บันเทิง

ในนามแห่งความรัก

ในนามแห่งความรัก

02 ต.ค. 2557

ในนามแห่งความรัก : คอลัมน์ มองผ่านเลนส์คม โดย... วิภว์ บูรพาเตชะ

 
 
 
          ปี 1984 วงดนตรีร็อกจากไอร์แลนด์ชื่อ U2 กำลังอยู่ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อ
 
          ใช่ว่าวงยูทูกำลังจะล้มเหลว แต่เป็นตรงกันข้ามต่างหาก
 
          วงยูทูประกอบไปด้วยสี่หนุ่มจากเมืองดับลินคือ โบโน (Bono - ร้องนำ), ดิเอดจ์ (The Edge - กีตาร์), แลร์รี มัลเล็น จูเนียร์ (Larry Mullen, Jr. - กลอง) และ อดัม เคลย์ตัน (Adam Clayton - เบส) ก่อตั้งวงดนตรีวงนี้ตั้งแต่สมัยเป็นนักเรียนในปี 1976 พวกเขาสร้างชื่อจากการแสดงสดที่ทรงพลัง ดนตรีที่หนักหน่วงพุ่งทะยานแบบพังก์ร็อก และเนื้อหาที่จริงจังจากมุมมองของเด็กหนุ่มที่มาจากประเทศที่กำลังมีความขัดแย้งทางการเมืองรุนแรง งานเพลงของพวกเขาได้รับเสียงตอบรับที่ดีขึ้นตามลำดับ ในอัลบั้มชุดที่ 3 ที่ชื่อ (1983) พวกเขามีเพลงดังชื่อ  ที่ดังไปไกลกว่าแค่ในบ้านเกิด และก็เพิ่งจะมีอัลบั้มบันทึกการแสดงสดและหนังคอนเสิร์ตออกมาไล่ๆ กัน ...พวกเขากำลังจะเป็นวงดังแน่ๆ เพียงแต่สี่หนุ่มกำลังสงสัยว่า นอกจากจะเป็นวงร็อกเจ๋งๆ วงหนึ่งแล้ว ยูทูจะเป็น มากกว่านั้น ได้หรือไม่
 
          พวกเขาตกลงใจจะลองค้นหาทิศทางใหม่ๆ ทางดนตรีดู เริ่มต้นจากการเปลี่ยนโปรดิวเซอร์ที่เคยร่วมงานกันมาตั้งแต่แรกมาใช้บริการของคนดนตรีแนวแอมเบียนต์ซึ่งเหมือนอยู่คนละฟากฝั่งกับดนตรีพังก์ร็อก วงยูทูยังตัดสินใจบันทึกเสียงอัลบั้มชุดใหม่นี้ในปราสาทโบราณอายุเกือบ 300 ปี ให้บรรยากาศสุดคลาสสิกมีส่วนร่วมเป็นเนื้อเดียวกับการสร้างดนตรี
 
          อีกการเปลี่ยนแปลงสำคัญในการทำอัลบั้มชุดนี้ก็คือการเขียนเนื้อเพลงของ โบโน - นักร้องและนักแต่งเพลงประจำวง เขาตัดสินใจเขียนเนื้อเพลงด้วยวิธีคล้ายการสเก็ตช์ภาพ คือค่อยๆ ร่างถ้อยคำโดยไม่ได้พุ่งตรงไปที่ประเด็นเหมือนหลายๆ เพลงในอดีตของยูทูที่บางเพลงมุ่งสู่ประเด็นการเมืองจนเป็น เพลงประท้วง ไปเลยก็มี 
 
          โบโนยังพยายามเปิดโลกทัศน์ของตัวเองด้วยการหาเรื่องราวที่เป็นแรงบันดาลใจใหม่ๆ นอกเหนือประสบการณ์วัยหนุ่มในไอร์แลนด์อีกด้วย ในช่วงแรกเขาให้ความสนใจกับความภาคภูมิใจในแสนยานุภาพทางทหารของอเมริกาในยุคประธานาธิบดี โรนัลด์ เรแกน ที่พร้อมจะสู้เพื่อ 'เสรีภาพ และ ประชาธิปไตย แต่เมื่อโบโนได้อ่านหนังสือชีวประวัติของ มาร์ติน ลูเธอร์ คิง แรงบันดาลใจของเขาก็เปลี่ยนไป
 
