บันเทิง

บอลตีกัน หนังแทงกัน ฮูลิแกนรีเทิร์น?

บอลตีกัน หนังแทงกัน ฮูลิแกนรีเทิร์น?

11 ต.ค. 2556

บอลตีกัน หนังแทงกัน ฮูลิแกนรีเทิร์น ? : คอลัมน์หนังโรงเล็ก : โดย...นันทขว้าง สิรสุนทร

               ถ้าวันที่ 24 พฤษภาคม 1964 ถือเป็นวันฮูลิแกนของโลก เพราะเคยมีการตีกันรุนแรงที่สุดในสนามฟุตบอล เราอาจนึกขำๆ ว่า สำหรับไทยลีก อาจเลือกวันที่ 5 ตุลาคม 2013 เพราะมันเป็นวันที่บอลไทยซัดกันในระดับวิกฤติเมื่อดูจากคลิปต่างๆ ที่ลงยูทูบ (นี่ยังไม่นับก่อนหน้า ที่มีกองเชียร์เผาธง เหยียบธง และคนก็ตั้งกระทู้ว่า เรื่องก็เงียบไป)

               3-4 ปีที่ผ่านมา ดูเหมือนไทยลีกจะยังไม่นิ่งกับการแก้ปัญหาแฟนบอลตีกัน แทงกัน กระทืบกัน เพราะนี่คือเหตุการณ์ที่ถูกรายงานอยู่มาเรื่อยๆ ตลอดมา ยอมรับเถอะว่าเรามีปัญหาเรื่องนี้ และแก้ไม่ได้ในระดับที่น่าพอใจ เคสล่าสุดที่เกิดขึ้น ทำให้แฟนบอลหลายคนประกาศในเฟซบุ๊กว่า คงงดไปสนามบอลชั่วคราว

               วัฒนธรรมฮูลิแกนกำลังเบ่งบานอีกครั้งในบ้านเราหรือ...ในอังกฤษนั้น เขามีมาตรการเด็ดขาด ตำรวจขี่ม้าฟาดกระบอง จับขังลืม แบนตลอดชีวิต ทำให้ฮูลิแกนหายไปหมด หรืออย่างน้อยไม่แสดงบทบาทออกมา หลังรัฐบาลออกนโยบาย football come home ในยุค 90

                ฮูลิแกนนั้นเกิดและมีมาตั้งแต่ปลายศตวรรษที่ 19 หรือเกือบๆ 20 ปีที่แล้ว เพียงแต่ในเวลานั้นยังไม่มีการเรียกพฤติกรรมของคนดูกีฬาว่าเป็น "ฮูลิแกน" จำได้มั้ยว่าในฟุตบอลโลกเมื่อปี 2002 มีรายงานว่า ได้มีฮูลิแกนเคลื่อนทัพยึดพื้นที่ในเอเชียเอาไว้เป็นฐานทัพในการดูบอล นับตั้งแต่ที่ศัพท์คำว่า “ฮูลิแกน” (Hooligan) ถูกนำมาใช้ในช่วงปี 1890 โดยมีความหมายถึงพวกอันธพาล ที่มักก่อความเดือดร้อนแก่ชาวบ้าน ในวันที่มีการแข่งขันกีฬา โดยเฉพาะอย่างยิ่งฟุตบอล จนถึงวันนี้ เวลาผ่านมานับได้ร้อยกว่าปี ความหมายของฮูลิแกนก็ไม่ได้แปรเปลี่ยนไปสักเท่าใด หนำซ้ำ ความรุนแรงที่คนกลุ่มนี้กระทำ ยังดูจะซับซ้อนมากขึ้น และเป็นไปในรูปแบบของการ “ตระเตรียม” หรือ "วางแผน" มากขึ้นด้วย

                ในแง่หนึ่ง ถ้าพิจารณาจากลักษณะขั้นพื้นฐานของกีฬาที่เปิดโอกาสให้มีการปะทะกันนั้น “ความรุนแรง” กับ “ฟุตบอล” มีความเกี่ยวข้องกันมานับตั้งแต่เริ่มแรกแล้ว

