บันเทิง

เล่นหูเล่นตา:ดื้อ(I)

เล่นหูเล่นตา:ดื้อ(I)

08 ก.ค. 2556

ดื้อ (I) : คอลัมน์ เล่นหูเล่นตา โดย... เจนนิเฟอร์ คิ้ม


          ความดื้อรั้น ...คนเราได้มันมาจากไหน มันเกิดขึ้นเอง หรือ ถ่ายทอดทางพันธุกรรม แต่มันอยู่กับเราตั้งแต่เด็กจนแก่ ... และความอ่อนแอของร่างกายก็ไม่ได้ทำให้ความดื้อรั้นอ่อนลง!
 
          เด็กดื้อหน้ากลมผมเป๋ติดกิ๊บเบี่ยงมาทางขวาทำหน้าเบื่อโลกพอๆ กับเบื่อหน้าตัวเองอยู่บนม้าหินในช่วงพักกลางวันของโรงเรียนประถมแห่งหนึ่ง ... เพื่อนๆ วิ่งไล่จับ กระโดดยาง เล่นหมากเก็บกันอย่างสนุกสนาน ... เด็กดื้อมองไปด้วยความขัดใจ ... เธอแบะปากแล้วบ่นพึมพำในใจว่า ...
 
          “เล่นอะไรกันไม่รู้ เมื่อไหร่จะโตกันเสียที จะได้ทำมาหากินรวยเร็วๆ”
 
          ในห้องเรียน เด็กดื้อมองไปรอบๆ ห้อง บางคนก้มหน้าทำการบ้าน บางคนจับกลุ่มเล่นกันคุยกัน เด็กผู้หญิงหน้าตาน่ารักเหมือนตุ๊กตา ถักเปีย มัดผม 2 ข้างติดโบว์สีน้ำเงินดูเป็นลูกคนรวย น่ารักมากกว่าลูกเจ๊กที่นั่งตาหยีมีเตี่ยเล่นไพ่ตามบ่อน เด็กดื้อไม่เข้าใจว่าทำไมเพื่อนๆ บางคนจึงหน้าตาดีกว่าเธอ หรือแม้แต่เด็กหน้าตาแย่กว่าเธอก็ยังเป็นที่น่าสนใจกว่าเพราะเรียนเก่งสอบได้ที่ 1 ของห้อง ผิดกับเด็กดื้อหน้ามึนที่ไม่เป็นที่สนใจรักใคร่ของใคร มีเพียงเพื่อนผู้ชายตัวกะเปี๊ยก 2 คนที่เป็นทั้งลูกไล่และเพื่อนเล่นของเธอ เป็นเพราะไอ้ 2 คนนั้นมันตัวเล็กที่สุดในห้องเข้ากลุ่มกับเพื่อนผู้ชายก็มักโดนแกล้ง จะเล่นกับเพื่อนผู้หญิงก็จะถูกล้อว่าเป็นกระเทย มันก็เลยต้องหันมาเข้ากลุ่มกับเด็กดื้อหน้าแย่ที่ไม่แคร์อะไร ไม่เล่นหรือทำตัวเหมือนใคร นอกจาก ... มองพวกเขาเล่นกัน! นานๆ ทีนึกสนุกก็ไปขอเล่นกับพวกเขา แล้วไง! เล่นกระโดดยางทีไรได้เป็นคนถือยางให้คนอื่นโดดตลอด ลงไปกระโดดเองได้แค่ 2 อี ... อีตาตุ่มกับอีเข่า พออีเอวปุ๊บก็หกกะล้มหกกะลุกมันทุกที ที่สุดก็นั่นแหละ ... รั้งตำแหน่งถือยาง! เล่นกีฬาอะไรก็โหล่รั้งท้ายตลอดพอๆ กับเพื่อนตัวกะเปี๊ยกทั้ง 2 ของเธอ ... “เชอะ! ไม่เล่นก็ได้ ... ไม่เห็นสนุกตรงไหนเลย เล่นอะไรก็ไม่รู้ ไม่ทำให้รวยสักหน่อย!”
 
