บันเทิง

เอกเขนกดูหนัง:'Begin Again'

เอกเขนกดูหนัง:'Begin Again'

11 ก.ค. 2557

'Begin Again' : คอลัมน์ เอกเขนกดูหนัง โดย... ณัฐพงษ์ โอฆะพนม

 
 
          แค่เพลง A Step You Can’t Take Back ดังขึ้นในตอนเปิดเรื่อง ก็คล้ายมีลางสังหรณ์ว่า Begin Again ไม่น่าจะเป็นหนังดราม่าฟิลกู๊ดธรรมดาสามัญเรื่องหนึ่งที่ใช้เพลงเข้ามาเป็นองค์ประกอบสำคัญ ซึ่งไม่เพียงรองรับเนื้อหาแต่ยังนำพาอารมณ์ผู้ชมให้คล้อยตามดื่มด่ำได้ในระดับหนึ่ง และแน่นอนว่าเจ้าของเสียงร้องที่ชื่อ "เกรตา" (เคียรา ไนท์ลีย์) ซึ่งเธอเองก็ไม่ค่อยจะเต็มใจร้องนัก ถ้าไม่ใช่เพราะถูกเพื่อนคะยั้นคะยอหลังจากขึ้นโชว์เพลงในผับแห่งหนึ่ง และครั้งแรกที่ได้ยินตัวละครร้องเพลงนี้ ก็รู้สึกได้ว่า นี่ไม่ใช่เพลงธรรมดาที่ร้องโดยตัวละครพื้นๆ อย่างสาวบ้านนอกที่เสียศูนย์จากความรัก กรีดกีตาร์ร้องคร่ำครวญเพื่อบรรเทาความเศร้าโศกเสียใจจากการถูกทอดทิ้งโดยชายคนรักเป็นแน่ 
 
          จอห์น คาร์นีย์ ก้าวเข้ามาทำหนังเป็นเรื่องที่หกเข้าไปแล้ว อดีตมือเบสและนักร้องนำแห่งวง The Frames จากเมืองดับบลิน ประเทศไอร์แลนด์ เมืองที่ผู้คนส่วนใหญ่ยังแร้นแค้นทุกข์ยาก ไม่เพียงปากกัดตีนถีบดิ้นรนทำมาหากินท่ามกลางยุคเข็ญทางเศรษฐกิจ (ที่เป็นมาหลายปีดีดักแล้ว) หนำซ้ำการบ้านการเมืองยังเต็มไปด้วยความวุ่นวายจากความขัดแย้งที่คุกรุ่นรุนแรงไม่จบสิ้น (ส่วนหนึ่งมาจากการเคลื่อนไหวของขบวนการแบ่งแยกดินแดนไออาร์เอ) แม้คาร์นีย์ ไม่อาจเดินตามรอยความสำเร็จของศิลปินรุ่นพี่อย่าง U2 ที่ชื่อเสียงก้องไกลโด่งดังไปทั่วโลก แต่หมอนี่ก็สามารถเอาดีสร้างชื่อให้เป็นที่โจษจันได้ไม่แพ้กันจากการทำหนัง
 
          ...เมื่อสิบกว่าปีก่อนวง U2 กวาดรางวัลแกรมมี่อวอร์ดไปครองได้เป็นกอบเป็นกำแต่เมื่อ 7 ปีก่อน คาร์นีย์ก็มีโอกาสประคองรางวัลออสการ์อย่างทนุถนอมที่เขาคว้ามาได้จากเพลง Falling Slowly ผลงานการบันทึกเสียงโดยวงดนตรีที่เขาเคยเป็นสมาชิกร่วมวง ในหนังของตัวเองเรื่อง Once ไม่น้อยหน้าวงยูทูเช่นกัน
 
