บันเทิง

เอกเขนกดูหนัง:'The Limits of Control'

เอกเขนกดูหนัง:'The Limits of Control'

08 ส.ค. 2557

'The Limits of Control' : คอลัมน์ เอกเขนกดูหนัง โดย... ณัฐพงษ์ โอฆะพนม

 
 
          จากปกดีวีดีที่ปรากฏภาพชายผิวสีแต่งตัวดีเดินถือกล่องกีตาร์ใบเขื่องอยู่ริมถนนสายหนึ่ง ส่วนข้อความหลังปก อธิบายเนื้อหาอย่างย่นย่อว่าเป็นเรื่องของมือสังหารนิรนามที่ได้รับการว่าจ้างให้ไปจัดการเหยื่อรายหนึ่งที่ประเทศสเปนแต่ระหว่างนั้นได้รับคำสั่งให้รอไปก่อนและติดต่อส่งข้อมูลกันผ่านกลักไม้ขีดไฟกับนายหน้าผู้ว่าจ้าง
 
          มองอย่างผิวเผินคงมโนไปว่า The Limits of Control น่าจะเป็นหนังแอ็กชั่นทริลเลอร์ ว่าด้วยการตามล้างตามล่าของมือสังหารกับเหยื่อ แต่เอาเข้าจริงหนังของผู้กำกับ จิม จาร์มุช เรื่องนี้ กลายเป็นหนังดราม่า ที่แฝงกลิ่นอายของงานศิลปะมากมายลงไปอย่างทะลักล้น บทสนทนาของตัวละครบางครั้งก็เต็มไปด้วยปรัชญา อีกทั้งวิธีการดำเนินเรื่องราวยังเป็นไปเรียบเรื่อยเอื่อยอาด ปราศจากฉากแอ็กชั่นยิงกันเลือดสาดแต่อย่างใด แต่นี่แหละคือเสน่ห์ที่น่าสนใจในหนังเรื่องนี้ หากอดรนทนดูไปได้จนจบ
 
          รสนิยมทางศิลปะของผู้กำกับ จาร์มุช สะท้อนลงไปในหนังตั้งแต่ฉากแรกๆ ในระหว่างที่มือสังหารรอปฏิบัติการเขาก็แวะเวียนเดินเข้าไปชมงานศิลปะในพิพิธภัณฑ์ศิลปะร่วมสมัยเพ่งพินิจงานจิตรกรรมประติมากรรมอย่างเอาจริงเอาจังและไปนั่งรอผู้ติดต่อในร้านกาแฟโดยมักจะสั่งกาแฟเอสเปรสโซ่ 2 ชอตอยู่เสมอ ซึ่งไม่ได้สั่งให้ใครนอกจากตัวเขาจะดื่มเองหลังการสนทนาจบลง 
 
          ทุกครั้งที่ได้รับข้อความผ่านกระดาษโน้ตแผ่นเล็กๆ ที่ซ่อนมาในกลักไม้ขีดไฟ เขาก็จะทำลายหลักฐานโดยการกลืนมันลงไปทุกครั้ง สารที่ได้รับผ่านกระดาษ แม้ไม่สามารถอ่านหรือมองเห็นได้ แต่มันหมายถึงการออกเริ่มต้นเดินทางใหม่ของมือปืนไร้นามผู้โดดเดี่ยวทุกครั้ง ตั้งแต่มาดริด เมืองหลวงของสเปนไปยังเซบีญา เมืองที่ถือเป็นศูนย์กลางทางศิลปวัฒนธรรมในภาคใต้ของสเปน จนถึงอัลเมเรีย เมืองที่มีสภาพอากาศดีที่สุดแห่งหนึ่งของสเปน เพราะมีแสงแดดจัด และอากาศอบอุ่นตลอดทั้งปีเลยทีเดียว (เมืองที่มีสโมสรฟุตบอลชื่อเดียวกัน ซึ่งนักเตะไทย "เจ้ามุ้ย" ธีรศิลป์ แดงดา กำลังไปสร้างชื่ออยู่ในขณะนี้นั่นเอง)
         
          ตลอดการเดินทางและพบเจอผู้คนแม้มือปืนนิรนามจะเป็นคนพูดน้อยสงวนถ้อยคำ เพียงกล่าวคำว่า "ไม่" กับคนแปลกหน้าที่มีโค้ดลับเป็นบทสนทนาเมื่อเจอหน้ากันว่า "คุณพูดสเปนไม่ได้เหรอ?" แต่มีอีกหลายฉากเช่นกันที่เรื่องราวระหว่างบรรทัดจากบทสนทนาทั้งในขบวนรถไฟ ร้านกาแฟ ของมือปืนกับคนแปลกหน้ากลับเต็มไปด้วยประเด็นที่หลากหลาย ตั้งแต่วิทยาศาสตร์, ปรัชญา, หนัง และศิลปะ โดยเฉพาะที่เมืองเซบีญา มือสังหารนิรนามจับพลัดจับผลูเข้าไปดูการแสดงดนตรีฟลามิงโก้ในไนต์คลับแห่งหนึ่งโดยบังเอิญ ซึ่งแม้จะเป็นแค่การซ้อมของศิลปิน แต่มันก็ยอดเยี่ยมและแสดงให้เห็นถึงความเป็นศิลปะประจำชาติของสเปนอย่างเต็มเปี่ยม
 
