บันเทิง

Drag Me to Hell

Drag Me to Hell

11 มิ.ย. 2552

เพียงแค่นาทีแรก “Drag Me to Hell” ก็ทำเอาคนดูหงายหลังผึ่ง เมื่อถูกจู่โจมไม่ทันได้ตั้งตัวโดยผีร้ายจากนรก และกว่าจะรู้ว่าฉากนี้มีความเกี่ยวพันกับตัวละครหนึ่งในหนัง ก็ปาเข้าไปเกือบค่อนเรื่องแล้ว ซึ่งนอกจาก 5 นาทีแห่งความอกสั่นขวัญแขวนในฉากเปิดเรื่อง ดูเหมือ

ใช่เพียงแค่เอะอะก็หลอก เอะอะก็หลอนเท่านั้นนะครับ หนังยังอธิบายปมในใจตัวละคร ให้เราได้รู้สึกเอาใจช่วย และเห็นอกเห็นใจในชะตากรรมของเธอตามไปด้วย เนื่องเพราะ ‘คริสติน’ พนักงานสินเชื่อสาวสวยประจำธนาคารแห่งหนึ่ง ที่พยายามไขว่คว้าหาโอกาสก้าวหน้าในชีวิตการงาน กับตำแหน่งผู้ช่วยผู้จัดการ หลังจากถูกว่าที่แม่สามี ดูหมิ่นดูแคลนว่าเธอเป็นสาวชาวไร่ที่ไม่คู่ควรกับลูกชายเอาซะเลย สิ่งนี้เองที่เป็นแรงผลักให้เธอตัดสินใจไม่ประณีประนอมหนี้สินให้แก่คุณยาย ‘คนุช’ หญิงชราหน้าตาอัปลักษณ์ ไร้กิริยามารยาทเยี่ยงสุภาพชนที่ดี (เธอแสดงอาการชวนแหวะอย่างไร ต้องไปดูเอาเอง) ผู้กำลังจะถูกยึดบ้าน และสุดท้ายก็ตามจองล้างจองผลาญ ‘คริสติน’ ถึงขั้นสาปแช่งให้ตกนรกหมกไหม้เลยทีเดียว...

 ซึ่งหลังจากนั้น คีย์เวิร์ดสำคัญของหนัง ก็คือการพยายามต่อสู้กับปีศาจร้าย ‘ลาเมียร์’ ที่ถูกปลุกขึ้นมาเพื่อลากตัวเธอลงนรก ตามคำแช่งชักหักกระดูกของยาย ‘คนุช’ โดยมีหมอผี ‘ราม จาส’ และ‘เคลย์’ แฟนหนุ่มคอยให้ความช่วยเหลือ ตามล้างตามแก้อาถรรพณ์คำสาปให้แก่เธอ

 ย้อนกลับไปเมื่อยี่สิบแปดปีก่อน หนังผีประเภทแหวะ โหด สยอง เรื่อง “The Evil Dead” หรือ “ผีอมตะ” แจ้งเกิดให้ผู้กำกับหน้าใหม่ ‘แซม ไรมี่’ สร้างชื่อประดับวงการ แต่ทว่าเขาก็ไม่ได้รีบร้อนฉวยโอกาสกอบโกยความสำเร็จซ้ำสองของตัวเองสักเท่าใดนัก และใช้เวลาถึง 6 ปี กว่าจะมีหนังภาคต่อ “Evil Dead 2” ตามมา จากนั้นมาดูเหมือนว่าชื่อของ ‘แซม ไรมี่’ จะเป็นที่คุ้นเคยกันดีกับคอหนัง ในฐานะผู้กำกับหนังคัลต์ ที่สร้างสรรค์หนังแหวะ เถื่อน โหด ออกมาอย่างต่อเนื่องและเป็นที่ถูกอกถูกใจคอหนังแนวนี้ซะเหลือเกิน ไม่ว่าจะเป็น “Darkman” “Army of Darkness” “The Quick and the Dead” จนเริ่มขยับมาทำหนังฆาตกรรมที่เล่นกับพล็อตซับซ้อนซ่อนเงื่อนว่าด้วยความละโมบของมนุษย์อย่าง “A Simple Plan” ดูบ้าง ก่อนจะส้มหล่นใส่อย่างจังเมื่อได้รับมอบหมายให้กำกับหนังที่สร้างมาจากคาแรกเตอร์การ์ตูนดังอย่าง “สไปเดอร์แมน” จนประสบความสำเร็จอย่างถล่มทลายติดๆ กันถึงสามภาค

 ใช่ว่าหนังของ ‘ไรมี่’ จะเต็มไปด้วยความรุนแรง มุ่งเน้นเสนอภาพความสยดสยองแต่เพียงอย่างเดียวเท่านั้นนะครับ หลายๆ เรื่อง (ยกเว้นหนังชุด ‘ผีอมตะ’) ที่ ‘ไรมี่’ พยายามตีแผ่ให้เห็นด้านมืดในจิตใจมนุษย์ผู้ใฝ่ดีที่เฝ้าเพียรเอาชนะความชั่ว แต่สุดท้ายเขาก็ลงมือปราบ (ผู้ที่เขาคิดว่าเป็นพวก) ‘อธรรม’ ด้วยความชั่วร้ายรุนแรงซะเอง ประเด็นนี้ดูจะฉายชัดมากในหนังอย่าง “Darkman” “The Quick and the Dead” และ “A Simple Plan (หรือแม้กระทั่งหนังซูเปอร์ฮีโร่อย่าง ‘Spider Man’ เอง ‘ไรมี่’ ก็พยายามสร้างเงื่อนปมให้พ่อหนุ่ม ‘ปีเตอร์ ปาร์คเกอร์’ ต่อสู้กับความชั่วร้ายในใจตนอยู่บ่อยๆ และในภาคสาม ‘Spider Man’ ถึงขั้นถูกความชั่วร้ายเข้าครอบงำ)