          เด็กดื้อตั้งใจเรียนแต่ไม่เคยสอบได้ที่ 1 ทั้งๆ ที่รู้ว่าที่ 1 คือที่สุด แต่เธอก็หาเหตุผลให้ตัวเองว่า ... “ที่ 1 แปลว่ารวยเมื่อไหร่ค่อยว่ากัน ... เรียนเก่งแล้วทำไมเหรอ?” อือ ... นางมีความคิดเป็นของตัวเอง! ตอนเช้า ... เด็กดื้อกับพี่สาวชื่อ "นก" และน้องสาวชื่อ "เหมียว” อายุห่างกันคนละปีจะเดินจูงมือกันมาโรงเรียนตั้งแต่เช้า ... มาลอกการบ้านเพื่อนในข้อที่ทำเองไม่ได้และบางวิชาที่ยังทำไม่เสร็จ เด็กดื้อกับนกและเหมียวยืนมองเด็กคนอื่นๆ ที่พ่อแม่มารับมาส่งด้วยรถเก๋งหรู ... เด็กดื้อหันไปบอกกับพี่น้องว่า ... “สักวันเราจะมีรถดีๆ แบบนี้นั่ง ... เราจะรวย!” บางคนก็ซ้อนมอเตอร์ไซค์ของพ่อมาโรงเรียนมีอาม่าอากง หรือคนใช้เดินถือกระเป๋ามาส่งถึงหน้าโรงเรียน .. เด็กดื้อกับพี่น้องมองหน้ากันแล้วถอนหายใจ เตี่ยเราเล่นไพ่เลี้ยงพวกเรากลับมาพร้อมแม่ก็จะเช้าแล้ว พอเตี่ยกับแม่เข้านอน เราก็ตื่นพอดี เมื่อก่อนแม่กับน้าก็ผลัดกันมารับมาส่ง แต่พอเราข้ามถนนเองเป็นพวกเราเลยมากันเองตั้งแต่นั้นมา ... เด็กดื้อไม่เข้าใจว่าทำไมเตี่ยไม่ทำงานค้าขายเป็นเจ้าของกิจการเหมือนใครเขา แต่ก็ต้องยอมรับในสิ่งที่เป็นอยู่และเห็นใจเตี่ยกับแม่ที่หาเงินมาส่งเสียให้เธอและพี่น้องได้ร่ำเรียน แม้จะต้องถูกครูจีนประจำชั้นเรียกออกมาทวงเงินค่าเทอมหน้าชั้นทุกครั้งที่เริ่มเปิดเทอมใหม่ๆ ก็ตาม ... ทีแรกเด็กดื้อก็อายที่ถูกเรียกมาทวงค่าเทอม หลังจากนั้นหลายอาทิตย์เข้าเธอก็เริ่มชินชาแล้วบอกกับนกและเหมียวว่า ... “ไม่ต้องอาย ... เราไม่ได้ทำผิดอะไร แค่เราจ่ายช้า เดี๋ยวป่าป๊าก็จะหาเงินมาให้เราแล้ว ตอนนี้ป่าป๊าเสีย (ไพ่) เดี๋ยวก็ได้เอง รอหน่อย ... อี "จ๋งลี่" (เจ้าของโรงเรียน) ก็หน้าเลือดชอบทวงเงินนักเรียน ... ปล่อยให้มันทวงให้ตายไปเลย!” เห็นมั้ย? นางมีความคิดของนาง
 
          เด็กดื้อเป็นเด็กปากร้ายตั้งแต่เด็ก ชอบมีเรื่องกับเด็กผู้ชายในห้องเรียนโดยเฉพาะไอ้พวกที่ชอบรังแกเด็กผู้หญิง เด็กดื้อคิดว่าผู้หญิงหรือผู้ชาย ตัวใหญ่หรือตัวเล็กไม่สำคัญ ... สำคัญที่ "ใครใจถึง" กว่า ... การมีเรื่องกับเด็กผู้ชายจึงเกิดขึ้นบ่อยๆ เท่าที่อยากจะมี! ... บางทีเด็กดื้อก็ตามไปด่ารุ่นพี่ผู้ชายที่รังแกพี่สาวตอนอยู่ป.4 เธอตะโกนอยู่หน้าห้องว่า "มึงแน่จริง ออกมาต่อยกับกู อย่ามารังแกพี่สาวกู!” ยังไม่ทันมีเรื่อง เรื่องก็เงียบไปก่อนค่ะคุณตำรวจ! คงไม่มีใครอยากมีเรื่องกับเด็กดื้อที่ปากกับหน้า ... น่ากลัวพอๆ กัน!
 
          “เธอลอกเพื่อนใช่มั้ย?” เด็กดื้อถูกครูเรียกมาถามหน้าชั้นเพราะจากที่เคยสอบได้ที่ท้ายๆ กระโดดมาเป็นที่ 2 ของห้องในเทอมหนึ่งของภาคเรียน ... เด็กดื้อมองหน้าคุณครูด้วยสายตาเย็นชาแล้วตอบว่า "เปล่า” จากนั้นก็เดินกลับมาที่โต๊ะเหมือนหัวใจถูกครูคนนั้นควักออกไป จากนั้นเธอก็คิดได้ว่า ... “ต่อจากนี้ไป ถ้าฉันจะทำอะไร ฉันรู้อยู่แก่ใจก็พอแล้ว ใครจะยอมรับตัวฉันหรือไม่ ฉันไม่สนใจ!” นั่นคือที่มาของคำว่า "ไม่ซำจั๋ง” คือไม่ใส่ใจและไม่สำนึก ถ้าไม่ได้ทำอะไรผิด ใครอยากจะมองแบบไหนก็มองไป อยากจะคิดอะไรก็คิดไป ... ฉันไม่สน ... เพราะชีวิตนี้มันเป็นของฉัน!
 