          ยิ่งบ่มเพาะประสบการณ์ทำหนังมากขึ้นฝีไม้ลายมือการกำกับคาร์นีย์ก็เพิ่มพูนตามไปด้วยอาชีพนักดนตรีเก่าของเขาสามารถหยิบนำมาแต่งเติมจินตนาการในการทำหนังได้เป็นอย่างดีถ้าคนทำหนังคือผู้เสกสรรภาพให้ปรากฏตามจินตนาการที่วาดไว้ คนทำเพลงก็คือผู้รังสรรค์เส้นเสียงให้เกิดสรรพสำเนียงผ่านจากเครื่องดนตรีแต่ละชิ้นเช่นกันเมื่อคนทำหนังและคนทำเพลงทำงานโดยอาศัยจินตนาการร่วมกันผู้ชมจึงได้เห็นฉากที่ "แดน" โปรดิวเซอร์ตกอับ ใช้สัญชาตญาณการเป็นคอมโพสต์เซอร์ต่อเติมเมโลดี้ของเพลง A Step You Can’t Take Back ด้วยการจินตนาการผ่านเครื่องดนตรีอย่างเปียโน เชลโล ไวโอลิน และกลอง ไปพร้อมๆ กับจินตภาพที่เห็นเครื่องดนตรีเหล่านี้ขยับให้เกิดเสียงโดยไร้คนบรรเลง (ซึ่งมี "แดน" เพียงคนเดียวที่ได้ยินและเห็นมัน)
 
          เมื่อศูนย์กลางของหนัง Begin Again คือตัวละครสองคน ประกอบด้วย "แดน" และ "เกรตา" ในซีเควนซ์เปิดเรื่อง ผู้ชมจึงได้เห็นสถานการณ์ที่เกิดขึ้นผ่านการเล่าเรื่องจากสองมุมมอง ของตัวละครสองคนนี้ ที่เป็นการแนะนำตัวละครพร้อมๆ กับการเริ่มต้นนำตัวละครผูกสัมพันธ์กันภายใต้เงื่อนไขและแรงกดดันที่ทั้งสองประสบพบเจอ แม้แค่เริ่มเรื่องไม่กี่นาทีผู้ชมก็รู้ว่า Begin Again เป็นแค่หนังดราม่าดาดๆ เรื่องหนึ่งที่ไม่ได้มีอะไรใหม่ เท่ากับพล็อตเก่าๆ เชยๆ ที่ว่าด้วยความสัมพันธ์อันงดงามของตัวละครที่ผ่านพ้นภาวะอับจนสิ้นหวังในชีวิตและลุกขึ้นมาทำกอบกู้สถานการณ์ร่วมกัน เผลอๆ เราก็แทบจะเดาได้เป็นฉากๆ ว่าเรื่องราววุ่นๆ ทั้งหลายนั้นลงเอยได้อย่างไรและเมื่อคนทำรู้สถานการณ์ว่าคนดูจับทางหนังของตัวเองได้ถูก ดังนั้นตลอดทั้งเรื่องจึงคล้ายกับว่า คาร์นีย์พยายามทดลองเล่นอะไรใหม่ๆ ในหนังของตัวเองโดยไม่ยี่หระถึงผลที่เกิดขึ้น อาทิ ฉากเกรตาปรับทุกข์กับเพื่อนชายคนสนิทบนโต๊ะอาหาร ที่ปล่อยให้กล้องแช่ภาพลองช็อตทิ้งไว้และใช้การตัดต่อแบบจัมพ์คัทระหว่างบทสนทนาโดยไม่คำนึงถึงความต่อเนื่อง
 
