บันเทิง

เอกเขนกดูหนัง : Fury

เอกเขนกดูหนัง : Fury

24 ต.ค. 2557

เอกเขนกดูหนัง : Fury : บายไลน์...ณัฐพงษ์ โอฆะพนม

 
                 นับจาก Saving Private Ryan เป็นต้นมา Fury ดูจะเป็นหนังสงครามอีกเรื่องหนึ่ง ที่มีฉากหลังในช่วงสงครามโลกครั้งที่สองซึ่งทำออกมาได้อย่างสมจริง โดยเฉพาะฉากศึกสงครามบนสนามรบของขบวนรถถังประจัญบาน นำโดย "Fury" ชื่อเรียกของรถถัง Sherman รุ่น M4A3E8 ลำกล้องปืนขนาด 76 mm ที่บังคับการโดย ดอนคอลเลียร์ หรือวอร์แดดดี้ (แบรด พิทท์) จ่าจอมลุยผู้นำทีมหน่วยลาดตระเวนบุกเข้าไปในดินแดนเยอรมนี
 
                 ความน่าสนใจของ Fury คือการออกแบบฉากสู้รบที่ดูแปลกตาไปจากหนังสงครามบนบรรยากาศสงครามโลกครั้งที่สองหลายๆ เรื่องที่ผ่านมา และภารกิจสำคัญก็ไม่ใช่แค่การยกพลขึ้นบกยึดชายหาดแถบเมืองยุทธศาสตร์สำคัญยุโรปตามบันทึกทางประวัติศาสตร์ แต่จุดหมายของในหนัง Fury คือการรุกเข้าไปในเยอรมันยึดเมืองต่างๆ ระหว่างทาง โดยภารกิจสุดท้ายคือ การระวังป้องกันเส้นทางสำเลียงเสบียงและกำลังพลของกองกำลังสัมพันธมิตรในการบุกกรุงเบอร์ลิน จนได้มาปะทะกับคู่ต่อสู้ที่สมน้ำสมเนื้ออย่างรถถังไทเกอร์ของเยอรมัน อันนำมาซึ่งฉากไฮไลท์ของเรื่อง นั่นคือการต่อสู้ขับเคี่ยวของรถถังประจัญบานสองสัญชาติ ที่ไม่เพียงห้ำหั่นกันด้วยอาวุธยุทโธปกรณ์ที่มีเท่านั้น หากแต่ยังต้องอาศัยไหวพริบปฏิภาณและความเชี่ยวชาญในการศึกของผู้บังคับหมู่รถถังในการพาหน่วยรบของตนให้รอดตนจากการศึกครั้งนี้ ซึ่งฉากต่อสู้ระหว่างรถถัง M4 Sherman ของสหรัฐอเมริกาและ Tiger 1 ของเยอรมัน ที่ดูเหมือนแสนยานุภาพของอาวุธฝ่ายหลังจะเหนือกว่าด้วยลำกล้องปืนขนาด 88 mm ที่มีขนาดใหญ่กว่า M4 Sherman ทำให้ "วอร์แดดดี้" ไม่สามารถพาหน่วยรถถังของเขาเข้าปะทะตรงๆ หากแต่ต้องอาศัยชั้นเชิงในการเข้าตี ซึ่งกลยุทธ์ในการรบของขบวนรถถังนั่นเอง เป็นอีกหนึ่งความโดดเด่นที่แทบไม่เคยปรากฏมาก่อนหรือมีก็น้อยมากโดยเฉพาะในหนังสงครามที่นำเสนอภาพของช่วงเวลาสงครามโลกครั้งที่สองที่ถือว่าเป็นห้วงเวลาแห่งหายนะโลกครั้งใหญ่ที่สุดครั้งหนึ่ง (แต่จริงๆ แล้ว ไฮไลท์สำคัญของหนังอยู่ในฉากสุดท้ายที่เป็นการต่อสู้ระหว่างทหารประจำหน่วยทั้ง 5 นายของรถถังฟูรี่ที่ถูกขยี้โดยหน่วยทหารราบเยอรมันมากกว่า แต่ถ้าเทียบกับความแปลกใหม่ ตื่นตา กับงานภาพและการออกแบบกลยุทธ์การศึกแล้ว ฉากรถถังประจัญบานน่าสนใจกว่ามาก)
 
                 สำหรับพล็อตเรื่องของ Fury นั้น ถือว่าธรรมดาสามัญเอามากๆ เป็นเพียงหนังสงครามเรื่องที่ว่าด้วยกลุ่มนายทหารห่ามห้าวหาญกล้าต่อกรข้าศึกศัตรูชนิดตาต่อตาฟันต่อฟันโดยไม่รักตัวกลัวตาย แต่ก็ยังปูพื้นให้เห็นความสัมพันธ์ของแต่ละคน รวมทั้งปูมหลังและอุปนิสัยใจคอที่แตกต่างกันไปจนเกิดเป็นความขัดแย้งเล็กๆ ก่อนจะมีเหตุให้เข้าใจกอดคอสมัครสมานกลมเกลียวกันได้ในที่สุดแต่อย่างที่บอกไปว่าความสนุกและน่าสนใจของหนังเรื่องนี้ก็คือการจำลองการปะทะต่อสู้ในศึกสงครามทั้งการรบของหน่วยทหารราบและโดยเฉพาะการต่อสู้โดยรถถังที่ลงรายละเอียดของการศึก ตั้งแต่วางระยะเล็งเป้าบรรจุกระสุน ยิง ไปจนถึงจังหวะการขับเคลื่อนของรถในการมองหาจุดอ่อนคู่ต่อสู้ อานุภาพของเครื่องยิงจรวดต่อสู้รถถังรวมถึงปืนกล ทั้งปืนกลมือ ปืนกลหนัก และความรุนแรงในการทำลายล้างของมัน
 
                 อรรถรสความสนุกในฐานะหนังสงครามเรื่องหนึ่ง แม้จะมีท่าทีของการวิพากษ์สงครามอยู่บ้างแต่ก็ไม่ได้เป็นสาระสำคัญของหนังสักเท่าใดนัก ทำให้ Fury ประสบความสำเร็จทันทีที่เข้าฉาย ส่วนหนึ่งมาจากการเลือกตัวผู้กำกับเดวิด เอเยอร์ มาทำงานนี้ จากคนเขียนบทที่มีส่วนในหนังแอ็กชั่นเด่นๆ อย่าง Training Day, The Fast and the Furious, Dark Blue, S.W.A.T. ไปจนถึงหนังสงครามเรือดำน้ำสุดกดดันอย่าง U-571 เอเยอร์ ก็มีโอกาสขึ้นมากำกับหนังแอ็กชั่นและที่สร้างชื่อให้เขาก็คือหนังแอ็กชั่นเรียลิตี้คู่หูตำรวจที่สมจริงอย่าง End of Watch (เมื่อต้นปีนี้หนังที่เขากำกับและเขียนบทเองเรื่อง Sabotage ก็เพิ่งออกฉายเป็นหนังแอ็กชั่นที่รับบทนำโดยอาร์โนลด์ ชวาเซเนกเกอร์ และมีเหตุการณ์สงครามโลกครั้งที่สองเป็นฉากหลัง)
 
                 ซึ่งถือเป็นการตัดสินใจของสตูดิโอที่ถูกต้องที่สุดเลยทีเดียว โดย เอเยอร์ เขียนบทหนังเรื่องนี้เอง ตัวหนังผ่านการแย่งชิงกันของสองสตูดิโอระหว่างโซนี่ พิคเจอร์ และยูนิเวอร์แซล ก่อนที่ฝ่ายแรกจะชนะประมูลมาได้ และลงมือเปิดกล้องถ่ายทำในเดือนกันยายนปีที่ผ่านมา หลังโปรเจกท์ตกเป็นของโซนี่ในเดือนเมษายนก่อนหน้านั้น โดยทีมงานต้องมีเตรียมการ ซักซ้อมก่อนถ่ายทำกันอย่างเข้มข้นจริงจัง อาทิ แบรด พิทท์ ต้องไปฝึกขับรถถัง สตูดิโอไพน์วู้ด ต้องส่งจดหมายเตือนไปยังหมู่บ้านในเมืองไชร์เบิร์น, ไพร์ตัน และเวตลิงตัน สถานที่ถ่ายทำในอังกฤษเรื่องเสียงดังรบกวนจากปืนและระเบิดระหว่างการถ่ายทำหนังเรื่องนี้ อีกทั้งยังมีการนำรถถังจริงๆ มาเข้าฉาก โดยเฉพาะรถถังไทเกอร์ ที่อยู่ในพิพิธภัณฑ์รถถังโบวิงตัน ก็ถูกนำมาใช้ในหนังเป็นครั้งแรกนับจากปี 1946 ส่วนไชอา ลาเบิฟ หนึ่งในนักแสดงนำ ก็ลงทุนถอนฟันของตัวเอง และไม่ยอมอาบน้ำระหว่างถ่ายทำ เพื่อให้เข้าใจถึงความยากลำบากของทหาร และด้วยความบังเอิญหรือตั้งใจของผู้สร้างก็ไม่ทราบได้ ที่นักแสดงนำของเรื่องสี่คน ทั้ง ลาเบิฟ, โลแกน เลอร์แมน, จอน เบิร์นธาล และ เจสัน ไอแซคส์ ต่างก็มีเชื้อสายยิว ซึ่งเป็นชาติที่ถูกฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ในช่วงสงครามโลกครั้งที่สาม ซึ่งต้องมารับบททหารที่ต้องต่อสู้กับทหารนาซีเยอรมัน
 
                 ท่ามกลางฉากรบราฆ่าฟันบนสนามรบที่หนังจำลองออกมาได้อย่างสมจริง การพยายามสะท้อนภาพความโหดร้ายและกักขฬะของผู้คนอันเกิดจากผลของการกรำศึกสงครามก็ดูจะไม่ค่อยได้ผลอย่างที่น่าพอใจนัก ฉากดราม่าไม่กี่ฉากที่ตัวละครกดดันต่อต่อมจริยธรรมในตัวที่กำลังต่อสู้อยู่ภายในกับด้านมืดชั่วร้ายในจิตใจ กลับเป็นแค่ฉากเล็กๆ ที่ผ่านแล้วผ่านเลยไม่น่าจดจำ แม้ตัวละครพลทหารนอร์แมน ที่รับบทโดย โลแกน เลอร์แมน จะดูไร้เดียงสาเมื่อเข้ามาอยู่ในหน่วยและค่อยๆ เติบโตและเรียนรู้โลกความโหดร้ายของสงครามเมื่อเวลาผ่านไป แต่สุดท้าย Fury ก็ยังเป็นที่จดจำในฐานะหนังสงครามที่จำลองฉากต่อสู้ได้สมจริงมากกว่าประเด็นแฝงเร้นเล็กๆ น้อยๆ เหล่านั้นอยู่ดี