บันเทิง

เอกเขนกดูหนัง:'High Noon'

เอกเขนกดูหนัง:'High Noon'

01 พ.ย. 2556

'High Noon' : คอลัมน์ เอกเขนกดูหนัง โดย... ณัฐพงษ์ โอฆะพนม

 
 
          เป็นหนังคาวบอยคลาสสิกที่ไม่ว่าจะนำออกวางจำหน่ายในรูปแบบดีวีดีลิขสิทธิ์กี่ครั้ง ผู้ผลิตยังคงรักษาคุณภาพในการ Restore ไว้ได้ดีทีเดียว โดยเฉพาะเมื่อเทียบกับราคาไม่ถึง 100 บาท เพราะถึงจะทำระบบเสียงแค่ภาษาไทยและอังกฤษ Dolby 5.1 มีซับไตเติ้ลไทยภาษาเดียว แต่รายละเอียดความคมชัดของภาพนั้นค่อนข้างสูงกว่ามาตรฐานแผ่นดีวีดีหนังต่างประเทศทั่วๆ ไป
 
          ไม่ใช่เพียงคุณภาพ ความคมชัดของภาพและเสียงเท่านั้น หากแต่เนื้อหาของหนังคาวบอยเรื่องนี้ยังยอดเยี่ยม เล่าถึงนายอำเภอใจกล้า หาญท้าสู้กับมือปืนต่างถิ่น แต่ที่นักวิจารณ์ทั่วโลกยกย่องเห็นจะเป็นการสะท้อนประเด็นทางสังคมการเมืองได้อย่างเยี่ยมยล พลิกขนบหนังคาวบอยตะวันตกเมื่อกว่า 60 ปีที่แล้วอย่างน่ายกย่อง กลายเป็นหนังคลาสสิกที่อยู่ในใจคอหนังมาจนทุกวันนี้
 
          ความยาวกว่า 80 นาทีของหนัง ถูกเล่าตามเวลาจริงที่เรื่องราวเกิดขึ้นในหนัง เมื่อ "วิลล์ เคน" นายอำเภอแห่งเมือง "แฮดลีย์วิลล์" เข้าพิธีแต่งงานกับ "เอมี่" ในตอนสายๆ พร้อมประกาศอำลาตำแหน่งไปใช้ชีวิตสงบสุขด้วยการเปิดร้านค้าขายเล็กๆ ในต่างเมือง แต่ไม่ทันไรก็ได้รับข่าวร้ายว่า "แฟรงค์มิลเลอร์" อาชญากรตัวเอ้ ที่เขาจับส่งเข้าคุกถูกปล่อยตัวออกมา (อันที่จริง "แฟรงค์" ได้รับโทษให้ถูกแขวนคอด้วยซ้ำ) และกำลังจะเดินทางกลับมาที่เมืองนี้ด้วยขบวนรถไฟในเวลาเที่ยงตรง ญาติๆ เพื่อนฝูง และแขกในงาน ต่างพากันเป็นห่วงเป็นใย ปลุกปลอบให้ "วิลล์" รีบพาภรรยาสาวสวยเดินทางออกจากเมืองก่อนเที่ยง แต่ควบรถม้าไปไม่ทันไร "วิลล์" ก็ตัดสินใจหันหัวรถกลับเข้าเมือง คว้าตรานายอำเภอประทับหน้าอก และรอคอยการกลับมาของวายร้ายคู่ปรับที่มาพร้อมมือปืนลูกสมุนอีก 3 คนอย่างกระวนกระวาย
 
