อาหารเช้าที่นี่มีให้แค่โยเกิร์ต นม ผลไม้ (กระจิ๋วหลิว) ชีส ขนมปัง ครัวซอง และแฮมบางๆ อยากได้อย่างอื่น ไข่ดาวสักฟองก็ต้องจ่ายเพิ่ม อะไรก็เป็นเงินเป็นทองหมด สู้เมืองไทยไม่ได้ อาหารเช้ามีทั้งไทย จีน ฝรั่ง กินกันไม่หวาดไม่ไหว ลำพัง “ไข่” อย่างเดียวก็มีทั้ง ลวก ดาว ต้ม ทอด สารพัด! บ้านเราเริ่ดสุด! พวกป้าแหม่มยุโรปบางคนชอบใช้หางตาเหลือบมองฉัน ยังกะฉันเป็นจีนต่างด้าวมารุกรานแผ่นดินนาง ฉันก็นั่งกินของฉันดีๆ ไม่ได้ไปยืนกินพิงตู้ยาป้าพวกนี้สักหน่อย หรือเป็นเพราะถุงผ้ามีอักษรภาษาจีนตัวโตๆ ที่ฉันหิ้วไป ไม่ใช่หรอก! ผิดตั้งแต่หน้าฉันแล้วมั้ยคะคุณตำรวจ...จีนแผ่นดินใหญ่สุดๆ! … ข้าวของต่างๆ ที่นี่ นอกจากชีสกับช็อกโกแลตแล้ว ที่เหลือราคาสูงกว่าบ้านเรา ฉันจึงฝากท้องไว้กับร้านขายเป็ดย่างหมูแดงในไชน่าทาว์น ชามละ 360 บาท (9 ยูโร) และมาม่าต้มยำกุ้งน้ำข้นห่อละ 28 บาทที่ซื้อมาจากร้านชำในไชน่าทาว์น … คนที่นี่ 90% เขาหน้าตาดี ปั่นจักรยานไปมาอย่างมีความสุข นั่นแหละสิ่งที่น่าดูสำหรับฉัน นอกนั้นชะนีไม่มีผัวอย่างฉันไม่รู้จะไปเที่ยวอะไรด้วย
ทั้งร้านขายกัญชาถูกกฎหมาย (คนละ 5 กรัม) โสเภณีตีทะเบียนในย่าน Red Light Secret ร้านขายอุปกรณ์บำรุงบำเรอกาม (Sex Shop) ร้านชุดชั้นในสุดสยิวและเซ็กซี่...ไม่มีอะไรที่ฉันใช้ได้สักอย่าง...ความสุขของฉันจึงมีแค่เดินชมตึกรามบ้านช่อง แบบตึกแถวฝรั่งโบราณหน้าแคบตัวตึกลึกเข้าไป ชั้นบนสุดมีตะขอเกี่ยวไว้ชักรอกขนย้ายเฟอร์นิเจอร์ขึ้นชั้นบน...คูคลองสวยงามที่ยังใช้สัญจรไปมาสำหรับนักท่องเที่ยวเพราะเนเธอร์แลนด์ได้ชื่อว่ามีระบบจัดการน้ำที่ดีที่สุดในโลก มีเป็ด มีห่าน หงส์ว่ายอยู่ในบางที่ มีบ้านเรือที่จอดอยู่ในคูคลองดูน่ารักน่าอยู่...
ทีมงานชาวดัตซ์ที่เจ้านายรู้จักพาพวกเราไปเลี้ยงอาหารในร้านที่ดีที่สุดของอัมสเตอร์ดัม 2 ร้าน นี่แหละสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับฉัน! อาหารอร่อยและมิตรภาพอันแสนอบอุ่น พวกเขาพาไปเลี้ยงที่ร้านอาหารอิตาเลียน คนเยอะมาก ต้องจองคิวก่อนมา “Cafe Tossanini” ราคาอาหารจานละ 1,000 กว่าบาทขึ้นไป แต่ใช้ของดีมีคุณภาพและให้เยอะ จานโตมาก พวกเรา “แดรกระเบิด” เพราะเขาสั่งมากระจายมาก! กินกันไม่หมด โต๊ะกว้างๆ ยังไม่มีที่จะวาง! อีกร้านเป็นร้านอาหารดัตช์แบบฟิวชั่น ร้านนี้ก็หรูหราไม่แพ้กัน คนเต็มร้านตอนเสิร์ฟพนักงานจะอธิบายว่ามันคืออะไร ประกอบด้วยอะไรบ้าง พอกินเสร็จนางก็จะเดินกลับมาถามว่า “พอใจมั้ยครับ?” เป็นครั้งแรกที่ฉันเห็นคนผิวดำทำหน้าที่เสิร์ฟในร้านหรู (ส่วนใหญ่จะอยู่ในตำแหน่งล้างจาน ถูพื้นทำความสะอาด) นางหน้าตาดี น่ารัก คล่องแคล่ว และขยัน เป็นผิวดำคนเดียวในพนักงานเสิร์ฟผิวขาวทั้งหมด ส่วนเจ้าของร้านผู้ชายพอรู้ว่าพวกเราเป็นคนไทยก็ส่งภาษาไทย นางบอกว่า นาง “จ้ำม่ำ” เดาว่าเคยมีเมียคนไทยมาก่อน แล้วก็เป็นอย่างที่คิด บอกแล้วว่าผู้หญิงไทยเรามีเสน่ห์ไม่แพ้ชาติอื่นๆ โดยเฉพาะการเอาอกเอาใจ เสน่ห์ปลายจวักสารพัด เปรียบได้กับทูตวัฒนธรรมเลยนะคุณ …
อาหารที่นี่เป็นแบบฟิวชั่นซับซ้อนตั้งแต่วิธีทำ หน้าตา และรสชาติ ฉันว่าอร่อยดี เพราะคำว่า “อร่อย” มันมีมาตรฐานเดียวกันทั่วโลก ต่อให้มันจะมีวิธีการขั้นตอนที่ซับซ้อนแค่ไหน สุดท้ายก็ถูกตัดสินแค่...ปลายลิ้น! ถูกปาก-ไม่ถูกปาก ก็แค่นั้น เราเป็นเพียงคนที่ท่องโลกด้วยใจและประสาทสัมผัสต่างๆ ที่มีอยู่ ไม่มีสิ่งใดถูกหรือผิดอย่างแท้จริง มีเพียงแค่ “ชอบ” หรือ “ไม่ชอบ” แต่ละที่ก็มีวิถีของตัวเอง ฉันไม่ใช่ผู้วิเศษที่จะเอาตัวเองไปตัดสินสิ่งใดบนโลก ฉันทำได้แค่เอาตัวรอดไปวันๆ ทำให้ดีที่สุดไปวันๆ ทำให้ตัวเองพอดีในที่ๆ อยู่หรือไปก็แค่นั้นเอง...แต่ที่สุดแล้วก็ไม่มีที่ไหนที่ฉันจะรักเท่ากับประเทศไทย!
.......................................
(หมายเหตุ เดินทาง (จบ) : คอลัมน์ เล่นหูเล่นตา โดย... เจนนิเฟอร์ คิ้ม)



