
คุยกับ'แอนโธนี่ เฉิน'ผู้กำกับมือรางวัล
บันเทิงวันอาทิตย์ : คุยกับ 'แอนโธนี่ เฉิน' ผู้กำกับมือรางวัลจากเรื่อง 'ILO ILO'
ใครๆ ต่างต้องเคยผ่านช่วงเวลาที่เจ็บปวดกันมาด้วยกันทั้งนั้น ซึ่ง แอนโธนี่ เฉิน ผู้กำกับชาวสิงคโปร์ เจ้าของรางวัล กล้องทองคำ (Camera d’Or) จากเทศกาลหนังเมืองคานส์ปีล่าสุด ซึ่งเป็นภาพยนตร์ยาวเรื่องแรกของเขาใน "ILO ILO" หนังเรื่องนี้ได้บอกเล่าชีวิตชนชั้นกลางในสิงคโปร์เมื่อ 16 ปีก่อน ซึ่งเป็นช่วงวิกฤตการณ์การเงินในเอเชีย ผ่านสายตาของเทเรซ่า (แองเจลี บายานี) คนรับใช้ชาวฟิลิปปินส์ ที่เข้ามาหางานทำในสิงคโปร์ และถูกส่งไปทำในกับครอบครัวลิม (อันประกอบไปด้วยพ่อ แม่ ลูกชายวัยกำลังซน และทารกอีกคนที่กำลังจะลืมตาออกมาดูโลกในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า) ในตำแหน่งแม่บ้าน หนังเรื่องนี้ได้รับเกียรติเข้าฉายในสายไดเร็กเตอร์ ฟอร์ตไนท์ และกวาดคำชมมาอย่างล้นหลาม ซึ่งผู้กำกับคนดังได้กล่าวถึงภาพยนตร์เรื่องนี้ว่า
@ หนังเรื่องนี้เป็นเหมือนอัตชีวประวัติของคุณใช่ไหม?
เปล่า ผมไม่อยากเรียกมันว่าอัตชีวประวัติ แต่หลักๆ นั้น ILO ILO ได้รับแรงบันดาลใจจากชีวิตวัยเด็กของผม
@ สร้างบรรยากาศแบบยุค 90 ขึ้นมาใหม่อย่างไร?
ผมไปรื้อรูปเก่าๆ ของที่บ้าน และรวบรวมมาจากบ้านเพื่อนที่มีรูปในช่วงนั้นเก็บอยู่ด้วย อีกทั้งยังมีการค้นคว้าเพิ่มเติมอีกมาก ทั้งจากหนังสือ มันอาจจะพูดได้ว่าเป็นปลายยุค 90 หากลองบวกลบคูณหารเวลาดูก็จะพบภาพภาพเหล่านั้นมันผ่านมา 16 ปีแล้ว ต้องยอมรับว่าหลายอย่างที่เห็นในภาพยนตร์ถูกทำขึ้นมาจากทรงจำ มันเป็นความรู้สึกที่ผมยังจำได้ เช่น ออฟฟิศของแม่หน้าตาเป็นอย่างไร ทรงผมของแม่ แล้วก็ลิปสติกสีแดงแจ๊ดของแม่ บอกตรงๆ ว่าเรื่องนี้ไม่ใช่งานง่าย เพราะสิงคโปร์เป็นประเทศที่ทันสมัย มีการเปลี่ยนแปลงทั้งทางสถาปัตยกรรม และการตกแต่งภายในมันเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว การหาโลเกชั่นที่ได้บรรยากาศนั้นเรียกได้ว่าเป็นงานหินที่สุด เราโชคร้ายที่ประเทศเราเป็นประเทศที่ลืมอดีตง่าย
@ สร้างบรรยากาศที่ผู้คนในหนังเหมือนคนจริงๆ มาก คุณคัดเลือกนักแสดงอย่างไร?
เราหานักแสดงมาเล่นเป็นเจี่ยเล่อนานถึง 10 เดือน ตระเวนไปกว่า 20 โรงเรียน เรียกเด็กมาดูประมาณ 8,000 คน เพื่อมาทดสอบหน้ากล้อง 2,000 คน แล้วก็เลือกเด็ก 100 มาเวิร์คช็อปการแสดง เราเดินทางไปฟิลิปปินส์เพื่อหานักแสดงหญิงที่จะมาเล่นบทคนรับใช้ บางคนเป็นนักแสดงที่เคยร่วมงานกับผู้กำกับอย่าง บริลลันเต้ เมนโดซ่า และลาฟ ดิอาซ สุดท้ายผมตัดสินใจเลือกแองเจลี บายานี ประวัติชีวิตของเธอเป็นประโยชน์มากกับตัวละครที่เธอเล่น เธอเป็นคุณแม่เลี้ยงเดี่ยว ที่สนิทกับลูกมากๆ ส่วนบทอื่นๆ นั้นผมนัดเจอนักแสดงมืออาชีพหลายคนที่มีช่วงอายุใกล้เคียงกับบท
@ ประสบการณ์การทำงานกับเด็กเป็นอย่างไร?
