บันเทิง

"หมอลำทองศรี " เปิดติวลำกลอน
จ่ายบาทเดียว สร้างรายได้นับหมื่น

"หมอลำทองศรี " เปิดติวลำกลอน จ่ายบาทเดียว สร้างรายได้นับหมื่น

12 มิ.ย. 2552

ขณะที่โลกเรากำลังเปลี่ยนแปลงวิถีการดำรงชีวิต ทำให้วัฒนธรรมแห่งโลกกว้างที่ไร้พรหมแดน เริ่มมีผลกระทบต่อการดำรงชีวิตความเป็นอยู่ ของผู้คน ในสังคมและความเปลี่ยนแปลง ที่เกิดขึ้นได้แผ่กระจายไปทุกซอกของสังคม ทำให้วัฒนธรรม การดำรงชีวิตของผู้คนในสังคมเปลี่ยนไปอย่

 หากย้อนอดีตไปเมื่อ 30 ปีที่ผ่านมา วัฒนธรรมในงานกุศลอย่างหนึ่งที่ชาวบ้านในพื้นถิ่นดินแดนที่ราบสูงนิยมนำมาเป็นมหรสพสมโภชน์ในงาน คือ หมอลำกลอน ที่มีผู้แสดงเป็น หมอลำฝ่ายชายหนึ่งคน หญิงหนึ่งคน และก็มีหมอแคน อีกหนึ่งคนเท่านั้น ทำหน้าที่ร้องรำขับกล่อมตลอดคืน แต่ปัจจุบันหมอลำกลอนได้สูญหายไปตามกระแสวัยรุ่นนิยม ...หมอลำซิ่งเข้ามาแทนที่

 วิถีแห่งภูมิปัญญาไทย ความสละสลวยของภาษา ถูกแทนที่ด้วยเสียงกลอง จังหวะสามช่า เน้นมันเน้นฮา เขย่าอารมณ์เข้าว่า หมอลำกลอนจึงสูญสลายไปด้วย

 หมอลำกลอน หลายคนอาจจะไม่รู้จัก แม้แต่ลูกหลานคนอีสานยุคใหม่ จึงอยากจะบอกเล่าพอสังเขปว่า  หมอลำกลอน ถือว่าเป็นเพลงพื้นบ้านหรือโฟล์กซอง  อีกแนวหนึ่งที่คู่สังคมชาวอีสานมานาน เป็นบทกลอนร้องกล่อมให้ความบันเทิง ในเมื่อครั้งอดีตเป็นศิลปะการแสดงที่เก่าแก่อันหนึ่งของอีสานลักษณะเป็นการลำที่มีหมอลำชายหญิงสองคนลำสลับกันมีเครื่องดนตรีประกอบเพียงชนิดเดียว คือแคน ที่กำกับจังหวะให้มีความไพเราะน่าฟัง ซึ่งเครื่องดนตรีชนิดนี้เป็นเหมือนมนต์เสน่ห์ของผืนดินอีสาน ที่ช่วยขับกล่อมอารมณ์ของคนให้หวั่นไหวตามได้อย่างน่าอัศจรรย์ใจ

 การลำของหมอลำกลอน มีทั้งลำเรื่องนิทานโบราณคดีอีสาน เรียกว่า ลำเรื่องต่อกลอนลำทวย (ทายโจทย์) ปัญหา ซึ่งผู้ลำจะต้องมีปฏิภาณไหวพริบที่ดีสามารถตอบโต้ ยกเหตุผลมาหักล้างฝ่ายตรงข้ามได้ ต่อมามีการเพิ่มผู้ลำขึ้นอีกหนึ่งคนอาจเป็นชายหรือหญิงก็ได้ การลำจะเปลี่ยนเป็นเรื่อง ชิงรักหักสวาท ยาดชู้ยาดผัว เรียกว่า ลำชิงชู้ ปัจจุบันกลอนนั้นหาดูได้ยาก เพราะขาดความนิยมลงไปมาก จนแทบจะเลือนหายไปจากวิถีชีวิตของผู้คนชาวอีสานไปแล้ว จนทำให้ผู้แสดงหมอลำกลอน ได้วิวัฒนาการมาเป็นหมอลำซิ่ง เพื่อความอยู่รอดและผลก็คือได้รับความนิยมในปัจจุบัน แต่นั่นก็ไม่ใช่รากเหง้าต้นกำเนิดของหมอลำอย่างแท้จริง

 นางอรอุมา จันทรวงษา หรือในชื่อที่ใช้การแสดงบนเวที คือ หมอลำทองศรี ศรีรักษ์ ครูภูมิปัญญาไทย รุ่นที่ 4 ปี 2548 จากสำนักงานเลขาธิการสภาการศึกษา กระทรวงศึกษาธิการ เป็นอีกบุคคลหนึ่งที่มีความเป็นห่วงวัฒนธรรมภูมิปัญญาท้องถิ่น โดยเฉพาะหมอลำกลอน ได้พยายามสืบสานวัฒนธรรมอันนี้ไว้ให้เป็นมรดกสำหรับลูกหลานให้คงอยู่คู่กับวิถีชีวิตของคนอีสานให้ยั่งยืนต่อไป

