บันเทิง

เป็นคุ้งเป็นแคว:รักษ์ภาษาไทยด้วยบทเพลง

เป็นคุ้งเป็นแคว:รักษ์ภาษาไทยด้วยบทเพลง

18 ก.ค. 2556

รักษ์ภาษาไทยด้วยบทเพลง : คอลัมน์ เป็นคุ้งเป็นแคว โดย... เคน สองแคว


          “คนที่ขับร้องเพลงไทยเดิมได้ จะร้องเพลงลูกทุ่งได้ไพเราะ เพราะเพลงลูกทุ่งสมัยก่อนจะทำนองไทยเดิมมาใช้กันมาก และใครที่สามารถร้องเพลงลูกทุ่งได้ ก็สามารถจะร้องเพลงลูกกรุงได้เช่นกัน”  นี่คือประโยคที่ ปิยะนุช นาคคง พิธีกรสาวได้กล่าวบนเวทีการประกวด โครงการ “กฟผ. รักษ์ภาษาไทยด้วยบทเพลง” ที่หอประชุมเล็กศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา
 
          กฟผ. (การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย) ได้จัดกิจกรรมประกวดร้องเพลงดังกล่าวขึ้นมาเป็นปีแรก โดยใช้เพลงลูกกรุงในอดีตเป็นสื่อกลางในการปลูกฝังและฝึกฝนการใช้ภาษาไทยอย่างถูกต้อง และได้คัดเลือกเยาวชนจากทั่วประเทศ จนมาถึงรอบชิงชนะเลิศ ซึ่งคัดเลือกจนได้ 15 คน ชาย 8 และหญิง 7 คน (เนื่องจากประเภทชายมีผู้เข้าประกวดได้คะแนนเท่ากัน) ผู้เข้าประกวดต้องร้องเพลงพระราชนิพนธ์เป็นเพลงบังคับ โดยฝ่ายชายคือ เพลง “ยามเย็น” ฝ่ายหญิงคือ เพลง “สายฝน” และขับร้องเพลงที่ตนเลือกจากโจทย์ที่มีให้
 
          รอบชิงชนะเลิศนี้ คณะกรรมการประกอบด้วย ศิลปินแห่งชาติ รวงทอง ทองลั่นทม กับ ครูมนัส ปิติสานต์ รวมไปถึงนักร้องเสียงดี ศรวณี โพธิเทศ วราห์ วรเวช กุลชาติ เทพหัสดิน ณ อยุธยา ดร.ญาดา อารัมภีร จารุรินทร์ มุกสิกพงศ์ จิระวุฒิ กาญจนะผลิน และผู้เชี่ยวชาญเกี่ยวกับภาษาไทยหลายท่านมาร่วมตัดสิน 
 
          หลักเกณฑ์ในการประกวดของเวทีนี้ คือ คำร้องถูกต้องตามต้นฉบับ ไม่มีการแต่งเติมทำนองให้ผิดเพี้ยนจากต้นฉบับ ไม่หน่วงจังหวะหรือร้องเร็วกว่าจังหวะ การใช้เสียงถูกต้องตามวิธีขับร้องเพลงลูกกรุง ออกเสียงสุดลม สุดคำ ไม่มีการสะบัดเสียงหรือเอื้อนแบบลูกทุ่ง หรือกระแทกคำแบบเพลงสากล สื่ออารมณ์ได้อย่างเหมาะสม และที่สำคัญต้องออกเสียงภาษาไทยให้ถูกต้องตามอักขรวิธี
 
          งานนี้ ผู้ชมจึงได้ฟังเพลงจากนักร้องประกวดแบบสดๆ พร้อมวงคุณภาพ “กาญจนผลิน” ที่ล้วนแต่เป็นเพลงไพเราะ มีคุณค่า ได้แก่เพลง ดอกฟ้าในมือโจร เห็นใจพี่บ้าง พระลอรำพัน ฝันสลาย อนุสาวรีย์รัก ปรางทิพย์เทพี ยังคอย และ เย้ยฟ้าท้าดิน ซึ่งผู้ประกวดฝ่ายชายทุกคนขับร้องได้ดีอย่างน่าทึ่ง เพราะเมื่อเรามองหน้าตาของน้องๆ ที่ยังเป็นวัยรุ่น มันดูไม่สอดคล้องกับเสียงเพลงที่เปล่งเสียงออกมา นับว่า เด็กๆ ได้รับการฝึกฝนกันมาดีจริงๆ เพราะทราบมาว่า หลายคนมาจากเวทีการประกวดเพลงสตริงวัยรุ่น และบางคนก็ประกวดเพลงลูกทุ่งมา ซึ่งเมื่อถึงเวทีเพลงลูกกรุงทุกคนก็แปลงเสียงได้กลมกลืนอย่างน่าชื่นชม
 