          มาร์ติน ลูเธอร์ คิง (Martin Luther King, Jr.) คือศาสนาจารย์ผิวดำชาวอเมริกันที่มีบทบาทอย่างสูงในการต่อสู้เพื่อความเท่าเทียม ในกลางทศวรรษที่ 50 เขาเป็นผู้นำการคว่ำบาตรรถขนส่งมวลชนของเมืองมอนต์กอเมอรีที่ปฏิเสธไม่ยอมให้ความเท่าเทียมกับผู้โดยสารผิวดำ พอถึงปลายทศวรรษที่ 50 ถึงต้น 60 การต่อสู้เพื่อความเท่าเทียมของคนผิวสีในอเมริกากลายเป็นประเด็นระดับประเทศ มีการเดินขบวนและการรณรงค์มากมาย คิงได้เป็นผู้กล่าวคำปราศรัยอยู่บ่อยครั้ง เขาถูกประทุษร้าย เขาถูกจับคุมขัง แต่คิงก็ยังยืนหยัดต่อสู้ในหนทางที่ปฏิเสธความรุนแรง
 
          สุนทรพจน์ครั้งสำคัญของคิงเกิดขึ้นในวันที่ 28 สิงหาคม ปี 1963 ที่ขั้นบันไดของอนุสาวรีย์ลินคอล์น ท่ามกลางมวลชนที่ร่วมเดินขบวนในแคมเปญเดินเท้าสู่วอชิงตันที่มีคนเข้าร่วมกว่า 250,000 คน สุนทรพจน์นี้มีความยาวเพียง 15 นาที และมีชื่อว่า ข้าพเจ้ามีความฝัน (I Have a Dream)
 
          ในปีนั้น นิตยสาร ไทมส์ ยกย่องให้คิงเป็นบุรุษแห่งปี พอปีถัดมาเขาก็ได้รับรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพ
 
          โบโนไม่ได้จงใจหยิบเอาแต่เรื่องราวชีวิตของคิงมาใส่ไว้ในเนื้อเพลง เขาเริ่มต้นเพลง ที่ได้แรงบันดาลใจนี้ ด้วยเนื้อความที่แปลเป็นไทยได้ว่า "ชายคนหนึ่งมาในนามแห่งความรัก คนหนึ่งมาแล้วจากไป ชายคนหนึ่งมาเพื่อแสดงความถูกต้อง คนหนึ่งมาเพื่อล้มล้างอำนาจ" ก่อนจะเข้าสู่ท่อนฮุกที่ร้องซ้ำๆ ว่า ในนามของความรัก มีอะไรที่มากกว่านี้อีกหรือ? ในนามของความรัก!"
 
          โบโนร่ายถ้อยคำที่ดูเหมือนภาพสเก็ตช์ทางความรู้สึกที่เกี่ยวเนื่องกับการต่อสู้เพื่ออุดมการณ์ต่อไปอีกหลายประโยค ในความคิดของโบโน เมื่อได้รับรู้ถึงชีวิตของคิง เขาก็หยิบคำอย่าง ความภาคภูมิใจ ที่เคยตั้งใจจะมอบให้กับเรแกน มาวางคู่กับคำว่า ความรัก แล้วแต่งเป็นบทเพลงอุทิศให้ มาร์ติน ลูเธอร์ คิง แทน เสียงร้องของเขาถูกรองรับด้วยเสียงกีตาร์ที่โดดเด่นและแปลกใหม่ด้วยการใช้เอฟเฟกต์จนกลายเป็นซาวนด์อันน่าทึ่งของ ดิ เอดจ์ ในขณะที่ภาคจังหวะเบสและกลองดูจะเล่นอย่างเป็นอิสระมากขึ้นกว่างานเก่าก่อน จนเมื่อถึงท่อนท้ายๆ ของเพลง เนื้อหาที่เกี่ยวเนื่องกับ มาร์ติน ลูเธอร์ คิง อย่างจริงจังจึงค่อยปรากฏ
 
          "Early morning, April 4
          Shot rings out in the Memphis sky
          Free at last, they took your life
          They could not take your pride"
 
