
มองผ่านเลนส์คม:'เป็นไปในแบบบีดี้ อาย'
'เป็นไปในแบบบีดี้ อาย' : คอลัมน์ มองผ่านเลนส์คม โดย... วิภว์ บูรพาเดชะ twitter.com/VipHappening
วง Oasis นั้นเคยเป็นวงดนตรีระดับซูเปอร์สตาร์ในยุค 90 ที่เชื่อว่าคนฟังเพลงสากลก็ต้องเคยได้ยินได้ฟังวงนี้มาบ้าง ตอนนั้นวงดนตรีที่นำโดยพี่น้องตระกูลกัลลาเกอร์วงนี้เป็นข่าวแทบไม่เว้นวัน ช่วงหนึ่งงานเพลงของพวกเขาและคู่แข่งคือวง Blur ที่ดังไม่แพ้กันก็ถูกนำไปเทียบกับวงดนตรีระดับตำนานอย่าง The Beatles มาแล้ว
วันเวลาผ่านไป วงโอเอซิสมีข่าวเรื่องความขัดแย้งอยู่เรื่อยๆ จนมีข่าวทะเลาะเบาะแว้งบนเวทีบ้าง อัลบั้ม Be เป็นจุดแตกหักมาถึงเมื่อพี่น้อง เลียม กับ โนล กัลลาเกอร์ ทนหน้ากันไม่ไหวแล้ว ในที่สุดชื่อโอเอซิสก็กลายเป็นอดีต โนลแยกไปเป็นศิลปินเดี่ยว ส่วนเลียมพาเอาสมาชิกที่เหลือมาตั้งวงใหม่ชื่อว่า Beady Eye แล้วก็ออกอัลบั้มชื่อว่า Different Gear, Still Speeding ในเวลาไม่นาน ซึ่งใกล้ๆ กันกับที่โนลออกอัลบั้มเดี่ยว ผลออกมาว่างานของศิลปินทั้งสองรายนี้ดูจะไม่ทิ้งความเป็นโอเอซิสสักเท่าไหร่ เพราะจะว่าไปทั้งโนลและเลียมก็ล้วนเป็นตัวตนและตัวแทนของความเป็นโอเอซิสทั้งคู่ อย่างไรก็ตาม ดูเหมือนว่างานของวงบีดี้ อายจะมีความพยายามในการสำรวจขอบเขตใหม่ๆ ทางดนตรีมากกว่า
บีดี้ อาย ออกอัลบั้มชุดที่ 2 ก่อนโนลครับ คราวนี้พวกเขาเปลี่ยนโปรดิวเซอร์ (แสดงถึงการอยากลองของใหม่อีกแล้ว) และตั้งชื่ออัลบั้มเป็นคำง่ายๆ ว่า Be ซึ่งอาจจะแปลว่าให้มันเป็นไป เป็นอย่างที่มันเป็น หรือจะเป็นยังไงก็เป็นกัน ประมาณนั้น
พวกเขาเปิดอัลบั้มด้วยเพลง Flick of the Finger ร็อกจังหวะกลางเท่ๆ เสียงเครื่องเป่าเพิ่มความอลังการตื่นใจ แต่เพลงนี้ดูเท่ขึ้นไปอีกนิดเมื่อวางต่อเนื่องด้วยเพลงจังหวะใกล้ๆ กันที่มีเมโลดี้ติดหูหมับชื่อว่า Soul Love สองเพลงนี้ต่อกันเนียนจนเหมือนเป็นเพลงเดียวกันเลยครับ แล้วมันก็ทำให้ช่วงต้นๆ ของอัลบั้มชุดนี้ดูน่าตื่นเต้นทีเดียว
เพลงต่อมา Face The Crowd เป็นเพลงร็อกแรงๆ กับริฟฟ์หนักๆ ที่แสดงว่าพวกเขายังไม่แก่เกินไปแม้จะอยู่ในวงการดนตรีมาร่วม 20 ปีแล้ว พอๆ กับ I’m Just Saying ที่ออกแนวโวยวายสักหน่อย พวกเขายังมีเพลงอารมณ์กวนๆ กับเนื้อร้องที่เป็นกบฏเล็กๆ อย่าง Second Bite of the Apple ที่พวกเขาใช้เครื่องเป่ามาสร้างความอลังการอีกหน