               ในศตวรรษที่ 13 นั้น คือช่วงเวลาที่นักประวัติศาสตร์ระบุว่า เป็นต้นกำเนิดของฟุตบอลในประเทศอังกฤษ โดยคนพื้นเมืองมักจัดการละเล่นประเภทนี้ขึ้นในวันสำคัญทางศาสนาต่างๆ รูปแบบของเกม เป็นคล้ายกับสงครามขนาดย่อม โดยผู้เล่นคือคนวัยหนุ่มจากหมู่บ้านและเมืองใกล้ๆ การปะทะกันเพื่อแย่งโอกาสในการนำลูกหนังกลมๆ ส่งเข้าประตูโบสถ์ซึ่งได้รับการออกแบบมาเพื่อการณ์นี้โดยเฉพาะ มีความรุนแรง และเป็นไปโดยไร้กติกา โดยมีแรงกระตุ้นสำคัญคือกรณีพิพาทเรื่องที่ดิน ทรัพย์สิน และอื่นๆ เกมดังกล่าว เป็นเหมือน "ประเพณี" (tradition) และต้องมี “การดื่ม” เป็นสิ่งประกอบด้วย หลายครั้งเกิดความรุนแรงในระดับที่เกินขีดจำกัด ส่งผลให้มีผู้บาดเจ็บจนถึงขั้นล้มตาย ซึ่งสำหรับในยุคนั้น ไม่ได้ถือว่าความเสียหายต่อชีวิตที่เกิดขึ้นในเกมฟุตบอล คือ “หายนะ” ดังเช่นทุกวันนี้

               มีหนังฟุตบอลหลายเรื่องที่สะท้อนภาพฮูลิแกนออกมาทั้งเล็กบ้างอย่าง Fever Pitch และใหญ่บ้างอย่าง Hooligan วัฒนธรรมฟุตบอลอังกฤษกับฮูลิแกน มักมีภาพของผับ เหมืองแร่และลูกหนังมาเกี่ยวข้องกัน ผ่านความขัดแย้ง ผมสังเกตได้ว่า "วัฒนธรรมผับ" ของคนอังกฤษก็สามารถนำไปเกี่ยวข้องกับความบันเทิงของฟุตบอลได้ เมื่อก่อนดูหรือหลังแข่ง แฟนบอลมักเข้าผับเพื่อฉลองและปรับทุกข์จากความผิดหวัง

               จากศตวรรษที่ 13 ...จวบจนในศตวรรษที่ 14 มีเกิดการเรียกร้องให้มีการตั้งกฎเพื่อควบคุมเกมฟุตบอลอย่างจริงจัง ซึ่งเหตุผลที่อยู่เบื้องหลังข้อเรียกร้องดังกล่าว แท้จริงแล้วก็ไม่ได้เกี่ยวข้องกับเรื่องของศีลธรรมอะไร เป็นแต่เพียงว่า ความรุนแรงที่เกิดขึ้นในวันแข่งบอลนั้น มีผลกระทบต่อเศรษฐกิจอย่างจัง เมื่อชาวบ้านเกิดความไม่แน่ใจในความปลอดภัยของตน ตลาดและร้านค้าจึงเงียบเหงาผิดปกติทุกครั้งที่มีการแข่งขัน

