
"ไกรสร"เผยไม่ขัดข้องน้องเพชรไม่ใช้นามสกุล
"ไกรสร" เผยไม่ขัดข้องหากลูกชายไม่ต้องการใช้นามสกุลพ่อ เผยเตรียมเข้าพบจิตแพทย์ที่ รพ.สวนปรุง พิสูจน์ตัวเอง
เมื่อเวลา 13.30 น. วันที่ 23 มิ.ย. 2552 นายไกรสร แสงอนันต์ หรือ ลีละเมฆินทร์ พร้อมด้วย นางสิริกร อินทร์พรหม ภรรยา ได้เดินทางยื่น หนังสือลาออกจากการเป็นประธานกลุ่มเชียงใหม่อารยะ กับนายนที ธีระโรจน พงษ์ เลขาธิการของกลุ่ม โดยให้เหตุผลสำคัญว่า กลุ่มเชียงใหม่อารยะเป็นกลุ่มที่ทำงานเกี่ยวกับการเฝ้าระวังปัญหาสังคม และตนเองต้องการใช้เวลาในการดำเนินการนำลูกชายกลับคืนมา หากยังเป็นประธานกลุ่มอยู่อาจไม่มีเวลา ทำงานที่เป็นประโยชน์ให้กับองค์กร
นายไกรสร กล่าวกับผู้สื่อข่าวว่า การลาออกยังมีขึ้นเพื่อเคบลียร์ ปัญหาส่วนตัวของตัวเอง และไม่ต้องการนำกลุ่มเชียงใหม่อารยะซึ่งทำงานให้ สังคมเข้ามาเกี่ยวข้องกับเรื่องของตนเองกับลูกเพื่อลดผลกระทบที่อาจจะเกิด ขึ้นตามมา
สำหรับกรณีลูกชายให้สัมภาษณ์ผ่านสื่อโดยบอกให้ตนไปพบแพทย์ พร้อมกันนั้น ตนก็อยากพิสูจน์ด้วยเช่นกัน โดยในวันที่ 24 มิ.ย. ตนเองจะเดิน ทางไปยังโรงพยาบาลสวนปรุง จ.เชียงใหม่ เพื่อให้จิตแพทย์ตรวจอาการอย่างละเอียดว่าตนมีปัญหาทางจิตเหมือนที่ถูกกล่าวหาหรือไม่ พร้อมจะถือโอกาส ขอคำปรึกษากับจิตแพทย์ถึงกระบวนการในการลูกชายมารักษาเพื่อให้กลับสู่ สังคมปกติ
นายไกรสร กล่าวว่า ช่วงที่ผ่านมามีแพทย์ที่รู้จักกันหลายคนบอกว่า พฤติกรรมของน้องเพชรที่เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็วในระยะเวลา 3-4 ปี ถือว่า อันตรายและต้องรีบนำกลับมาทำการรักษาโดยเร็ว ซึ่งเมื่อตนเองเข้าตรวจแล้วก็ อยากให้น้องเพชร ไปพบแพทย์เพื่อพิสูจน์ตัวเองด้วย หากผลการตรวจออกมา ว่าออกมาว่าลูกชายปกติก็ไม่เป็นไร
สำหรับเรื่องราวที่เกิดขึ้นกับครอบครัวของตนในครั้งนี้ อยากจะให้ เป็นกรณีตัวอย่างของพ่อแม่ที่เลี้ยงลูกดีเกินไปจนลูกคิดอะไรไม่เป็น เป็นคนหัว อ่อนที่อาจจะโดนคนอื่นหลอกยุแหย่ไปในทางที่ผิดได้ง่าย ๆ
ส่วนเรื่องอินเทอร์เนตก็สำคัญ การปล่อยให้ลูกแชทผ่านอินเตอร์เนต กับคนที่ไม่รู้จักกัน จนกลายเป็นเรื่องเป็นราวใหญ่โตแบบนี้ พ่อแม่คนอื่นจะมีวิธี การแก้ไขและรับมือกับลูกอย่างไร อย่างไรก็ตาม ภายหลังจากที่ตนเองเข้าตรวจสุขภาพจิตแล้ว หากน้องเพชรยังไม่ยอมไปตรวจตนก็คงต้องดำเนินการตามกฎหมายให้กฎหมาย บังคับแทน
นายไกรสร ยืนยันว่า ตนเองไม่เคยบอกว่าลูกชายบ้า แพทย์ก็ไม่ได้บอกว่าบ้า เพียงแต่อาจจะเป็นอาการของโรคจิตแบบหลงผิด ที่ถูกใครเสี้ยมสอน หรือยุแหย่มากกว่าซึ่งคนทั่วไปก็เป็นกันได้ แต่จะเป็นมากเป็นน้อยเท่านั้น ซึ่งอาการของโรคนี้เท่าที่พูดคุยกับแพทย์จิตเวชก็พบว่า ใครที่เป็นโรคนี้จะสังเกต อาการได้ยาก เพราะเขาจะรู้สึกตัวดีและแยกแยะได้เหมือนคนปกติ แต่ก็จะหลงผิดในบางเรื่องเท่านั้น แต่อาการอย่างนี้หากปล่อยทิ้งไว้นานๆจะมีปัญหา จึงต้องรีบรักษา ซึ่งไม่เช่นนั้นอาการก็จะหนักกว่านี้จนถึงขั้นบ้าไปจริง ๆ
สำหรับเรื่องของมรดก 50 ล้านบาท มันจบไปแล้ว แต่เรื่องลิขสิทธิ์เพลง ของคุณผึ้งยังอยู่กับตน ซึ่งต้องชี้แจงว่าลิขสิทธิ์บางส่วนก็เป็นของบริษัท และ บางส่วนก็เป็นลิขสิทธิ์ที่อยู่กับผม โดยทางบริษัทก็จะให้ค่าลิขสิทธิ์เทปมา แต่ตอนนี้ผมก็ยังไม่ได้รับเลย
ส่วนเรื่องที่ลูกชายต้องการเปลี่ยนนามสกุลเพราะไม่ต้องการใช้นาม สกุล "ลีละเมฆินทร์" หากน้องเพชรต้องการเปลี่ยนก็ให้เขาเปลี่ยนไป หากเขาคิด ว่าเปลี่ยนไปแล้วเรื่องราวที่เกิดขึ้นและชีวิตของเขาจะดีขึ้น ส่วนเรื่องที่ น.ส.ธิดา รัตน์ อรรถรัตน์ หรือ น้ำอ้อย จะฟ้องภรรยาตนนั้นคงไม่กลัวอะไร แต่ทุกครั้งที่ พูดก็ให้พูดตามความเป็นจริง ซึ่งตนก็จะไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยวอะไร เพียงแต่จะคอย บอกให้พูดแต่ความจริงที่เกิดขึ้นเท่านั้น และหลังจากนี้ก็จะรอดูท่าทีว่าทางฝ่าย ลูกเพชร และน้ำอ้อย จะออกมาพูดอย่างไรบ้าง แต่ที่แน่ๆ คือหากเขารักลูกเพชร จริงทำไมถึงปล่อยให้ลูกเพชร เป็นแบบนี้ให้ออกมาด่าพ่อ ว่าพ่อตุ๋ยลูก