ผมยอมรับว่าผมชอบเด็กมาก แต่การทำงานกับเด็กนั้นมันไม่ง่าย หลายคนเตือนผมว่า ถ้าให้เด็กแบกหนังทั้งเรื่องนั้นให้ระวัง ในหนังเรื่องนี้ผมใช้เวลาหนึ่งอาทิตย์ซักซ้อมก่อนถ่ายจริง เจี่ยเล่อ เป็นนักแสดงหน้าใหม่และไม่มีประสบการณ์ทางการแสดงมาก่อน แต่สิ่งที่ผมชอบเขาคือความเป็นธรรมชาติ เวลาถ่ายผมแค่บอกเขาว่าผมอยากได้อะไรแล้วให้เขาแสดง มีเหมือนกันที่เขาแสดงไม่ได้เลย และเราต่างเหลืออดกันทั้งคู่
@ หนังไม่ได้เลือกนำเสนอมุมมองใดมุมมองหนึ่งของตัวละครให้คนดูสักเท่าไหร่
หนังทุกเรื่อง ผมจะไม่ตัดสินตัวละคร ผมไม่เชื่อในการจัดวางตัวละครว่าตัวนั้นดี ตัวนั้นเลว ผมคิดว่าผู้คนมีปฏิกิริยาและทำสิ่งต่างๆ ตามแต่สถานการณ์ของแต่ละตัวละคร นั่นทำให้เงื่อนไขของความเป็นมนุษย์มีความน่าสนใจ ผมคิดว่าคำว่าครอบครัวนั้นเป็นคำสากล และผมมั่นใจว่าทุกคนน่าจะเข้าใจความสัมพันธ์ระหว่างตัวละคร หรืออาจจะมองเห็นตัวเองอยู่บนจอ และผมหวังว่าพวกเขาจะมีอารมณ์ร่วมไปด้วยได้ และมันไม่ต้องอาศัยการหักมุมหรือเหตุพลิกผันอะไรใหญ่โตเลยในการทำเช่นนั้น
@ มีผู้กำกับหรือผู้กำกับภาพที่มีอิทธิพลต่องานของคุณหรือเปล่า?
ผมไม่อยากใช้คำว่ามีอิทธิพลเลย เพราะผมคิดว่าผู้กำกับต่างก็ได้และรับจากงานของกันและกันเสมอ แต่ถ้าให้ตอบตรงๆ ยากที่จะชี้ชัดเพราะว่ามันเป็นเรื่องจิตใต้สำนึก ผมชอบงานของโหวเสี้ยวเสียน, เอ็ดเวิร์ด หยาง, ยาสึจิโร่ โอสุ, ฮิโรคาสุ โคเระเอดะ และเร็วๆ นี้ก็ชอบ ลีชางดอง แล้วผมชอบงานของฌาคส์ ออดิอาร์, อันเดรีย อาร์โนลด์ และนูริ บิลก์ ซีย์แลน มากผมคิดว่าตรรกะความคิดผมนั้นเป็นเอเชียมากๆ แต่เนื่องจากผมไปเรียนที่อังกฤษ มันเลยมีอย่างอื่นผสมเข้ามา หมายถึงการผสมผสานระหว่างตะวันออกและตะวันตก แล้วผมชี้ชัดไปไม่ได้ ผมต้องยอมรับตามตรงว่าผู้กำกับที่ผมดูซ้ำบ่อยๆ คือ อังลี ผมชอบที่เขาทำงานได้หลากหลาย เขาแม่นยำเรื่องงานสร้าง ในขณะเดียวกันก็ไม่ทิ้งเรื่องความเป็นมนุษย์ของตัวละคร
@ ทำหนังสั้นได้รางวัลมาหลายเรื่องแล้ว การมาทำหนังยาวเรื่องแรกเป็นอย่างไรบ้าง?
ถ้าพูดในแง่การหาทุนก็ไม่ได้ยากขนาดนั้น เนื่องจากเครดิตรางวัลที่ผ่านมานั้นช่วยผมได้มาก โดยเฉพาะจากคณะกรรมการภาพยนตร์แห่งชาติสิงคโปร์ สิ่งที่ยากกว่าคือการคุมงบมากกว่า ผมเป็นหนี้บุญคุณสถาบันเก่าของผม คือวิทยาลัยหงีอัน ซึ่งมาร่วมลงทุนด้วย
ภาพยนตร์เรื่องนี้กำลังสร้างความประทับใจแล้วในโรงภาพยนตร์ในขณะนี้