เลียมกับพลพรรคยังมีเพลงอะคูสติกอย่าง Soon Come Tomorrow และ Start Anew ที่พูดถึงการเริ่มต้นใหม่ได้อย่างมีชั้นเชิงพอสมควร ทั้งสองเพลงนี้ยังมีเมโลดี้ไพเราะ จึงเป็นเหมือนการโชว์ด้านที่เป็นมิตรของพวกเขาให้แฟนเพลงได้เห็นอีกด้วย
แต่เพลงที่เป็นมิตรสุดๆ ต้องยกให้เพลงรักชื่อแปลก Iz Rite ที่เมโลดี้ติดหูหมับ จังหวะโจ๊ะๆ ชวนขยับเท้าตาม ท่อนฮุกไพเราะล่องลอย เสียงประสานนวลเนียน ดีกรีความป๊อปของเพลงนี้อยู่ในระดับสูงมาก ชนิดที่ว่าป๊อปกว่าเพลงทั้งหมดของโอเอซิสเคยป๊อป (ร็อก) เสียอีก
เพลงหนึ่งที่น่าสนใจไม่น้อยก็คือ Don’t Brother Me ที่เป็นอะคูสติกช้าๆ เราจะได้ยินเสียงเปลือยๆ ของเลียมร้องแบบเนิบๆ ฟังรอบแรกรู้สึกเนือยๆ เหนื่อยๆ แต่หากได้ตั้งใจฟังเนื้อเพลง จะรู้สึกว่านี่เป็นเพลงที่ส่งสารตรงถึงพี่ชายที่กลายเป็นศัตรูกันในวันนี้ มีประโยคที่เหมือนจะท้าทาย แต่ก็มีบางประโยคที่เหมือนจะเป็นการให้โอกาส และกระทั่งขอคืนดีอยู่กลายๆ
อัลบั้ม Be เป็นงานที่แฟนๆ ของโอเอซิสน่าจะปลื้ม แต่อย่างไรก็ตาม ผมคิดว่าหากไม่ได้ชอบเสียงร้องของเลียมและทางเพลงของโอเอซิสเป็นทุนเดิม อัลบั้มนี้ต้องใช้เวลาอยู่พักหนึ่งในการทำความคุ้นเคยนะครับ มันมีหลายเพลงที่อยู่ในระดับดีใช้ได้เลยล่ะ เพียงแต่ว่ามีเพลงที่เนือยๆ อยู่บ้าง (โดยเฉพาะช่วงครึ่งหลัง) มีเพลงที่ดูเป็นส่วนตัวเกินไปอยู่บ้าง แล้วก็มีเพลงที่ติดหูตั้งแต่รอบแรกอยู่แค่ 2-3 เพลงครับ
ทุกสิ่งทุกอย่างก็คงต้องเป็นไปตามทางที่มันจะเป็นไป แม้ว่าจะเป็นยุคที่โลกเปลี่ยนแปลงไปแล้ว แต่อดีตสมาชิกวงซูเปอร์สตาร์อย่างโอเอซิสก็ยังคงทำงานเพลงต่อไป เพราะว่ามันคือวิถีชีวิตของพวกเขา เพราะว่ามันเป็นสิ่งที่พวกเขาอยากพิสูจน์ หรือเพราะว่ามันเป็นความคุ้นชินของศิลปินและคนฟังที่มีร่วมกัน
ลองฟังอัลบั้ม Be แล้วตัดสินใจกันเองว่ามันเป็นไปเพราะเหตุใดนะครับ
.......................................
(หมายเหตุ 'เป็นไปในแบบบีดี้ อาย' : คอลัมน์ มองผ่านเลนส์คม โดย... วิภว์ บูรพาเดชะ twitter.com/VipHappening)