 ใน “Drag Me to Hell” ผู้กำกับ แซมไรมี่ กลับไปเล่นสนุกในกลวิธีล่อหลอกคนดูในหนังผีสยองขวัญแบบเก่าๆเมื่อ 20 กว่าปีก่อน ตั้งแต่การปรากฏตัวแบบซึ่งๆ หน้าของเหล่าผีร้ายที่ตามหลอกหลอนเหยื่อของมันโดยไม่พยายามสงวนท่าทีเหมือนหนังผีสมัยนี้ ที่มักจะหลบๆ ซ่อนๆ หลีกเลี่ยง หลบเร้น ปล่อยให้คนดูจินตนาการเอาเองโดยใช้เทคนิคของเสียงและแสงเงา เข้ามาเป็นองค์ประกอบสำคัญในการเล่นกับอารมณ์คนดู (ซึ่งไม่ได้หมายความว่า ทำอย่างนี้แล้วหนังจะดูฉลาดขึ้นสักเท่าไหร่นะครับ) หากแต่ “Drag Me to Hell” สร้างความน่ากลัวด้วยระดมสรรพกำลัง ตั้งแต่พื้นฐานง่ายๆ อย่างเทคนิคเมกอัพ แต่งหน้าผีเละๆ เลือดปลอมเป็นแกลลอนๆ เสมหะเหนียวๆเขียวๆ เหนอะหนะน่าขยะแขยง ฝูงแมลงปีกแข็งปีกอ่อน หรือแม้แต่กองทัพหนอนไต่ยั้วเยี้ย เท่านั้นไม่พอ หนังยังมันมือด้วยสรรพเสียงมากมายหลายแบบตั้งแต่ดังหนวกหู ครืดคราดชวนหวาดผวา หรือแค่อื้ออึงน่ารำคาญ ไปจนถึงเสียงกรีดร้องกังวานแสนวังเวง ไม่นับรวมงานด้านเทคนิค CG.สมัยใหม่แต่ทว่าไปกันได้ดี หาได้เป็นสิ่งแปลกปลอม ซึ่งหนังสามารถหลอมรวมระหว่างเทคนิคเก่าๆ และศาตร์การเล่าเรื่องใหม่ๆ เข้าด้วยกันได้อย่างลงตัว รวมทั้งจังหวะการตัดต่อ ที่ไม่เพียงแค่มีหน้าที่ลำดับเหตุการณ์ตามพื้นฐานการเล่าเรื่องที่ดีของหนังทั่วไปเท่านั้น หากแต่ทุกคัต ที่หนังตั้งใจออกแบบมาเพื่อส่งผลในการสร้างอารมณ์เขย่าขวัญแก่ผู้ชมนั้น ดูเหมือนว่าแต่ละบีท แต่ละเทมโป้ ก็ดูจะได้ผลในการเล่นกับอารมณ์ผู้ชมอย่างเต็มที่เช่นกัน

 แซม ไรมี่ ดูจะเป็นผู้กำกับที่ทำหนังได้อยู่มือ จนสามารถควบคุมทุกๆ องค์ประกอบในหนังได้เกือบทั้งหมดชนิดเอาอยู่ หรืออาจจะถึงขั้นสั่งหันซ้าย บิดขวา ได้ตามต้องการโดยไม่ทำให้เรื่องเป๋ ออกนอกทิศทาง ที่สำคัญชื่อชั้นในฐานะผู้กำกับ ‘สไปเดอร์แมน’ ของ ‘ไรมี่’ ที่หากจะคิดใช้บริการเทคนิค CG. หรืองานกำกับศิลป์เก๋ๆ ก็ดูไม่ใช่เรื่องเหนือบ่ากว่าแรง หากแต่เขาเลือกที่จะเล่นสนุกกับวิธีทำงานที่เดินกลับไปยังจุดเริ่มต้นซึ่งเคยจากมา และดูเหมือนว่าเขาจะสนุกกับของเล่นเก่าๆ อย่างเต็มที่ ภายใต้วิธีคิด(พล็อต)เรื่อง ของคนทำหนังที่เติบโตตามวุฒิภาวะของการทำงาน เห็นได้จากบทหนัง “Drag Me to Hell” ที่แม้จะแบนราบ ไม่สลับซับซ้อน และมุ่งมั่นกับการปลุกอารมณ์ระทึกขวัญเป็นสำคัญ แต่ทว่าก็เติมแง่มุมและปูมหลังให้ตัวละครดูน่าสนใจ มีชีวิตชีวาไม่ว่าคนดูจะรักหรือชังตัวละครบางตัวอย่างเข้าไส้ก็ตาม

 ...นี่คือหนังผีที่เปี่ยมด้วยความบันเทิงโดยแท้


ชื่อเรื่อง : Drag Me to Hell กระชากลงหลุม
ผู้เขียนบท : อีวาน & แซม ไรมี่
ผู้กำกับ : แซม ไรมี่
นักแสดง : อลิสัน โลห์แมน, จัสติน ลอง, ลอร์น่า เรเวอร์, ดิริป เรา, เดวิด เพย์เมอร์, อาเดรียน่า บาร์ราซ่า
ความยาว : 99 นาที
วันที่เข้าฉาย : 4 มิถุนายน 2552  ทุกโรงภาพยนตร์

"ณัฐพงษ์ โอฆะพนม"