
'วันหนึ่งวันเดียวนั้นที่ฉันร้องไห้ในที่ทำงาน'
05 ส.ค. 2557
'วันหนึ่งวันเดียวนั้นที่ฉันร้องไห้ในที่ทำงาน' : คอลัมน์ ขบคิดขีดเขียน โดย... หญิงยศ
ย้อนไปเมื่อประมาณสิบกว่าปีที่แล้ว หญิงยศกำลังเรียนทำอาหารอยู่ที่รัฐแคลิฟอร์เนีย ประเทศสหรัฐอเมริกา ก่อนเรียนจบหนึ่งเทอม มีเชฟมาบอกว่า ที่เมืองพิตต์สเบิร์ก รัฐเพนซิลเวเนีย มีเชฟที่เก่งที่สุดคนหนึ่งทำงานอยู่ เชฟคนนี้ชื่อว่า มิสเตอร์คีธ โกเกนฮาวเออร์ คีธคือหัวหน้าเชฟที่คุมทีมเชฟของอเมริกาไปแข่งขันจนได้เหรียญทองในการแข่งขันทำอาหารระดับโอลิมปิกของโลก ใจไปไวเท่าความคิด หญิงยศส่งจดหมายไปสมัครฝึกงานกับเชฟท่านนี้ทันที รู้สึกตัวอีกที หญิงยศก็นั่งอยู่ในเครื่องบิน จุดหมายปลายทางคือ ดูเคนทร์คลับ คลับของคนชนชั้นสูงที่มีร้านอาหารที่ดีที่สุดอยู่ในนั้น ควบคุมงานทั้งหมดโดยเชฟคีธคนนี้นี่เอง
เชฟคีธแจ้งรายละเอียดกับหญิงยศว่า ต้องเข้างานตอนหกโมงครึ่งทุกเช้า และออกจากงานได้ตอนบ่ายสามโมง นั่นแปลว่าหญิงยศต้องตื่นตีสี่ เพื่ออาบน้ำเตรียมตัวมาขึ้นรถเมล์ให้ทันเที่ยวตีสี่สี่สิบห้า มาถึงที่ทำงานประมาณตีห้าครึ่ง หญิงยศจะมีเวลาซื้อโดนัทและกาแฟที่หน้าทางเข้าเพื่อทานก่อนเข้างานได้ทัน หลังจากนั้นหญิงยศต้องไปเบิกเสื้อผ้าสำหรับทั้งอาทิตย์จากแผนกซักรีดแล้วเอามาเก็บในล็อกเกอร์ เปลี่ยนเสื้อผ้าเรียบร้อย หกโมงครึ่งเป๊ะ หญิงยศต้องรายงานตัวในครัว สามเดือนต่อจากนี้ นี่คือสิ่งที่หญิงยศต้องทำเป็นกิจวัตร
ในครัวจะมีกระดานแผ่นใหญ่ติดไว้ตรงทางเข้า ทุกวันเชฟจะเอากระดาษมาแปะว่า ที่คลับจะมีงานปาร์ตี้อะไรเกิดขึ้นในวันนั้นๆ บ้าง งานอะไร เวลาไหน แขกกี่คน และเมนูที่เชฟจัดมามีอะไรบ้าง ทุกคนมีหน้าที่อ่านชาร์ตแล้วเตรียมในส่วนของตัวเองให้เรียบร้อยและตรงเวลา เช่นหากวันนี้มีงานสำหรับแขกสามร้อยคน เมนูเจ็ดคอร์ส คนทำสเตชั่นเนื้อก็มีหน้าที่เตรียมทำสเต๊ก หรือ หมู หรือ ปลา ให้ครบตามจำนวนตามเวลา สเตชั่นผักก็อาจต้องเริ่มปอกเปลือกแครอทเป็นสิบกระสอบตั้งแต่เช้า มันฝรั่งต้องรีบต้มเพื่อนำไปบดเตรียมไว้ ในขณะเดียวกันเราก็ยังต้องรับผิดชอบอาหารสามมื้อในห้องอาหารหลักตามแต่แขกจะสั่ง รวมถึง Room Service ที่โทรเข้ามาไม่ขาดสายอีกต่างหาก หญิงยศถูกวนไปช่วยตามสเตชั่นต่างๆ สับเปลี่ยนไปทุกอาทิตย์ จนมาถึงอาทิตย์หนึ่งที่หญิงยศต้องไปเป็นผู้ช่วยของสเตชั่นอาหารเย็น นั่นหมายรวมถึงสลัดต่างๆ การทำน้ำสลัดทุกชนิด ปอกผลไม้และต้มกาแฟในหม้อกาแฟที่สูงท่วมหัว ผู้หญิงที่คุมสเตชั่นนี้เป็นผู้หญิงหัวแดงที่ตอนแรกเหมือนจะแสนหวาน แต่หลังจากที่ทำงานด้วยกันได้สองวัน หญิงยศถึงได้รู้ว่าคนคนนี้ตัดสินคนจากสีตาและสีผม