          การแต่งกายแบบเนี้ยบนิ้งของนักฆ่าผู้เปลี่ยวเหงาในทุกๆ ที่ ที่เขาไปปรากฏตัวการสนทนากันอย่างออกรสในเรื่องหนังกับนักแสดงละครเวที (ที่รับบทโดย ทิลด้า สวินตัน) สะท้อนให้เห็นรสนิยมทางศิลปะ ที่สามารถแทรกซึมซ่อนตัวในหนังดราม่าที่เล่าถึงตัวละครเป็นคนนอกกฎหมาย กับภารกิจไร้ศีลธรรมได้เช่นกัน หรือกระทั่งการปรากฏตัวของหญิงสาวลึกลับที่มักเปลือยกายรอต้อนรับเขาในที่พัก พร้อมชักชวนมีเพศสัมพันธ์อยู่ตลอดเวลาที่เจอหน้า หลังนักฆ่ากลับมาจากดูงานศิลปะ ดูจะเป็นการใช้สัญลักษณ์แทน "Passion" หรือแรงปรารถนาอันยั่วเย้าภายในใจมนุษย์ต้องต่อสู้เพื่อเอาชนะในความเพียรเพื่อกระทำการหรือภารกิจอะไรซักอย่าง
 
          เมื่อ The Limits of Control ใช้งานศิลปะเข้ามาแฝงเร้นผ่านเหตุการณ์ต่างๆ ในหนังเพื่อสะท้อนถึงอิทธิพลของสุนทรียในงานศิลปะที่มีต่อผู้คน งานภาพในหนังจึงต้องการการประดิดประดอย อ้อยอิ่งเพื่อบันทึกห้วงอารมณ์เหล่านั้นให้ได้มากที่สุด ผ่านมุมมองของผู้กำกับภาพฝีมือเอกอุ ซึ่งผู้มารับหน้าที่นี้คือ หนึ่งใน DP. ที่มีชื่อเสียงเลื่องลือฉกาจฉกรรจ์ในทศวรรษที่ 20 นั่นก็คือคริสโตเฟอร์ ดอยล์ ที่งานด้านภาพของเขายังคง "งาม" หยดย้อย ทั้งการจัดองค์ประกอบภาพและทิศทางการเคลื่อนไหวที่ให้อารมณ์แบบกวี อย่างที่คอหนังเคยเห็นในหนังหลายๆ เรื่องของผู้กำกับหว่องกาไว อาทิ Day of Being Wild, In the Mood for Love, 2046 หรือหนังแอ็กชั่นที่ออกแบบท่วงท่าศิลปะการต่อสู้แบบนาฏลีลาอย่าง Hero ของผู้กำกับจาง อวี้โหมว 
 
          นอกจากลีลาแช่มช้อยของงานภาพ การจัดองค์ประกอบศิลป์ที่ดูหรูหรามีรสนิยม ความสนุกอีกอย่างในหนังก็คือการปรากฏตัวของนักแสดงรุ่นใหญ่มากฝีมือ ที่มาพร้อมกับบทรับเชิญเล็กๆ น้อยๆ คนละฉากสองฉาก ไม่ว่าจะเป็นจอห์น เฮิร์ท, บิล เมอเรย์, ทิลด้า สวินตัน หรือแม้แต่รุ่นใหม่ที่ฝีมือน่าจับตาอย่าง กาเอล การ์เซีย เบอร์นัล ในขณะที่ตัวผู้กำกับ จิม จาร์มุช เอง ในวัย 61 ปี กับผลงานหนังที่ไม่มากไม่น้อยราวๆ 10 เรื่อง ไม่นับสารคดี, ทีวีซีรีส์, มิวสิกวิดีโอ และหนังสั้น แม้หนัง The Limits of Control จะไม่เป็นที่โจษจันเทียบเท่าหนังรางวัลเมืองคานส์ของเขาอย่าง Broken Flowers ไม่เท่หรือเก๋เท่ากับ Coffee and Cigarettes แต่ก็มีความน่าสนใจในตัวของมันเองระดับหนึ่ง เป็นหนังที่คนทำใส่อัตตา ตัวตน และความสนใจของตนลงไปในงานอยู่พอสมควร แต่ก็เป็นไม่ใช่หนังส่วนตัวที่ไม่สนใจหรือเรียกร้องอะไรมากมายจากคนดู เป็นหนังที่ดูง่ายและสนุกกับการติดตามเนื้อหาเรื่องราว หรืออาจจะถอดความ ไขสัญญะ และสัมผัสถึงงานศิลปะบางอย่างที่คนทำตั้งใจใส่เข้าไป รวมถึงหักมุมอย่างคาดไม่คิดเมื่อหนังเดินทางมาถึงฉากสุดท้าย
 
          แต่ที่ไม่น่าเชื่อและถือว่า The Limits of Control คุ้มค่า กับเวลาที่นั่งดูก็คือแผ่นดีวีดีลิขสิทธิ์เรื่องนี้มีราคาเพียง 39 บาท แถมยังมีขายตามร้านโฮม เอนเตอร์เทนเม้นท์ทั่วไปอีกด้วย
...........................................
(หมายเหตุ 'The Limits of Control' : คอลัมน์ เอกเขนกดูหนัง โดย... ณัฐพงษ์ โอฆะพนม)