          เด็กดื้อรู้แล้วว่า เธอหน้าตาไม่ดีและเรียนไม่เก่ง แถมยังไม่เป็นที่รักของใครๆ ทีแรกเธอว่าเธอจะโตมาเป็นหมอ เพราะตอนเด็กแม่พาไปหาหมอ คนไข้มารอรับการรักษาเยอะแยะ แล้วแม่บอกว่าเป็นหมอแล้วรวย เมื่อรู้ตัวว่าเรียนไม่เก่งต้องสอบหมอไม่ได้แหงๆ คราวนี้เรียนให้จบปริญญาตรีก็ยังดีวะ เด็กดื้อตั้งใจจะสอบเข้ามหาวิทยาลัยให้ได้ แม้จะไม่รู้ว่าจบมาแล้วจะทำอะไร จะรวยทางไหน และเตี่ยก็ยังไม่สนับสนุนให้ลูกสาวเรียนหนังสือสูงๆ ตามแบบคนจีนโบราณ เตี่ยว่า ... “เป็นลูกผู้หญิงเรียนเยอะๆ ไปทำไม เดี๋ยวก็แต่งงานมีผัว ไปทำงานบ้านดูแลลูกผัวแล้ว” เด็กดื้อมองหน้าเตี่ยอย่างเอาเรื่อง เถียงกลับไปเสียงดังว่า "จะเรียนหนังสือสูงๆ เลย ไม่ต้องรอผัวมาเลี้ยงหรอก ป่าป๊าอย่ามาห้าม ... อั๊วจะเรียน!” ระหว่างนั้น ... เสียงเพลงคือสิ่งที่เป็นเพื่อนแท้ของเด็กดื้อ ช่วงเวลาที่ฟังเพลงมันคือช่วงเวลาของความสุข ไม่ต้องสำคัญที่สุด ดีที่สุด หรือสวยที่สุด รู้แค่ว่า ... มีความสุขที่สุด
 
          เด็กดื้อนั่งอยู่หน้าทีวี เปิดวิดีโอดูนักร้องเพลงจีน "เติ้งลี่จวิน" ร้องเพลง คนฟังร้องไห้ แม้แต่เด็กดื้อก็ยังต้องปาดน้ำตา ทั้งๆ ที่ไม่รู้ว่า แต่ละคำแปลว่าอะไร รู้แค่ว่ามันช่างเศร้าเหลือเกิน มันช่างไพเราะเหลือเกิน ... ทำไมเขาถึงทำให้คนฟังรู้สึกอย่างนั้นได้ ... เด็กดื้อยังคงไม่รู้คำตอบ
 
          จนกระทั่งวันหนึ่ง เด็กดื้อได้โตเป็นสาว แต่หน้าแก่นำไปก่อนจนไม่รู้ว่าเป็นสาวจริงๆ ตอนไหน รู้แค่ว่าถ้าใครเริ่มมีประจำเดือนก็เรียกว่า ... เป็นสาวแล้ว สอบเข้ามหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ปทุมวัน คณะศิลปศาสตร์ เอกภาษาและวรรณคดีไทย ... เด็กดื้อคิดในใจว่า "แล้วกรูจบมาจะเป็นอะไรเนี่ย คงจะรวยยากแล้วล่ะกรู” อย่างไรก็ต้องตั้งใจเรียนให้จบเพื่อเอาชนะความคิดของเตี่ย เตี่ยไม่เชื่อถือลูกสาวเท่าลูกชาย เตี่ยว่า ลูกผู้หญิงแต่งออกไปก็ไปเป็นลูกสะใภ้คนอื่น ใช้นามสกุลอื่น ต้องดูแลครอบครัวคนอื่นๆ ... ช่างเตี่ย! ในความดื้อของเด็กดื้อ มันมีทั้งความกลัวและความหวังซ้อนอยู่ ...
  
          โปรดติดตามตอนต่อไป

.......................................
(หมายเหตุ ดื้อ (I) : คอลัมน์ เล่นหูเล่นตา โดย... เจนนิเฟอร์ คิ้ม)