
ดื้อ : เล่นหูเล่นตา
ดื้อ : คอลัมน์เล่นหูเล่นตา : โดย...เจนนิเฟอร์ คิ้ม
เขาว่ากันว่า "ความริษยาไม่มีวันแก่" ... ก็จริง! แต่อีกอย่างที่อยู่ในตัวเราและไม่มีวันแก่พอๆ กับความริษยา นั่นก็คือ "ความดื้อรั้น"... ในบางทีความดื้อรั้นก็อาจส่งผลดี ถ้ามีความหวังและความตั้งใจแอบซ่อนตัวอยู่ในนั้น
จากเด็กดื้อที่หน้าตาและชาติตระกูลไม่เข้ากับใคร เติบโตมาเป็นผู้ใหญ่ ได้รับการศึกษาจนจบชั้นปริญญาตรีเพราะความดื้อรั้นจะเอาชนะความเชื่อแบบจีนโบราณของเตี่ยที่ว่า ... “ผู้หญิงไม่ต้องเรียนหนังสือมากนักเพราะแต่งงานไปสามีก็เลี้ยง" ฉันเคยเห็นคนเป็นเมียหลายๆ คนถูกทิ้งให้ดูแลรับผิดชอบครอบครัวและลูก ส่วนผัวที่ควรเป็นหัวหน้าครอบครัวกลับเห็นแก่ตัว ทิ้งทุกอย่างไว้ข้างหลังแล้วไปอยู่กับคนใหม่ ... เรื่องแบบนี้เกิดขึ้นซ้ำซากในสังคมสมัยใหม่ จะมีกี่คนที่แมนแบบเตี่ยฉัน เมื่อโลกมันเปลี่ยนไปความเป็นลูกผู้ชายก็เปลี่ยนตาม นั่นคือเหตุผลว่าทำไมฉันจึงดื้อรั้นดึงดันที่จะเรียนให้จบเพื่อไม่ต้องเป็นภาระของใคร หรือมีชีวิตอยู่ภายใต้ใคร "ชีวิตมันถูกขีดไว้โดยโชคชะตาและวาสนา" ... ฉันเชื่อเช่นนั้น แต่ระหว่างนั้นแต่ละก้าวที่ฉันเดินต้องออกแรงลงมือทำเองโดยไม่นั่งรอโชควาสนาที่ไม่รู้ว่าจะมาหาฉันเมื่อไหร่หรือบางทีฉันอาจเป็นคนไร้วาสนาโดยกำเนิดก็ได้ มีเพียงความหวัง ความตั้งใจที่จะพาให้ฉันเอาชีวิตรอดไปได้ ...
แม้จะได้รู้ตั้งแต่เริ่มร้องเพลงในช่วงแรกๆ ว่า อาชีพนักร้องมีไว้สำหรับคนหน้าตาดี แต่ฉันก็ยังดื้อดึงแข็งขืนและยืนยันที่จะเดินบนเส้นทางแห่งเสียงนี้ต่อไป ต่อให้ใครจะผลักไสฉันออกไปสักกี่ครั้ง ฉันก็ยังกระโดดกลับเข้ามาในเส้นทางเดิมได้ตลอด โดยมีพี่ๆ น้องๆ นักดนตรีที่น่ารักคอยให้กำลังใจและช่วยเหลือเสมอมา
“ไม่เป็นไรนะ ไม่มีงานก็มาร้องกับวงพี่ เงินน้อยหน่อยก็ยังดีที่มีงานทำ" พี่หน่อง หัวหน้าวงเลม่อนเคยพูดกับฉันในวันที่ไม่มีใครจ้างเมื่อ 20 ปีที่แล้ว
ฉันไม่เคยเกี่ยงงาน จะหนักจะดึกแค่ไหนฉันก็สู้ ขอให้ได้ร้องเพลง สิ้นเดือนมีเงินเดือนออกมาให้พอใช้จ่ายพ้นไปเป็นเดือนๆ โดยไม่รู้ว่าฉันจะต้องร้องเพลงไปอีกนานแค่ไหน? ปลายทางคืออะไร? แต่ฉันหวังไว้ว่า ... สักวันจะต้องมีคนชื่นชอบในเสียงของฉัน มีงานจ้างเยอะๆ มีเงินมีทองเก็บเลี้ยงเตี่ยกับแม่ให้สบายในตอนแก่ได้ ฉันจะพิสูจน์ให้เตี่ยเห็นว่า อาชีพเต้นกินรำกินที่เตี่ยว่าไม่พอเลี้ยงตัวและไม่มีเกียรตินั้น มันเลี้ยงเราได้จริงๆ!