หญิงยศโดนกดดันและดูถูกจนถึงจุดระเบิด หญิงยศจำได้ว่าถอดผ้ากันเปื้อนและพูดขอตัวมาห้องน้ำ ก่อนจะคว้าโทรศัพท์แล้วมาทิ้งตัวลงนั่งน้ำตาไหลอยู่ที่บันไดหนีไฟ หญิงยศโทรหาเพื่อนสนิทเพื่อระบาย แล้วได้รับคำตอบกลับมาว่า “เราก็เลือกได้ว่าจะเดินออกมาเลยหรือจะเช็ดน้ำตาแล้วเข้าไปทำงานต่อ?” หญิงยศวางหูโทรศัพท์แล้วเตือนตัวเองว่า เราไม่ได้มาเพื่อยอมแพ้ให้ผู้หญิงหัวแดงคนนี้ แต่เรามาเพื่อเรียนรู้จากเชฟที่เก่งที่สุดในประเทศนี้ต่างหาก หญิงยศเช็ดน้ำตาแล้วเดินกลับเข้าครัว คนแรกที่หญิงยศเจอคือเชฟ รู้สึกได้เหมือนกันว่าเชฟกำลังรออยู่ว่าหญิงยศจะตัดสินใจอย่างไร คืนนั้นเชฟบอกผู้หญิงหัวแดงคนนั้นให้หยุดงานได้ในวันรุ่งขึ้น แล้วหันมาบอกหญิงยศให้คุมสเตชั่นอาหารเย็นด้วยตัวเองคนเดียว เชฟพูดกับหญิงยศว่า เขารู้ว่าเราทำได้ ทั้งๆ ที่หญิงยศเป็นเพียงแค่เด็กฝึกงาน หลังจากนั้นหญิงยศได้ตามเชฟลงไปจัดอาหารในงานต่างๆ ซึ่งทุกคนบอกว่าเชฟไม่เคยพาเด็กฝึกงานลงไปด้วยมาก่อน จนวันที่หญิงยศมาทำงานวันสุดท้าย จดหมายรับรองจากเชฟเขียนว่า ยินดีต้อนรับหากอยากกลับมาทำงานที่นี่หลังจากเรียนจบ
ได้แต่ขอบคุณตัวเองที่ตัดสินใจเดินกลับเข้าครัวไปในวันนั้น และบอกตัวเองว่าจะไม่มีวันร้องไห้ในที่ทำงานอีกแล้ว เวลาเราเหนื่อย เรามักจะลืมว่าจุดมุ่งหมายของเราคืออะไร งานคืออะไร เราพร้อมจะยอมแพ้ให้กับความงี่เง่าของคนรอบข้างที่เข้ามาปะทะหรือล้อเล่นกับอารมณ์ของเราจนได้ อยากฝากบอกไปถึงเด็กๆ ที่เริ่มทำงานแล้วชอบโพสต์ว่าเหนื่อยว่าท้อลงในโซเชียลทั้งหลาย เจ้านายเราเขาไม่ได้ตัดสินเราจากแค่ผลงานนะคะ เขามองเราด้วยว่าความเสถียรทางอารมณ์ของเรานั้นมีด้วยหรือไม่ ก่อนจะโพสต์หรือจะร้องไห้เพื่อร้องเรียกความสงสารในที่ทำงานครั้งต่อไปนั้น ถามคำถามนี้กับตัวเองเสียก่อนว่า “เราจะเดินหนีไปหรือจะกลับไปสู้ต่อ?” เพราะการที่คุณโพสต์ว่าเหนื่อยเหลือเกินเพื่อเรียกร้องความสนใจนั้น... มันเหมือนกับคุณได้ประกาศกับโลกและเจ้านายคุณไปแล้วว่าคุณไม่ใช่นักสู้ที่เขามองหา ความสงสารเห็นใจนั้นแสนหวานค่ะ ไม่เถียง... แต่มันไม่ทำให้ท้องอิ่มนะคะคุณขา
#คิดให้ดีก่อนโพสต์
.......................................
(หมายเหตุ 'วันหนึ่งวันเดียวนั้นที่ฉันร้องไห้ในที่ทำงาน' : คอลัมน์ ขบคิดขีดเขียน โดย... หญิงยศ)