          จะว่าไปความสัมพันธ์และสิ่งที่เกิดขึ้นกับเกรตาและแดน ก็คล้ายกับเทพนิยายสมัยใหม่ที่ตัวละครต้องผจญอุปสรรคปัญหานานา และเรื่องราวรายล้อมรอบตัวล้วนเต็มไปด้วยความบังเอิญและก่อเกิดแต่สิ่งที่ดีงาม แต่ด้วยความเป็นคนทำเพลงมาก่อน และมีประสบการณ์จากการใช้เพลงในการขับเน้นอารมณ์และสื่อความหมายของเรื่องราวจากผลงานหนังก่อนหน้า คาร์นียจึงสามารถหาจังหวะการวางเพลงลงไปในหนังได้เหมาะเจาะ สอดคล้องและคลี่คลายสถานการณ์ในบางครั้ง หรือกระทั่งใช้เป็นสารบอกความในใจไปถึงตัวละครอันเป็นที่รักซึ่งมีเหตุให้พลัดพรากได้อย่างไม่ขัดเขินและถึงขั้นลงตัวด้วยซ้ำ กระทั่งสร้างความอิ่มเอมให้หลายๆ คนที่ได้ชมไม่ว่าจะเป็นฉากผสานรอยร้าวพ่อลูก ระหว่างเล่นดนตรีเพื่ออัดเสียงบนหลังคาตึกในเพลง Tell Me If You Wanna Go Home และเพลง Like A Fool ที่เกรตาตัดพ้อเหน็บแนมคนรักของเธอผ่านโทรศัพท์ไอโฟนเมื่อเขาทิ้งเธอไปกลายเป็นศิลปินดัง แต่ส่วนที่ดูสมบูรณ์ที่สุดและเป็นสิ่งที่หลายคนชื่นชอบที่สุดก็คือเพลง Lost Stars ที่ไม่ว่าจะดังขึ้นในคราใด ตัวละครใดเป็นคนร้อง หรือบรรเลงในท่วงทำนองแบบไหน เพลงๆ นี้สามารถสื่อความนัยของตัวละครได้ทุกขณะ อารมณ์ และที่น่าแปลกคือไม่ว่าตัวละครจะทุกข์สุขสร้อยเศร้า หรือกระทั่งแปรเปลี่ยนเป็นความรื่นรมย์โสมนัสสักแค่ไหน เพลงดาวหลงทางเพลงนี้ ดูเหมือนจะถูกเขียนขึ้นมาเพื่อให้นำไปใช้ได้กับทุกสถานการณ์ในหนัง ทั้งนี้เพราะมันเล่าถึงตัวละครที่พลัดหลงไปในหลุมพรางแห่งมายาที่สุดท้ายแต่ละคนต่างตะเกียกตะกายปีนขึ้นมา 
 
          Begin Again อาจดูเป็นหนังสูตรสำเร็จธรรมดาเรื่องหนึ่ง ที่ใช้เพลงป๊อป ช่วยเล่าเรื่องและขับเน้นอารมณ์ตัวละคร ซึ่งปริมาณการใช้งานอาจมากกว่าหนังรักดราม่าทั่วไป แต่ก็น้อยกว่าหนังเพลง และเมื่อเพลงกับหนังต่างถูกเขียนขึ้นด้วยสูตรสำเร็จเหมือนๆ กัน มันจึงกลายเป็นหนังที่เพลงและเนื้อหาเข้ากันได้อย่างลงตัว ด้วยความที่ผู้กำกับเคยทำงานเกี่ยวข้องกับแวดวงดนตรี จึงรู้จักและเข้าใจธุรกิจเพลงได้ดี ฉากไคลแมกซ์ในหนังคาร์นีย์เลยเสียดสีธุรกิจนี้รวมถึงการทำธุรกิจที่มุ่งเอาเปรียบศิลปินของค่ายเพลงอย่างสาแก่ใจ แม้ผู้จัดจำหน่ายในอเมริกากลัวว่า หนังที่เล่นตามสูตรแบบนี้คนดูอาจเบื่อหน่าย เลยนำเข้าฉายแบบจำกัดโรงเพียง 5 โรงในสัปดาห์แรก ก่อนจะขยับเพิ่มมาอีก 175 โรงในสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา พร้อมกับรายได้ที่ดีวันดีขึ้น เฉลี่ยต่อโรงน้อยกว่าทรานส์ฟอร์เมอร์สภาค 4 เรื่องเดียวเท่านั้น 
 
.......................................
(หมายเหตุ 'Begin Again' : คอลัมน์ เอกเขนกดูหนัง โดย... ณัฐพงษ์ โอฆะพนม)