          ส่วนนักร้องประกวดหญิงก็เลือกเพลงดีๆ ไม่แพ้กัน และชิงชัยกันดุเดือดกว่าฝ่ายชาย ได้แก่เพลง ไม่อยากให้โลกนี้มีความรัก ไม่เคยรักใครเท่าเธอ ปรัศนีย์หัวใจ สายสวาทยังไม่สิ้น กรุงเทพฯ ทรยศ ชีวิตฉันขาดเธอไม่ได้ (แฟนเพลงลูกทุ่งอาจจะสะดุดกับเพลง “ชีวิตฉันขาดเธอไม่ได้” นึกว่าเป็นเพลงใหม่ของจินตรา พูนลาภ แต่ความจริงคือเพลงเก่าชื่อเดียวกันที่ ลินจง บุนนากรินทร์ เคยขับร้องไว้ ไพเราะมาก) และเพลง เปลวไฟรัก เพลงเหล่านี้ เชื่อว่านักร้องประกวดบางคนไม่เคยรู้จักมาก่อนในชีวิต และบางเพลงเรียกว่า เป็นเพลงของศิลปินรุ่นตายายของพวกเขาเลยทีเดียว แต่ไม่น่าเชื่อว่า ทุกคนจะถ่ายทอดมาได้อย่างมหัศจรรย์ ชวนขนลุก
 
          ผลการประกวด ผู้ชนะฝ่ายชาย คือ กุศล ผคุณสินธ์ หนุ่มจากสุราษฎร์ธานี คนขับร้องเพลง "อนุสาวรีย์รัก” (บทเพลงของศิลปินแห่งชาติ มนัส ปิติสานต์ ผู้ประพันธ์) รองชนะเลิศ คือ หนุ่มพลังเสียงดีเยี่ยม สุวิวัฒน์ ทำการดี ที่ขับร้องเพลง “เย้ยฟ้าท้าดิน” (เคยชนะเลิศจากเวทีศาลาเฉลิมกรุงมาแล้ว) รองชนะเลิศอันดับสอง คือ ธนกฤต อยู่สุข เพลง “เห็นใจพี่บ้าง” ส่วนฝ่ายหญิงผู้ชนะเลิศ คือ อารีย์รัตน์ สุกใส กับเพลง “ปรัศนีย์หัวใจ” (บทเพลงของศิลปินแห่งชาติ นคร ถนอมทรัพย์ ผู้ประพันธ์) พิชญา ยอดแสง เพลง “สายสวาทยังไม่สิ้น" และ ภัทรวดี ศิลาขาว กับเพลง “ไม่อยากให้โลกนี้มีความรัก"
 
          ทราบภายหลังว่า นักร้องหลายคนในเวทีนี้ เป็นนักร้องที่ชนะเลิศมาจากเวทีลูกทุ่งมาหลายงาน ซึ่งน่าชื่นชมที่น้องๆ สามารถปรับรูปแบบการร้องได้เนียนจนไม่มีสำเนียงการเอื้อนแบบลูกทุ่งมาปะปนเลย หรือแม้แต่หนุ่มผู้เข้าประกวดจากกรุงเทพฯ อย่าง นายณัฐภัท กปิลกาญจน์ ที่ถนัดในแนวเพลงสตริงวัยรุ่น ก็สามารถถ่ายทอดเพลง "ยังคอย” ของ ชรินทร์ นันทนาคร ได้อย่างน่าชื่นชม 
 
          สาวสวยผู้เข้าประกวดที่สร้างความประทับใจ คือ จุฑารัตน์ สวัสดิสาร จากสุราษฎร์ธานี ที่ขับร้องเพลง “กรุงเทพฯ ทรยศ” เพลงนี้มีชื่อเต็มของกรุงเทพฯ ในท่อนแรกของเพลง (ร้องยากมาก) เธอมาในชุดที่ประยุกต์มาจากผ้าถุงพื้นเมืองลายสวย อยากให้นักร้องประกวดในแต่ละเวทีและแต่ละถิ่นดูไว้เป็นตัวอย่างว่า ชุดประจำถิ่นก็สร้างความสวยสง่าน่าภูมิใจ ไม่จำเป็นต้องไปแต่งตัวแบบนักร้องในคาเฟ่ ซึ่งรุงรังและวูบวาบ ไม่สมกับวัยมาประกวดกัน
 
          การประกวดจบลงอย่างน่าประทับใจ สลับกับการโชว์ของนักร้องวัยรุ่นจากชมรมเพลงแห่งสยาม ซึ่งเสียงดีกันทุกคน และกรรมการคือ รวงทอง ทองลั่นทม กับ ศรวณี โพธิเทศ ก็ได้ให้เกียรติไปร้องโชว์บนเวทีด้วย
 
          ผู้ชมในหอประชุมต่างเรียกร้องให้ กฟผ.จัดการประกวดเช่นนี้ขึ้นอีก และเปิดกว้างให้ประชาชนได้รับชมกันทางโทรทัศน์ แต่กรณีถ่ายทอดออกอากาศจะเป็นไปได้ยาก เพราะปัญหาเรื่องลิขสิทธิ์เพลงเป็นเรื่องสำคัญ ซึ่งเชื่อว่า ทาง กฟผ.คงจะทำงานแนวนี้ต่อไป ไม่ว่าจะเป็นประกวดแนวเพลงลูกทุ่งหรือลูกกรุงก็ล้วนแต่เป็นเพลงที่ รักษ์ภาษาไทย ด้วยกันทั้งสิ้น 

.......................................
(หมายเหตุ รักษ์ภาษาไทยด้วยบทเพลง : คอลัมน์ เป็นคุ้งเป็นแคว โดย... เคน สองแคว)