               นิโคลัส ฟาร์นดอน นายกเทศมนตรีประจำลอนดอน คือบุคคลแรกที่แสดงท่าทีเป็น “ปฏิปักษ์” ต่อเกมประเภทนี้อย่างเป็นทางการ เขาแถลงการณ์ในปี 1314 ทำนองว่า “ด้วยเหตุที่เกิดความสับสนอลหม่านไปทั่วเมือง อันเป็นผลสืบเนื่องของเกมฟุตบอล เราจึงขอออกคำสั่ง และขอห้าม ในพระนามของกษัตริย์ ว่านับแต่บัดนี้เป็นต้นไป ห้ามมิให้มีการเล่นเกมดังกล่าวในเมืองนี้โดยเด็ดขาด ผู้ที่ฝ่าฝืนจะมีโทษจำคุก” แต่คำประกาศของ ฟาร์นดอน ดูจะไม่มีผลกระทบอะไรนัก แม้จะมีผู้ถูกจับหลายราย แต่คนที่นั่น ก็ยังคงตั้งหน้าตั้งตาเล่นฟุตบอลกันต่อไป นับตั้งแต่การประกาศครั้งแรกของฟาร์นดอน จนถึงปี 1660 ประมาณกันว่า มีคำสั่งห้ามในทำนองเดียวกันอีกถึง 15 ครั้ง แต่เช่นเคย ไม่มีอะไรจะมาหยุดยั้งในความนิยมในเกมฟุตบอลได้

                ถ้าลองสังเกตดูจะเห็นว่า บุคลิกหรือฮูลิแกนนั้น สามารถบอกได้ว่า typical ของพวกเขา ก็จะมีการมีอารมณ์ร่วมในฟุตบอล, มีเบียร์ไว้ดื่มและมักก่อเหตุวิวาทอย่างรุนแรง เหตุการณ์หนึ่งที่เป็นโศกนาฏกรรมโดยฮูลิแกนและทุกวันนี้วงการฟุตบอลยังไม่ลืมก็คือ เดือนพฤษภาคมปี 1985 ซึ่งเป็นนัดชิงยูโรเปี้ยน คัพระหว่าง ลิเวอร์พูล กับ ยูเวนตุส ปรากฏว่าแฟนบอลของอังกฤษไปตีแฟนบอลของอิตาลี จนมีการเสียชีวิตถึง 39 ศพ ทำให้ทีมจากอังกฤษโดนยูฟ่าแบนไปนานถึง 5 ปี (จนหายซ่า)

               อย่างไรก็ตาม แม้จะมีเหตุการณ์ต่างๆ เกิดขึ้นอันเป็นผลจากการกระทำของแฟนบอล ให้เห็นกันเป็นระลอกๆ แต่ก็กลับไม่ได้เป็นที่สนอกสนใจมากนัก เกมในสนามหญ้าต่างหากที่ทุกคนต่างใจจดใจจ่อรอดู นักวิชาการบางคนพยายามให้คำอธิบายในเรื่องนี้ว่า เพราะภายในสนามกีฬานั้น มีผู้ตัดสินที่พร้อมจะรายงานต่อเอฟเอทันที หากเกิดเหตุการณ์ใดที่ส่งผลกระทบต่อตัวเกม แต่เรื่องของแฟนบอลนั้น เกิดขึ้นและจำกัดอยู่เพียง “บนอัฒจันทร์” เพราะฉะนั้น ก็ไม่ใช่ความรับผิดชอบของผู้ตัดสิน หรือถ้าแฟนบอลเกิดแสดงอาการบ้าคลั่งตามท้องถนน ก็เป็นเรื่องของตำรวจ ซึ่งก็ไม่มีความจำเป็นต้องประกาศให้สาธารณชนทราบแต่อย่างใด เรื่องจึงถูกเก็บไว้อย่างนั้น

               ล่วงเข้าสู่ศตวรรษที่ 21 นั้น ฮูลิแกนในตะวันตกหายหน้าไปเกือบหมดเแล้ว ด้วยมาตรการที่เด็ดขาด แต่สำหรับบ้านเราฟุตบอลไทย ยังคงมีการตีกันอยู่เรื่อยๆ โดยที่คนอีกไม่น้อยก็พยายามจะช่วยทำให้เกิดภาพลักษณ์ดีๆ ซึ่งบางที อาจมีตอนจบไม่เหมือนกับหนัง Hooligan เท่าไหร่นัก

               

.....................................

(บอลตีกัน หนังแทงกัน ฮูลิแกนรีเทิร์น ? : คอลัมน์หนังโรงเล็ก : โดย...นันทขว้าง สิรสุนทร )