แต่ทุกครั้งที่ถูกไล่ออกจากงาน จากหน้าตาของฉันเป็นต้นเหตุก็ทำให้ท้อใจไม่อยากจะร้องเพลงต่อไป ... “เส้นทางนี้มันคงเกลียดฉัน ถึงไม่ค่อยมีที่ให้ฉันอยู่" ถึงไม่มีที่จะให้อยู่ ฉันก็ยังดื้อที่จะอยู่ต่อ สุดท้ายฉันก็มักจะได้งานร้านอื่นมาทดแทนอยู่เสมอ แม้ระยะเวลาที่ร้องในแต่ละร้านจะสั้นและไม่แน่นอน แต่ก็ยังพอมีงานให้ทำตราบเท่าที่ฉันไม่เกี่ยงงานและราคา
นักร้องรุ่นน้องที่ร้องในร้านเดียวกันกับฉันก็มักจะเจริญก้าวหน้ามากกว่าฉัน ได้ค่าแรงสูงกว่า เวลาที่พวกเขาไปประกวดอะไรก็มักจะได้ตำแหน่งกลับมาเป็นที่เชิดหน้าชูตา ดูมีเกียรติ ผิดกับฉันที่เพียรแข่งแล้วแข่งอีกจนอายุติดเพดานที่เขากำหนดไว้ แต่ก็ไม่เคยได้อะไรกลับมา แต่ก็ยังคงดื้อด้านทำหน้ามึนๆ ร้องไป น้อยใจหนังหน้าและวาสนาของตัวเองไปแบบนั้น จนเวลาล่วงเลยไป 10 ปีกว่าจะได้ออกอัลบั้มของตัวเองโดยมีผู้ใหญ่ใจดีอย่าง พี่เอก (จิระชัย กุลละวณิชย์) พี่หมู (วิรัช รุยาพร) และพี่โจ้ (ชัยธวัช บุนนาค) ให้โอกาสกับสโตนเอ็นเตอร์เทนเม้นท์ ... มันก็ยังไม่ได้ดีขึ้นตรงไหน หนีไม่พ้นต้องกลับมาร้องเพลงกลางคืนวิ่งรอกไปมาหลายที่เหมือนเดิม ... บางทีฉันก็อยากจะเดินออกนอกเส้นทางแล้วไปหาอาชีพอื่นทำ แต่เสียดายเวลาที่ผ่านมา ประสบการณ์ 10 ปีของฉัน ถ้าให้ทิ้งไปเริ่มใหม่ในอาชีพอื่นฉันก็คงจะต้องกลายเป็นมือใหม่ แล้วฉันก็อาจจะไม่มีความสุขกับงานที่ทำ ในเงามืดและแสงไฟสลัวภายในร้าน ฉันมองไม่เห็นลูกค้าที่ไม่สนใจฟัง ในความมืดนั้นฉันได้ยินแค่เสียงดนตรีกับเสียงตัวเอง นั่นก็ทำให้ฉันแอบมีความสุขได้ในแต่ละช่วงเวลาที่ได้ร้องเพลง ไม่ต้องคิดถึงหน้าตัวเอง ไม่ต้องคิดถึงค่าแรงที่ได้ ไม่ต้องคิดว่าวันไหนจะโดนไล่ออก หาความสุขจากเพลงที่ตัวเองร้องผ่านไปอีก 10 ปี จากร้องทุกวันกลายเป็นร้องแค่อาทิตย์ละ 2 - 3 วัน ไม่ใช่เพราะฉันขี้เกียจร้อง แต่เพราะนักร้องใหม่ๆ มันผุดขึ้นมาทุกวัน ยิ่งหน้าตาดีๆ ก็ง่ายแก่การว่าจ้าง เวลาที่มีมันจึงถูกเจียดไปเรื่อยๆ แบ่งกันออกไป ... การเป็นที่รู้จักจากเพลง "คิดถึงเธอทุกที (ที่อยู่คนเดียว)“ ของโก้ มิสเตอร์แซกแมน (ผู้ชายที่ฉันรักรองจากเตี่ย) พอทำให้ฉันมีงานจ้างให้ไปตามงานนอก เรียกอีกอย่างว่า งานอีเวนท์ (Event) งานเปิดตัวสินค้า เลี้ยงลูกค้า ตลอดจนงานแต่งงาน วันเกิด เกษียณอะไรเอาหมดขอให้จ้าง ไปกันพี่น้อง ฉันกับโก้และวงทาเคชิ ... ถ้าแต่ละเดือนมีงานอีเวนท์สัก 2-3 งาน (ในเวลานั้น) รายได้ก็มากกว่าค่าจ้างที่ร้องประจำแล้ว หลุดออกจากวงโคจรของนักร้องกลางคืนโดยปริยาย ก่อนหน้านั้นฉันมีชีวิตที่เดินบนเข็มหน้าปัดนาฬิกามาตลอด 20 ปี ฉันเกลียดวันศุกร์, เสาร์ และเทศกาลทุกอย่างที่ทำให้รถติด ไปทำงานไม่ทันต้องโดนตัดเงิน ค่าจ้างรายชั่วโมงที่บิ่นไปเป็นนาทีๆ บางทีเหลือแค่หลักร้อย
การกระโดดเข้ามาในสายอีเวนท์ ทำให้ปัญหาเหล่านั้นหมดไป ... ไม่ต้องตะบี้ตะบันร้องวันละหลายๆ ที่ทุกวี่ทุกวันแบบเมื่อ 20 ปีก่อน ฉันมีโอกาสได้ร้องเพลงในละครทั้งๆ ที่เป็นนักร้องไม่มีสังกัด ก็ด้วยความเมตตาจากผู้ใหญ่ ... คุณบอย ถกลเกียรติ เพลง "ไม่ยอมหมดหวัง" ในละครเมืองมายา เดอะซีรีส์ 2, พี่นก จริยา เพลง "ก่อนรุ้งจะทอ" ในละครเรื่อง เรือนนารีสีชมพู และเพลงอื่นๆ อีกมากมาย แต่คนที่ใจดีต่อฉันที่สุดอีกคนก็คือ พี่หน่อง อรุโณชา ที่ไม่ว่าอย่างไรก็ยังคงเชื่อมั่นและให้โอกาสกับฉันได้ร้องเพลงในละครดังๆ ของพี่หน่อง ตั้งแต่ อกส้มสีทอง, บ่วง และกี่เพ้า ...
การขึ้นคอนเสิร์ตใหญ่ของตัวเองครั้งแรก "สโนว์คิ้ม"โดยพี่ฉอด สายทิพย์ มนตรีกุล ณ อยุธยา ก็เป็นสิ่งที่เกินความคาดฝันของฉัน ทุกสิ่งที่ปรากฏออกมาล้วนเป็นผลมาจากความดื้อที่แอบซ่อนความตั้งใจและความหวังเอาไว้อย่างเต็มเปี่ยม มันถูกขัดเกลาด้วยความเพียรพยายามและประสบการณ์ที่ผ่านมาจึงกลายเป็นตัวฉันในวันนี้ ... ขอบคุณความดื้อรั้นที่มีอยู่ในตัวฉัน
..........................................
(ดื้อ : คอลัมน์เล่นหูเล่นตา : โดย...เจนนิเฟอร์ คิ้ม)