          เนื้อเพลงในท่อนนี้กล่าวถึงเหตุการณ์ที่คิงถูกลอบยิงจนเสียชีวิตขณะที่ยืนอยู่บนระเบียงชั้น 2 หน้าห้องที่โรงแรมลอเรนในเมืองเมมฟิสเมื่อวันที่ 4 เมษายน 1968 ซึ่งแม้จะเป็นเหตุการณ์ที่น่าเศร้า แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าการเสียชีวิตในวัยเพียง 39 ปีของคิงก็สร้างแรงกระเพื่อมให้กับการต่อสู้เพื่อความเท่าเทียมในอเมริกาเป็นอย่างยิ่ง และเรื่องราวของเขายังถูกเล่าขานต่อมาจนถึงวันนี้
 
          หลังความตายของคิง 16 ปี วงยูทูปล่อยซิงเกิ้ล  เป็นเพลงนำร่องของอัลบั้มที่ชื่อว่า เพลงนี้กลายเป็นดังที่สุดของวงในขณะนั้น และเป็นเพลงที่เปิดประตูให้วงยูทูก้าวสู่แนวคิดใหม่ๆ ทางดนตรีได้อย่างน่าภาคภูมิใจ
 
          จากวันนั้น วงยูทูก็กลายเป็นวงดนตรีที่กล้าทดลองอะไรใหม่ๆ มากขึ้นและมากขึ้น พวกเขาลองทำดนตรีอิเล็กทรอนิกส์ ลองทำมิวสิกวิดีโอเป็นแอนิเมชั่น ลองแสดงสดด้วยการเอาเทคโนโลยีกราฟิกแสงสีและเวทีสุดอลังการ ลองจับมือกับแอปเปิ้ลทำไอพอดรุ่นพิเศษเพื่อแฟนๆ บทเพลงของยูทูยังขยับขยายประเด็นออกไปกว้างขึ้นและกว้างขึ้น ครอบคลุมเรื่องการเมืองในประเทศต่างๆ ครอบคลุมถึงการขุดค้นโลกภายในของปัจเจก และยังสร้างเพลงที่เป็นบทบันทึกทางวัฒนธรรมอีกหลายเพลง พวกเขาได้รับรางวัลทางดนตรีจำนวนนับไม่ถ้วน มียอดขายอัลบั้มกว่า 150 ล้านชุด พวกเขายังใช้ความเป็นคนดังและใช้งานดนตรีของตัวเองสร้างบทบาทในการต่อสู้เพื่อสิทธิมนุษยชนจนโบโนเกือบจะได้รางวัลโนเบล
 
          ความฝันของวงยูทูในวันนั้นกลายเป็นความจริงแล้ว พวกเขาไม่ได้เป็นเพลงแค่วงร็อกเจ๋งๆ วงหนึ่ง แต่ยูทูกลายเป็นวงดนตรีที่ยิ่งใหญ่ที่สุดวงหนึ่งของโลกไปแล้ว
 
          ส่วนความฝันของ มาร์ติน ลูเธอร์ คิง ...มาถึงวันนี้ คนผิวสีได้รับการยอมรับมากขึ้นในสังคมอเมริกันแล้ว แต่ความเหลื่อมล้ำระหว่างคนกับคนก็ยังคงมีอยู่ ไม่ใช่แค่ในอเมริกา แต่เป็นทั่วโลก
 
          "ข้าพเจ้ามีความฝันว่า วันหนึ่งหุบเขาทุกแห่งจะถูกทำให้สูงขึ้น ภูเขาทุกแห่งจะถูกทำให้เตี้ยลง สถานที่อันขรุขระจะถูกทำให้ราบเรียบ สถานที่อันบิดเบี้ยวจะถูกทำให้เถรตรง"
 
          ส่วนหนึ่งในสุนทรพจน์ ข้าพเจ้ามีความฝัน ของ มาร์ติน ลูเธอร์ คิง ยังคงรอวันที่จะกลายเป็นความจริง
 
.......................................
(หมายเหตุ ในนามแห่งความรัก :  คอลัมน์ มองผ่านเลนส์คม โดย... วิภว์ บูรพาเตชะ)