          ความงุ่นง่านรำคาญใจของ "วิลล์" เกิดจากความไม่เข้าใจของภรรยา จนเธอต้องคิดจากไปเขาไปด้วยรถไฟขบวนเที่ยงตรง (ซึ่งเป็นขบวนที่ "แฟรงค์" กำลังเดินทางมา) อีกทั้งการหาอาสาสมัครมาช่วยรับมืออาชญากรร้าย ก็ปรากฏว่าคนทั้งเมืองต่างปฏิเสธ รวมถึงผู้ช่วยนายอำเภอหนุ่มที่ลาออกเพราะไม่พอใจที่ "วิลล์" ไม่ยอมยกตำแหน่งนายอำเภอให้ เวลางวดเข้ามาทุกขณะ นายอำเภอยังหาผู้ช่วยไม่ได้ "วิลล์" ออกตระเวนหาผู้ช่วยตั้งแต่ร้านเหล้าในเมือง จนถึงโบสถ์ แต่ทุกคนปฏิเสธ ด้วยเหตุผลต่างกันไป บ้างก็รักตัวกลัวตาย บ้างก็เป็นเพื่อนกับ "แฟรงค์" เห็นว่าเขาเป็นคนช่วยสร้างสีสันให้เมือง บ้างก็ว่าแท้ที่จริงแล้ว "วิลล์" มีความแค้นส่วนตัวกับ "แฟรงค์" มากกว่าที่จะคิดปกป้องคนในเมือง ส่วนคนที่สมัครใจเพียงคนเดียว ก็มาขอถอนตัวไปซะอีก "วิลล์" ในสภาพสะบักสะบอม (เพราะชกต่อยกับผู้ช่วยนายอำเภอ ที่อยากจะแย่งตำแหน่งและไม่อยากให้วิลล์ไปต่อสู้เพียงลำพัง) ที่ดูไม่น่าจะสู้กับใครได้แม้จะมีหนุ่มน้อยอายุไม่ถึงสิบหก อาสามาเป็นผู้ช่วย แต่เขาก็ปฏิเสธและตัดสินเผชิญหน้า ต่อสู้กับคู่อริเพียงลำพัง 
 
          High Noon มีภาพลักษณ์แทบจะตรงกันข้ามกับหนังคาวบอยในยุคนั้น (หนังออกฉายปี 1952) ไม่ว่าจะเป็นพระเอกที่ไม่ได้มีความเก่งกาจเหมือนในหนังคาวบอยตะวันตกทั่วไปที่ชักปืนไว ยิงปืนแม่น ชกต่อยผู้ร้ายจนล้มคว่ำคะมำหงาย กลายเป็นนายอำเภอที่เต็มไปด้วยความกริ่งเกรง หวาดระแวง ความดีเพียงอย่างเดียวที่มีคือ ความมุ่งมั่น ตั้งใจจะต่อกรกับผู้ร้ายที่จะมากล้ำกรายทำลายความสงบสุขในเมืองของเขา
 
          หนังถูกสร้างและออกฉายในยุคสงครามเย็น ในช่วงต้นยุค 50’s ที่โลกแบ่งออกเป็นสองขั้วระหว่างเสรีนิยมประชาธิปไตย และสังคมนิยมคอมมิวนิสต์ การเมืองอันร้อนแรงในช่วงเวลาดังกล่าว โดยเฉพาะแนวคิดแบบลัทธิ McCarthyism (ตั้งขึ้นตามชื่อวุฒิสมาชิกโจเซฟ แมคคาร์ทธีย์ แห่งพรรครีพับลิกัน) ที่ทำให้สังคมอเมริกันแตกแยกกันเอง พร้อมความหวาดกลัวการถูกภัยคุกคามของคอมมิวนิสต์ เหตุการณ์นี้ส่งผลกระทบมาถึงฮอลลีวู้ดโดยตรง เมื่อเอฟบีไอจัดตั้งคณะกรรมการตรวจสอบกิจกรรมที่ไม่เป็นอเมริกันของวุฒิสภา (HUAC - House Unamerican Activities Committee) พลเมืองอเมริกันได้รับผลกระทบ รวมถึงคนในฮอลลีวู้ด หลายคนถูกจับไปสอบสวนจับกุมเพราะสงสัยเป็นคอมมิวนิสต์ และถูกบังคับให้บอกรายชื่อคนอื่นๆ ที่ต้องสงสัยว่าเป็นคอมมิวนิสต์และขยายผลการจับกุมต่อไปเรื่อยๆ ว่ากันว่าคนทำงานในฮอลลีวู้ดหลายคนหนีออกนอกประเทศ บางคนยอมตกงาน ไม่ใช่เพราะฝักใฝ่คอมมิวนิสต์ แต่เพราะรับวิธีการแบบนี้ไม่ได้ รวมถึง คาร์ล ฟอร์แมน คนเขียนบทหนัง High Noon ที่ตัดสินใจหนีไปอังกฤษ..."คาร์ล" เสียดสี คนในฮอลลีวู้ด ว่าเป็นเหมือนกับชาวเมืองแฮดวิลล์ ที่ต่างอุบปากเงียบ ไม่มีใครยอมอาสาช่วย "วิลล์" อีกทั้งยังเหน็บแนมนโยบายต่างประเทศของอเมริกาที่เข้าไปข้องเกี่ยวกับสงครามเกาหลีในช่วงเวลานั้นด้วย
 
.......................................
(หมายเหตุ 'High Noon' : คอลัมน์ เอกเขนกดูหนัง โดย... ณัฐพงษ์ โอฆะพนม)