 ปัจจุบันหมอลำทองศรี พักอยู่บ้านเลขที่ 100/2 หมู่ที่ 10 ต.นากลาง อ.นากลาง จ.หนองบัวลำภู ศิลปินพื้นบ้านสาขาภูมิปัญญาไทย ด้านศิลปกรรมการแสดงหมอลำ ซึ่งเกือบค่อนชีวิตได้ก้าวเดินบนถนนสายหมอลำกลอนตลอดมา รู้สึกเป็นห่วงที่เห็นว่า ปัจจุบันความนิยมในหมอลำกลอนเกือบจะมอดดับไป เด็กในยุคหลังๆ ไม่รู้จักคำว่าหมอลำกลอนแล้ว

 ดังนั้นเพื่อเป็นการสืบให้เยาวชนมีความรู้ ความเข้าใจประวัติความเป็นมาของการแสดงหมอลำ เพื่อเป็นการเผยแพร่ศิลปะการแสดงหมอลำกลอนและดนตรีพื้นบ้านอีสาน จึงได้เปิดสอนหมอลำกลอนให้แก่เด็กๆ หรือแม้แต่ผู้ใหญ่ที่คิดจะสืบสานเรียนรู้ ในราคาค่าเรียนชั่วโมงละ 1 บาท เป็นเวลาอย่างน้อย 200 ชั่วโมง ซึ่งการทำอย่างนี้แม่ครูหมอลำทองศรี ศรีรักษ์ ได้ทำมาเป็นเวลา 3 ปีแล้ว มีลูกศิษย์ที่เข้ามาเรียนตลอดเวลาจนทำให้ลูกศิษย์จากการฝึกรำค่าเรียนชั่วโมงละ 1 บาทไปแล้วกว่า 100 คน

 ปัจจุบันยังมีลูกศิษย์ที่เป็นเด็กนักเรียนจากโรงเรียนกุดดินจี่ ในช่วงปิดภาคเรียนมาฝึกรำรอที่จะเปิดรับรุ่นใหม่ ในเดือนเมษายน นี้ อีกประมาณ 30 คน ด้วยความมุ่งมั่นตั้งใจที่จะเป็นเมล็ดพันธุ์สืบสาน หมอลำกลอน ให้เจริญงอกงามต่อไป หลังจากที่หลายคนมองเห็นว่าเส้นทางวัฒนธรรมอันดีงามนี้ บางช่วงดูเหมือนว่าริบหรี่จนใกล้จะมอบดับ

 แม่ครูหมอลำทองศรี ของเด็กๆ กล่าวว่า รู้สึกเป็นห่วงมาก เพราะว่าปัจจุบันสังคมเปลี่ยนแปลงความนิยมไป ซึ่งหมอลำกลอน ถือว่าเป็นมรดกทางภูมิปัญญาที่ลูกหลานควรจะร่วมกันอนุรักษ์สืบสานไว้ ศิลปะหมอลำกลอนเป็นการร้องที่บอกเล่าข้อคิดคติสอนใจต่างๆ ให้แก่สังคม ส่วนกลอนรำ ก็มีคำสอน มีเรื่องราวทางประวัติศาสตร์ มีการประยุคเรื่องราวใหม่ๆ ให้เข้ากับยุคความเปลี่ยนแปลง เช่น การรณรงค์โรคเอดส์ ไข้หวัดนก การเลือกตั้ง ส.ส. การร่วมเวทีรัฐธรรมนูญ เราสามารถปรับรูปแบบการร้องได้ตลอดเวลา

 ส่วนทางด้าน เด็กหญิงอัจฉราณี สวัสแวงดวง หรือน้องเบนซ์ นักเรียนชั้นประถมปีที่ 6 โรงเรียนกกค้อกกโพธิ์ อำเภอนากลาง จังหวัดหนองบัวลำภู ที่เป็นเด็กอายุน้อยที่สุดที่มาฝึกเรียนรำตั้งแต่เมื่อสองปีที่แล้วและปัจจุบันมีความชำนาญ จนสามารถออกแสดงตามงานต่างๆ ได้และค่าตัวถึงระดับ 15,000 บาท กล่าวว่า ได้ยินเสียงแคนที่คุณตาเป่าให้ฟังมาตั้งแต่อายุ 2 ขวบ รู้สึกได้ถึงความไพเราะจับใจของแคน ทำให้มีความผูกพันกับเสียงหมอลำมาตั้งแต่เด็ก แต่พอเวลาผ่านไป จะหาดูหมอลำกลอนได้ยาก เมื่อโตขึ้นจึงคิดอยากเรียนรู้อยากฝึก เพื่อเป็นการดำรงไว้ซึ่งวัฒนธรรมดั้งเดิมอีสาน และยังจะทำเป็นอาชีพได้อีกด้วย

 ครูภูมิปัญญาไทยยังทิ้งท้ายด้วยว่า เหตุที่เก็บค่าเรียนก็ต้องการให้ผู้เรียนเกิดความสนใจ หากจะคิดในทางเศรษฐศาสตร์แล้วก็คงไม่คุ้มทุน แต่อยากจะสืบสานสิ่งเหล่านี้ไว้ให้แก่ลูกหลานเท่านั้น

"สุรศักดิ์ เครือคำ"